มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 54 มิพานพบ
หนึ่งกระบี่พันลี้
ฟ้าดินสอดประสาน
นี่คือทะลวงสวรรค์
ที่แท้ใจแห่งเต๋าของเผยไป๋ฟ่ามิได้เสียหายเพราะพ่ายแพ้ให้แก่เทพกระบี่ซีไห่จนสภาวะถดถอยลงมาจากขั้นทะลวงสวรรค์
เขายังคงเป็นเจ้าสำนักอู๋เอินเหมินที่แข็งแกร่งคนนั้นอยู่ สภาวะเรียกได้ว่าเหนือกว่าเมื่อในอดีต!
“นั่นคือมิพานพบ?”
“ใช่!”
มิพานพบคือกระบี่เล่มหนึ่ง
กระบี่เลื่องชื่อของเจ้าสำนักอู๋เอินเหมินเผยไป๋ฟ่า
มิได้ปรากฏตัวขึ้นบนโลกมานานมากแล้ว
เหล่าศิษย์ของสำนักอู๋เอินเหมินยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน มองดูร่องรอยที่กระบี่บินเล่มนั้นทิ้งเอาไว้ ตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจ บางคนถึงขนาดร่ำไห้ออกมา
……
……
กระบี่มิพานพบแหวกอากาศพุ่งออกไป
ตอนที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันก็บินออกไปหลายพันลี้แล้ว
ตาของคนธรรมดาไม่มีทางที่จะมองเห็นร่องรอยของกระบี่ที่อยู่บนท้องฟ้าสีครามได้
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญพรต อย่างมากก็รับรู้ได้ถึงใจแห่งเต๋าที่ปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ในตอนที่มองไปก็ไม่มีทางมองเห็นภาพใดๆ เช่นกัน
กระบี่นี้เร็วเกินไป
ซีหวังซุนเป็นยอดฝีมือขั้นแหวกทะเล การรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินมีความเฉียบคมเป็นอย่างมาก
ในขณะที่เขาเตรียมจะสังหารบัณฑิตเหยียน ใจของเขาพลันเกิดลางสังหรณ์เตือนขึ้นมา
ดังนั้นเขาจึงขี่กระบี่หนีไปอย่างไม่ลังเล มิได้สนใจเลยว่าเจตน์กระบี่สายนั้นจะสังหารหลิ่วสือซุ่ยได้หรือไม่
ผลลัพธ์ที่เขาคาดการณ์ออกมามีความชัดเจนเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าหากปล่อยให้กระบี่เล่มนั้นไล่ตามตนมาได้ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
การตอบสนองของเขาเรียกได้ว่าเร็วจนยากจะจินตนาการได้ แต่กลับยังไม่สามารถสลัดกระบี่บินเล่มนั้นได้
เพราะกระบี่บินเล่มนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าเร็วจนยากจะจินตนาการได้อย่างแท้จริง
ออกจากทะเลใต้มาสิบกว่าปี เขาได้พบผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงบนแผ่นดินเฉาเทียนจำนวนไม่น้อย ซึ่งในจำนวนคนเหล่านั้นยังมียอดคนขั้นทะลวงสวรรค์อย่างศิษย์พี่อยู่ด้วย แต่เขาไม่เคยเห็นกระบี่ที่เร็วขนาดนี้มาก่อน!
ลมรุนแรงตกกระทบลงบนใบหน้า รู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย
ซีหวังซุนรู้ว่าหลบไม่พ้นแล้ว เขาจึงหยุดกลางอากาศ ก่อนจะหันกลับไปมองดูลำแสงกระบี่สายนั้น
ม่านมุกบนหมวกสะบัดเปิดขึ้นไปตามการเคลื่อนไหวของเขา เผยให้เห็นใบหน้าที่เฉยชา
สองมือของเขากุมกระบี่พรหมจรรย์ ฟันไปทางลำแสงกระบี่สายนั้น
ในเวลานี้ผ่านมุกบนหมวกจึงค่อยๆ ร่วงตกลงมา
ไม่มีเสียงใดๆ
……
……
ในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองไห่โจวออกมาหลายร้อยลี้ ชาวนาคนหนึ่งกำลังถางหญ้าอยู่
ไม่รู้เป็นเพราะวันนี้อากาศร้อนเป็นอย่างมากหรือว่าทำงานเหน็ดเหนื่อยเกินไป เขาพลันรู้สึกใจสั่นขึ้นมา
เขากลับมาข้างนา ยกกระบอกน้ำกรอกน้ำเข้าไปในปากหลายอึก แต่กลับพบว่าอาการใจสั่นยังคงไม่ดีขึ้น
เขายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ จึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่กลับพบว่าวันนี้อากาศดีมาก มิได้มีทีท่าว่าจะมีพายุฝนเลย
บนท้องฟ้าทางตะวันตกมีเมฆครึ้มเล็กน้อย แต่ท้องฟ้าด้านบนท้องนาดูแจ่มใส แสงแดดแยงตาเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง เขามองเห็นแสงสว่างสายหนึ่งตรงส่วนลึกของท้องฟ้า
เมื่อเทียบกับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าแล้ว ลำแสงนั้นดูมิได้โดดเด่นอะไรเลย แต่ชาวนากลับเหม่อลอย เพราะเขามั่นใจว่าตรงนั้นมันสูงเป็นอย่างมาก
ท้องฟ้าแจ่มใสขนาดนี้ อยู่ไกลขนาดนี้ แต่เขากลับยังสามารถมองเห็นแสงนั้น เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าหากเข้าไปดูในระยะใกล้ มันจะเจิดจ้าขนาดไหน เกรงว่าดวงตาคงจะมืดบอดไปเลยเป็นแน่
ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยามก็มีฝนดาวตกพุ่งไปทางตะวันตก หรือว่านี่จะเป็นดาวตกดวงสุดท้ายที่ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง?
ชาวนาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทันใดนั้นในหูพลันมีเสียงสายฟ้าดังกัมปนาทขึ้นมา ทำเอาขาของเขาอ่อนยวบไปทันที เขาถึงกับนั่งเปลี้ยลงไปในท้องนา
จากนั้นลมอันรุนแรงก็พัดจากบนท้องฟ้าลงมาที่พื้น ม้วนเอาเศษฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมา ต้นกล้าที่อยู่ในท้องนาถูกพัดจนโค้งงอ
ชาวนารู้สึกหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก รีบหยิบกระบอกน้ำและเครื่องมือที่อยู่ริมนาขึ้นมา ก่อนจะรีบวิ่งกลับบ้านอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อวิ่งจากในนาออกมาบนถนน เขายังรู้สึกว่าอาการหวาดกลัวยังไม่จางหายไป มิเช่นนั้นเหตุใดขาของเขาถึงยังอ่อนเปลี้ยอยู่ ยากที่จะยืนให้มั่นคงได้?
จากนั้นเขาถึงได้รู้ว่าที่ตัวเองยืนไม่มั่นคงนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับการตกใจจนแข้งขาอ่อน หากแต่เป็นเพราะพื้นบนถนนกำลังสั่นสะเทือน
เสียงที่ดังสนั่นราวสายฟ้าดังขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เบาลงกว่าครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นยังฟังดูใกล้มากขึ้นกว่าในตอนแรก คล้ายว่าอยู่บนพื้น
ทหารม้าที่สวมชุดเกราะสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนนั่งอยู่บนม้าศึกที่ทั้งตัวสวมใส่ชุดเกราะแบบเดียวกัน กำลังห้อตะบึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
กองทัพเสินเว่ย! ชาวนาตกตะลึงเป็นยิ่งนัก รีบล้มลุกคลุกคลานวิ่งลงไปจากถนนกลับไปในนาใหม่อีกครั้ง ถึงจะรอดพ้นไม่ถูกม้าเหล็กเหล่านี้ชนจนตายได้
ฝุ่นควันค่อยๆ หายไป
แสงอาทิตย์อันร้อนแรงตกกระทบลงไปบนเกราะเหล็กสีดำ ชุดเกราะเหล่านั้นดูเย็นยะเยือกขึ้นมาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่เย็นยะเยือกเท่าดวงตาที่ปรากฏอยู่ในหมวกเหล็กคู่นั้น
แม้ทัพผู้นี้มีนามว่ากู้พ่าน อดีตเคยเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักจงโจว อายุเพียงเท่านี้ก็ได้รั้งในตำแหน่งสูง
หากว่าตามลำดับยศแล้ว เขาสามารถนำกองทหารม้าพันนายได้ แต่วันนี้เขากลับพาลูกน้องมาเพียงร้อยคน
ช่วงเวลารุ่งเช้า กองทัพเสินเว่ยจำนวนหลายหมื่นได้แยกย้ายกันบุกเข้าไปในเมืองไห่โจว ในเวลานี้แนวหน้าน่าจะไปถึงเมืองไห่โจวและทำการล้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ภารกิจของกองทัพเสินเว่ยคือสังหารยอดฝีมือของปู้เหล่าหลิน คนของพรรคมารและขุนนางในพื้นที่ที่ไปเข้ากับสำนักกระบี่ซีไห่ ขณะเดียวกันก็รับผิดชอบในการรักษาระเบียบของเมืองไห่โจวเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บจากสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่ภารกิจของกู้พ่านและกองทัพเสินเว่ยร้อยนายนี้มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งเหล่านี้
ภารกิจของพวกเขาคือตามหากระบี่เล่มหนึ่ง
ในท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหน้ามีเส้นสีดำเล็กๆ เส้นหนึ่งกำลังลอยอยู่บนอากาศอย่างช้าๆ ดูไปคล้ายเศษฝุ่นละออง
กู้พ่านรู้ว่านั่นคือเป้าหมายของภารกิจครั้งนี้ จึงสั่งการเสียงเคร่งขรึม “มุ่งหน้าไปให้เร็วที่สุด ใครกล้าดีแย่งชิง ฆ่าไม่เว้น!”
