มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 52 พู่กันที่ไม่ได้ใช้แล้ว
พู่กันสามารถใช้เขียนหนังสือ เขียนบทความที่ดี
สามารถใช้วาดรูป วาดภูเขาและแม่น้ำ
แล้วก็สามารถใช้เขียนยันต์
เรือนอี้เหมาขึ้นชื่อที่สุดเรื่องการเขียนพู่กัน
ใช้ตัวหนังสือแปลงเป็นอาคม นั่นก็คือยันต์
หากมิใช่เป็นเพราะมียันต์ของบัณฑิตเหล่านี้คอยสนับสนุนอยู่ กองทัพเสินเว่ยของราชวงศ์ตระกูลจิ่งจะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยที่ไหลบ่าเข้ามาดั่งสายน้ำได้อย่างไร?
คนเขียนหนังสือได้ดี มิได้หมายความว่าเป็นคนดี
ก็เหมือนกับในปู้เหล่านั้นที่มีบัณฑิตของเรือนอี้เหมาคนหนึ่ง
สภาวะของเขาสูงส่ง ความเป็นมาค่อนข้างลึกลับ
หลังบัณฑิตชรามาถึงปู้เหล่าหลิน สิ่งที่เขาใช้เยอะที่สุดก็คือพู่กัน
แต่ตอนนี้เขาไม่ค่อยใช้พู่กันฆ่าคนแล้ว เพียงแต่คอยจดบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ในลานเมฆ แล้วก็ชักชวนคนใหม่ที่ตัวเองชื่นชอบเข้ามาในปู้เหล่าหลิน
หลิ่วสือซุ่ยก็ถูกเขาพาเข้ามาในปู้เหล่าหลิน
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือหลายปีมานี้ตัวเองได้เข้ามาอยู่ในลานเมฆได้ก็เป็นเพราะการแนะนำของบัณฑิตชรา
หลายปีมานี้ ในที่สุดพู่กันของบัณฑิตชราก็ได้พักลง
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ เขาจึงมายุ่งกับเรื่องของคนอื่น
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เหตุใดต้องสังหารเพิ่มอีกเล่า”
บัณฑิตชรามองซีหวังซุนพลางกล่าว
ซีหวังซุนกล่าว “หากเป็นเมื่อก่อน ข้าอาจจะไว้หน้าท่าน เพราะข้าเองก็ชอบเจ้าเด็กนี่มาก แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”
บัณฑิตชรากล่าวถาม “เพราะเหตุใด?”
“เพราะหากเป็นเมื่อก่อน การจะสังหารท่านนั้นค่อนข้างยาก แล้วก็ต้องเสียเวลา และอาจจะทำให้ร่องรอยของข้าเปิดเผยได้ แต่ตอนนี้มิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว”
ในตอนที่กล่าวคำพูดนี้ มือของของซีหวังซุนก็ลูบไปบนกระบี่พรหมจรรย์ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากช่องว่างระหว่างมือเขากับตัวกระบี่
กระบี่พรหมจรรย์อาบเลือด กลิ่นอายของมันยังคงเย็นยะเยือก แต่มีความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
เมื่อเห็นภาพนี้ บัณฑิตชราจึงกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นี่คือกระบี่พรหมจรรย์? ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นผู้สืบทอดของทางทะเลใต้จริงๆ ด้วย”
ซีหวังซุนมิได้กล่าวกระไร หากแต่ปล่อยกระบี่ออกไป
เจตน์กระบี่ที่เย็นยะเยือกสายหนึ่งพุ่งออกไปจากตัวกระบี่พรหมจรรย์ กลายเป็นลำแสงโค้งที่จับต้องได้จริง ฟันไปทางบัณฑิตชรา
รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าบัณฑิตชราถูกลมพัดจนหลุบลึกขึ้น แลดูกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ยิ่งนัก
พู่กันด้ามสีดำที่เปล่งแสงสว่างด้ามหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อเขาด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ ก่อนจะเขียนตัวหนังสือคำหนึ่งไปบนอากาศในชั่วเวลาเพียงพริบตา
หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอไม่รู้ว่าพู่กันสีดำด้ามนี้มันคือของวิเศษอะไร แล้วก็ดูไม่ชัดว่านั่นมันเป็นตัวอักษรอะไร
ซีหวังซุนย่อมต้องรู้ว่าพู่กันด้ามนี้คือพู่กันครองเมืองซึ่งเป็นหนึ่งในสี่อาวุธวิเศษประจำเรือนอี้เหมา
เมื่อก่อนที่เขาให้ความเคารพหรือพูดอีกอย่างก็คืออดกลั้นต่อบัณฑิตชรา เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะพู่กันด้ามนี้
และแน่นอน เขาย่อมต้องมองเห็นคำว่า ‘แม่น้ำ’ คำนั้นอย่างชัดเจน
โซ่เหล็กกั้นกลางแม่น้ำ
ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ริมแม่น้ำ
……
……
พู่กันครองเมืองเปล่งแสงวิเศษ ตัวอักษร ‘แม่น้ำ’ ที่เขียนออกมาตัวนั้นก็เปล่งแสงอยู่กลางอากาศเช่นกัน คล้ายโซ่เหล็กจริงๆ สามารถป้องกันการโจมตีทุกอย่างบนโลกได้
ลำแสงกระบี่สายนั้นแตะลงไปบนตัวหนังสือ ไม่มีเสียงใดๆ แล้วก็ไม่ได้ฟันลงไป มันค่อยๆ จมลงไปในตัวอักษร ดูแล้วกำลังจะหายไป
ซีหวังซุนสืบเท้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
ม่านมุกบนหมวกสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงดังชัดเจน ชุดสีเหลืองพลิ้วไสวอยู่ท่ามกลางสายลม
ก้าวนี้คือการมาถึงของราชา
เสียงเพล้งดังชัดเจน
ตัวอักษรแม่น้ำที่อยู่กลางอากาศพลันแตกกระจาย
ลำแสงกระบี่พุ่งออกไป มาถึงตรงหน้าบัณฑิตชรา
บัณฑิตชราถอยไปหลายก้าว ใบหน้าขาวซีด
จากนั้นมีเสียงเคร้งดังขึ้นมาชัดเจนอีกครั้ง
พู่กันครองเมืองตกลงพื้น แสงสว่างดูสลัวลง
นี่มิได้หมายความว่าอาวุธวิเศษประจำเรือนอี้เหมานั้นเป็นรองกระบี่พรหมจรรย์ของผู้ที่อยู่ทางทะเลใต้ผู้นั้น
เพียงแต่สภาวะของบัณฑิตชรายังเป็นรองซีหวังซุนอยู่
หากมิเป็นเพราะมีพู่กันครองเมืองคอยปกป้อง ในเวลานี้เขาคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
ซีหวังซุนสืบเท้าไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ท่าทางยิ่งดูน่าเกรงขาม
บัณฑิตชราไม่มีทีท่าว่าจะถอย หากแต่มองดูเขาอย่างเงียบๆ ในสายตาแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกปลดปล่อยและโล่งใจ
สีหน้าของซีหวังซุนพลันแปรเปลี่ยน เขาเหลียวหน้าไปมองขอบฟ้าทางตะวันออก
ไม่รู้ว่าเขารับรู้ได้ถึงอะไร ถึงขนาดหมุนตัวหนีไปอย่างไม่ลังเล เพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นลำแสงกระบี่ หายลับไปในขอบฟ้า
แม้จะหนีไปอย่างกะทันหัน เขาก็ยังไม่คิดที่จะปล่อยหลิ่วสือซุ่ยไป ขณะที่กำลังจะจากไป เขาสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เจตน์กระบี่สายหนึ่งพุ่งตรงไปที่หน้าอกของหลิ่วสือซุ่ย
หลิ่วสือซุ่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถหลบกระบี่นี้ได้
เสี่ยวเหอกระโดดเข้าไปหาเขา
ทันใดนั้นนางได้สติขึ้นมา อดรู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้กำไลข้อมืออันนั้นมันมีอิทธิพลต่อวิญญาณของนางมากเกินไปหรือเปล่า หรือว่าหลายปีมานี้นางมักจะคิดถึงแต่เรื่องที่ว่าต้องทำให้หลิ่วสือซุ่ยรอดชีวิตไปให้ได้ จนมันกลายเป็นคำความคิดที่ย้ำเตือนนางอย่างหนึ่ง นางกระทั่งคิดก็ไม่ได้คิด กระโจนเข้าไปหาหลิ่วสือซุ่ย
ทำไมตัวเองถึงได้โง่แบบนี้นะ? อีกประเดี๋ยวตัวเองก็คงจะต้องตายแล้วสินะ นี่ถือว่าตายแบบโง่เขลาหรือเปล่า?
