มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 55 ยืนเศร้าสร้อยมองผมขาวหน้ากระจก
ไม่ว่าเขาจะบินเร็วหรือช้า เงานั้นก็จะหยุดอยู่ตรงตำแหน่งนั้นตลอด ดูช่างง่ายดายนัก
สีหน้าของซีหวังซุนยิ่งขาวซีด
เขามองไปทางด้านหลัง พบว่าตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่
ที่แท้คนผู้นั้นอยู่ด้านบน
ซีหวังซุนไม่ได้เงยหน้ามองขึ้นไป
เขาพลันเปลี่ยนทิศทาง บินลงไปยังด้านล่างของดินแดนแห่งความว่างเปล่า ด้วยหวังว่าจะสามารถหลบเข้าไปในก้อนเมฆได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมือ
เงานั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง มันยังคงตามเขาอยู่ เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่บนผิวก้อนเมฆ
เห็นอยู่ว่าตนเองกำลังจะออกจากดินแดนแห่งความว่างเปล่า ก้อนเมฆที่ลอยเอื่อยก็อยู่ตรงหน้า ซีหวังซุนคล้ายมองเห็นความหวัง
แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าความหวังที่ว่านั้นเป็นเพียงความเพ้อฝัน
เงาที่อยู่ด้านบนก้อนเมฆพลันยืดขยายออก รูปร่างเรียวยาวคล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง
กระบี่ที่เกิดขึ้นมาจากเงานั้นลอยออกจากผิวเมฆ ม้วนเข้าหาร่างกายของซีหวังซุน คล้ายกับเปลวเพลิงของเพลิงวิญญาณเผ่าหมิงที่กำลังวูบไหว แล้วก็คล้ายกับลิ้นของเต่า
ซีหวังซุนตะโกนเสียงดัง ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตน เค้นเอาปราณก่อกำเนิดทั้งหมดในร่างกายออกมา ก่อนจะเร่งความเร็วเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
แต่บนโลกนี้ไหนเลยจะมีสิ่งใดที่เร็วกว่าเงานี้?
ขอเพียงมอบตะเกียงน้ำมันให้กับเด็กดวงหนึ่ง เขาก็สามารถใช้นิ้วของตัวเองทิ้งเงาเอาไว้บนกำแพงที่อยู่ห่างออกไปได้ จากนั้นก็ทำให้เงานั้นเคลื่อนไหวได้เร็วกว่ากระบี่ของนักพรตจิ่งหยาง
เงานั้นตกลงมาบนร่างกายของซีหวังซุน จากนั้นม้วนเขาเอาไว้คล้ายกับเชือก ก่อนจะดึงเข้าขึ้นไปในท้องฟ้า
ซีหวังซุนรู้ว่าสภาวะของตนกับอีกฝ่ายแตกต่างกันอย่างมาก จึงล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้าน สายตามองไปยังท้องฟ้า
บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือดินแดนแห่งความว่างเปล่าขึ้นไปไม่มีสีสัน เป็นเหมือนเครื่องเคลือบที่โปร่งใส แสงอาทิตย์หักเหจนดูสว่างเจิดจ้า
ในโลกที่สว่างเจิดจ้ามีเงาอยู่เงาหนึ่ง
ถึงแม้ด้านหลังเงานั้นจะเป็นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
แต่เงานั้นยังคงดูใหญ่โตยิ่งนัก
เมื่อเห็นเงานั้น พลังใจหยดสุดท้ายของซีหวังซุนก็สูญสลายไป เขาพูดชื่อของอีกฝ่ายออกมา น้ำเสียงคล้ายกำลังครวญคราง
“หลิ่วฉือ…”
จากนั้นบนใบหน้าเขาก็มีรอยยิ้มที่ดูคล้ายเย้ยหยันตัวเองปนขมขื่นปรากฏขึ้นมา
สมควรแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็สมควรแล้ว
แล้วก็ไม่มีอะไรให้ข้องใจ
ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์สองคนลงมือ
ใครกล้าข้องใจ?