……
……
เส้นสีดำเล็กๆ ที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินคือกระบี่พรหมจรรย์
เมื่อต้องรับการโจมตีตรงๆ จากกระบี่มิพานพบ ต่อให้ระดับของกระบี่พรหมจรรย์จะสูงส่งแค่ไหนก็ยังต้องเสียพลังวิญญาณไปจนหมดในทันที จากนั้นร่วงตกลงมายังพื้นด้านล่างราวกับเศษเหล็กอย่างไรอย่างนั้น
สถานการณ์ของซีหวังซุนนั้นแย่ยิ่งกว่า สองมือที่กุมด้ามกระบี่เอาไว้ล้วนเต็มไปด้วยโลหิต ตั้งแต่กระดูกนิ้วมือไปจนถึงกระดูกแขนล้วนแตกละเอียด
เขาโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก ในใจตะโกนชื่อของอีกฝ่ายออกมา —- เผยไป๋ฟ่า!
เจ้ามิใช่ว่าถูกศิษย์พี่เล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสสภาวะถดถอยหรอกรึ? เหตุใดถึงยังมีพลังของสภาวะขั้นทะลวงสวรรค์อยู่อีก?
ต่อให้เจ้าบำเพ็ญเพียรอย่างหนักจนฟื้นฟูสภาวะกลับมาได้ แต่เขาเทียนโซ่วอยู่ไกลขนาดนี้ เจ้าโจมตีถูกข้าทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันหลายพันลี้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดกระบี่นี้ถึงได้เร็วขนาดนี้ แข็งแกร่งขนาดนี้!
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดกระบี่ของเผยไป๋ฟ่าถึงได้น่ากลัวเพียงนี้ เขารู้เพียงแต่ว่าหากกระบี่อีกฝ่ายฟันลงมาที่ตนอีกที ตนเองจะต้องตายอย่างแน่นอน
เขาบินสูงขึ้นไปโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจก็ข้ามม่านพลังไร้รูปร่าง เข้าไปสู่ดินแดนแห่งความว่างเปล่า
ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าไม่มีอากาศ ไม่สามารถหายใจได้ แต่แน่นอนว่าเขามิใช่ผู้บำเพ็ญพรตขั้นแหวกทะเลธรรมดาทั่วไป เขาจึงสามารถอยู่ในนั้นได้เป็นเวลานาน
ปัญหาอยู่ที่ว่าแขนทั้งสองข้างของเขาถูกกระบี่มิพานพบสะบั้นจนแตกหัก ไม่สามารถอาศัยปราณก่อกำเนิดของตนเองฟื้นฟูร่างกายได้ ในสภาพแวดล้อมของดินแดนแห่งความว่างเปล่าแบบนี้ เลือดของเขาจะยิ่งไหลออกเร็วมากขึ้น มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าเขาจะตายในอีกไม่ช้า
แต่เขาจำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงนี้ หากไม่รีบหนีออกไปจากที่นี่ แล้วกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บยังถ้ำของตนเอง เขาก็ต้องตายเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องตายอย่างแน่นอนด้วย
ซีหวังซุนบินขึ้นไปยังท้องฟ้าทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว โลหิตสองสายหลั่งไหลออกมาจากแขนทั้งสองข้างที่ห้อยไปทางด้านหลังของเขา เนื่องเพราะไม่มีลม เลือดจึงสาดกระจายออกมาเท่าๆ กัน ดูแล้วงดงามไปอีกแบบ
สำหรับเขาแล้ว นี่ืคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุด เขาถึงขนาดรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงชีวิตที่กำลังไหลออกไปพร้อมกับโลหิตของตน
ใบหน้าของเขาซีดขาว แต่ความมุ่งมั่นกลับมิได้มีทีท่าว่าจะสลายหายไป ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนไหนก็ตามที่สามารถฝึกจนถึงขั้นแหวกทะเลระดับสูงได้ก็ล้วนแต่ต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลก
ยอดเยี่ยมในที่นี้หมายถึงทุกๆ ด้าน
ม่านพลังที่กั้นอยู่ระหว่างฟ้าดินและดินแดนแห่งความว่างเหล่านั้นโปร่งใส อย่างน้อยเมื่อมองลงมาจากด้านบนก็เป็นเช่นนี้
ด้านหน้าคือเมฆดำแถบหนึ่ง
ซีหวังซุนมองดูเงาของตัวเองที่ทอดลงไปบนก้อนเมฆ
เงาเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เหนือกว่ากระบี่บินธรรมดา
ทันใดนั้นเอง เขาพลันรับรู้ได้ถึงพลังที่ยากจะนิยามได้สายหนึ่ง
พลังนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่กลับไร้ซึ่งแรงกดดัน ให้ความรู้สึกเหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
จากนั้นเขามองเห็นบนเมฆมีเงาเพิ่มมาอีกเงาหนึ่ง
เงานั้นอยู่ทางด้านหลังเงาของเขา
……………………….