เสี่ยวเหอครุ่นคิดกับตัวเองถึงเรื่องเหล่านี้ แต่นางกลับพบว่าความตายมิได้มาเยือน กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดก็ไม่มี
นางยืดตัวขึ้น พบว่าตัวเองมิได้รับบาดเจ็บ จึงอดรู้สึกงุนงงไม่ได้ จากนั้นก็สังเกตเห็นสีหน้าของหลิ่วสือซุ่ยขาวซีด กำลังมองดูด้านหลังตัวเองอยู่
เสี่ยวเหอมองตามเขาไป พบว่าบัณฑิตชราผู้นั้นยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา
บัณฑิตชราผู้นั้นสีหน้าเรียบเฉย คล้ายว่ามิได้ทำอะไรเลย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ในมือเขามีพัดอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา
หลิ่วสือซุ่ยเคยเห็นพัดอันนี้
ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเมื่อในอดีต บัณฑิตชราโบกพัดเบาๆ ก็ทำให้วิญญาณของยอดฝีมือสำนักเสวียนอินต้องมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
แต่เมื่อครู่เขามองเห็นอย่างชัดเจน บัณฑิตชราเพียงแต่หยิบพัดขึ้นมา แต่กลับมิได้ทำอะไร
“ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เขาถามเสียงสั่น
“ไม่เป็นไร”
บัณฑิตชรากล่าว
ทันทีที่กล่าวจบ บริเวณหน้าผามีเสียงตกกระทบพื้นดังเบาๆ ขึ้นมา
บัณฑิตชรายังคงสวมชุดสีน้ำเงินที่ซีดจนเกือบจะเป็นสีขาวชุดนั้น
ด้านหน้าชุดพลันมีรอยปริแตก
เลือดสดๆ ทะลักออกมา
……
……
เมืองเจาเกอยังคงมีฝนตก เปาะแปะๆ ช่างน่ารำคาญนัก
ชายหลังคาของวัดไท่ฉางถูกฝนชะล้างจนเปล่งประกาย
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างชายหลังคาค่อนข้างหงุดหงิด
ไม่ว่าจะเป็นคนของวัดไท่ฉางหรือคนของกรมชิงเทียน วันนี้พวกเขาล้วนแต่ยุ่งอย่างมาก ทั่วทุกที่ในเมืองเจาเกอล้วนแต่กำลังจับคน ทุกที่ล้วนแต่มีคนตาย
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขารู้ว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้พักผ่อน อีกสองสามวันหลังจากนี้จะมีคนอีกมากถูกส่งเข้ามายังเมืองเจาเกอ ถูกส่งเข้าไปในคุกสะกดมาร รอให้พวกเขาทำการไต่สวน
แต่แน่นอนว่าส่วนใหญ่ที่ส่งมาถึงหน้าพวกเขาก็คงจะกลายเป็นศพกันหมดแล้ว
มิเพียงแต่ฆ่าคนเท่านั้น แต่ฝีมือการฆ่าตัวตายของนักฆ่าของปู้เหล่าหลินก็ค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
เรื่องที่ยากลำบากที่สุดในการทำลายปู้เหล่าหลินก็คือการหาสายที่พวกเขาแอบซ่อนเอาไว้ในราชสำนักและสำนักต่างๆ
ปัญหาอยู่ที่ว่ามือสังหารเหล่านั้นมักจะฆ่าตัวตายทันทีที่ภารกิจล้มเหลว ไม่สามารถที่จะสืบหาเบาะแสได้
“ยังมีเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากที่ถูกผู้คนลืมไป เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าคาดหวังว่าจะมีโอกาสแบบนี้”
ลู่กั๋วกงมองจินหมิงเฉิงพลางกล่าว “นั่นก็คือจับตัวผู้นำที่อยู่เบื้องหลังม่านของปู้เหล่าหลิน”
ซีหวังซุนลี้ลับอย่างมาก
ว่ากันว่าเขาเป็นศิษย์น้องของเทพกระบี่ซีไห่ มีอำนาจภายในสำนักกระบี่ซีไห่อย่างมาก แต่นอกจากผู้ชนะในงานเลี้ยงซื่อไห่ของทุกปีแล้ว ก็แทบจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาเลย
ถึงแม้จะเป็นผู้ชนะในงานเลี้ยงซื่อไห่เหล่านั้น ใครจะรู้บ้างว่าซีหวังซุนที่พวกเขาได้เจอนั้นเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม?
คนแบบนี้หากหายไปในฝูงคนแล้วก็ยากที่จะหาตัวเขาได้
“เขาน่าจะอยู่ในขั้นแหวกทะเลขั้นสูงแล้ว เผลอๆ อาจจะสูงกว่านั้นก็ได้ ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน คนที่สามารถเอาชนะเขาได้นั้นมีไม่มาก ยิ่งเอาคนไปมากอาจจะทำให้เขาหนีไปได้”
จินหมิงเฉิงกล่าว “ดังนั้นสิ่งสำคัญคือยืนยันตำแหน่งของเขา แต่แน่นอนว่าตอนแรกนั้นฝ่าบาทเพียงต้องการฝังพู่กันที่ไม่ได้ใช้ด้ามหนึ่งเท่านั้น ทรงมิได้คาดหวังอะไรมาก”
ลู่กั๋วกงถึงได้รู้ว่าที่แท้ราชสำนักก็เตรียมการเอาไว้แต่แรกแล้ว จึงถอนใจออกมาพลางกล่าว “มิน่าหลายปีก่อนหน้านี้ ภาพขุนเขาลำธารที่อยู่ในวังภาพนั้นถึงได้หายไป”
……………………………..