……
……
เขาเทียนโซ่ว
พายุฝนหยุดลงแล้ว
เผยหย่วนกลับมายังถ้ำของตนเองอย่างเงียบๆ เตรียมหยิบของวิเศษที่แอบซ่อนเอาไว้หลายปีแล้วค่อยจากไป
เขาครุ่นคิดในใจ ตนเองเป็นถึงเจ้าตำหนักสิงถัง แล้วยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าสำนัก ใครจะกล้ามารั้งตนไว้
ทันใดนั้นภายในหมู่เขาพลันมีเสียงสัญญาณกระบี่ดังขึ้นมา เรียกรวมทุกคนให้มาประชุมกันหน้าตำหนัก
เผยหย่วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดิมคิดจะไม่สนใจ แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงข่ายพลังของสำนักที่เย็นยะเยือกขึ้นอย่างชัดเจน เขาจึงลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าที่จะฝ่าข่ายพลังหนีออกไปจากสำนัก กัดฟันเก็บของวิเศษเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ จากนั้นขี่กระบี่กลับมายังลานหน้าตำหนัก
เหล่าศิษย์สำนักอู๋เอินเหมินต่างรู้สึกตื่นเต้น แม้นทั่วทั้งตัวจะเปียกชื้น แต่พวกเขาก็ยังพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ประตูตำหนักค่อยๆ เปิดออก เผยไป๋ฟ่าปรากฏกาย
ทุกคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ตะโกนคารวะเสียงดัง “คารวะท่านเจ้าสำนัก”
เผยไป๋ฟ่าค่อยๆ เดินลงมาจากบันไดสิบสามขั้น
หลังจากรูปสลักนูนนกกระเรียนที่อยู่บนขั้นบันไดถูกฝนชะล้าง มันก็ยิ่งดูคล้ายมีชีวิต
เจตน์กระบี่อันแรงกล้าวนเวียนรอบร่างกายเขา
เท้าของเขาวางลงไป พื้นที่อยู่ด้านล่างปริแตกออก
เจตน์กระบี่ค่อยๆ รวมตัว
ด้านหน้าตำหนักเงียบสงบ
ไม่รอให้มีใครถาม เผยไป๋ฟ่ากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “คนที่ข้าจะฆ่าคือซีหวังซุน”
ทุกคนต่างรู้ว่านั่นคือคนสำคัญของสำนักกระบี่ซีไห่ ว่ากันว่าเขาเป็นศิษย์น้องของเจี้ยนซีไหล จึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ทั้งรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกกังวล
จริงอยู่ที่ว่ากระบี่ที่เจ้าสำนักปล่อยออกไปก่อนหน้านี้มีอานุภาพอยู่ในระดับทะลวงสวรรค์ แต่ท่านเพิ่งจะออกมาจากการเก็บตัวก็จะไปเปิดศึกกับสำนักกระบี่ซีไห่แล้วหรือ?
ที่พวกเขาคิดเช่นนี้ย่อมมิได้เป็นเพราะหวาดกลัวการเปิดศึกกับซีไห่ พวกเขาเพียงแต่กังวลเรื่องสุขภาพของเจ้าสำนัก
หลังต่อสู้กับเทพกระบี่ ดวงตาทั้งสองข้างของเจ้าสำนักก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก
ในจุดนี้โลกภายนอกยังไม่ล่วงรู้ ทว่าพวกเขากลับรู้ดี
ผู้อาวุโสคนนั้นกล่าวถามอย่างไม่แน่ใจ “ไอโจรชั่วแซ่ซีนั่นตายแล้วหรือ?”
เผยไป๋ฟ่ามิได้ตอบคำถามนี้ หากแต่กล่าวว่า “พวกเจ้าไปที่สำนักปัญญาชนไป๋ลู่ เผาที่นั่นซะ”
เขายังคงไม่ได้บอกทุกคนว่าลานเมฆของสำนักกระบี่ซีไห่คือศูนย์กลางของปู้เหล่าหลิน
ในที่สุดเผยหย่วนก็ทนไม่ไหว เขากล่าวถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เผยไป๋ฟ่ามองเขาที่อยู่ในกลุ่มคน พลางกล่าวว่า “เจ้าว่าไงล่ะ?”
รู้ทั้งรู้ว่าเขามองตนเองไม่เอง แต่เผยหย่วนกลับรู้สึกแปลกๆ
“ตอนนั้นมีคนบอกข้าว่าเทียนจิ้นเหรินเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง น่าเชื่อถือ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนตาบอด ไปพบหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
เผยไป๋ฟ่ากล่าว “ข้าเชื่อคำพูดเขา ไปยังสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ จากนั้นตัวข้าก็กลายเป็นคนตาบอด อย่างนั้นตอนนี้ข้าจะเผาที่นั่นทิ้งซะ จะมีปัญหาอะไร?”
เพราะเรื่องเมื่อก่อน วันนี้เขาเลยคิดจะเผาสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ อย่างนั้นคนที่แนะนำเขาคนนั้นจะมีจุดจบอย่างไร?
เผยไป๋ฟ่าเพิ่งจะกล่าวได้ครึ่งเดียว เผยหย่วนก็กระโดดหนีออกไปทางด้านนอกหุบเขา
ทันใดนั้น โลหิตสายหนึ่งสาดกระจาย
เท้าขวาของเขาตั้งแต่หัวเข่าลงไปขาดออก คล้ายถูกกระบี่ตัดขาด
เผยไป๋ฟ่ามองดูเขาที่อยู่ห่างออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาที่ซีดขาวเปล่งแสงที่กัดกินคนออกมา
เผยหย่วนตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด กระเสือกกระสนปีนป่ายขึ้นมาจากพื้น ใช้เท้าซ้ายกระโดดไปข้างหน้า ดูเหมือนน่าขบขัน แต่ความจริงมันกลับยิ่งดูน่ากลัว
หลังจากนั้น ข้อเท้าซ้ายของเขาก็ถูกตัดขาด
เผยหย่วนไม่สามารถเดินได้อีก กระทั่งกระโดดก็ทำไม่ได้
เขานั่งอยู่ในกองเลือด ส่งเสียงร่ำไห้สิ้นหวัง
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ชายจะทรยศตัวเอง ถึงแม้เจ้าจะเป็นขยะไร้ค่าที่โง่เขลาและน่าขบขันมาโดยตลอด”
เผยไป๋ฟ่ามองดูเขาพลางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ที่แท้ก่อนที่จะตาบอดจริงๆ ข้าได้ตาบอดมาแล้วตั้งหลายปี”
……
……
กระบี่สั้นเล่มนั้นบินอ้อมด้านหลังหน้าผากลับมา ตัวกระบี่ที่แวววาวดุจกระจกสะท้อนภาพบริเวณหน้าผา
ต้นไม้ที่มีเศษฝุ่นปกคลุม รอยเลือดเป็นด่างเป็นดวง ใบหน้าขาวซีด รอยฉีกขาดบนเสื้อที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วสือซุ่ยคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบัณฑิตชรา สีหน้าโศกเศร้าเป็นอย่างมาก
เจตน์กระบี่สายนั้นได้ทำลายโอกาสที่จะมีชีวิตรอดทั้งหมด
เขาชอบผู้อาวุโสคนนี้ เพราะอีกฝ่ายช่วยเหลือเขามามากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน
แต่บัณฑิตชราไม่เคยเล่าเรื่องราวของตัวเองมาก่อน กระทั่งวันนี้หลิ่วสือซุ่ยถึงได้รู้ว่าเขาแซ่เหยียน
“ท่านมีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่ ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะช่วยท่านทำให้ได้”
เขามองบัณฑิตชราพลางกล่าว
บัณฑิตชราส่ายศีรษะ
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกร้อนใจ กล่าวว่า “ท่านใกล้ตายแล้ว เหตุใดจึงยังไม่ยอมพูดอีก?”
บัณฑิตชราไม่ตอบคำถามนี้ กล่าวว่า “หลังข้าตายแล้วจะมีคนรู้ จากนั้นก็จะมาตรวจดูที่นี่ พวกเจ้ารีบหนีไปซะ มิเช่นนั้นจะมีอันตรายได้”
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจความหมายของเขา
“พู่กันด้ามนี้มอบให้เจ้า”
บัณฑิตชรายื่นพู่กันครองเมืองให้แก่เขา ก่อนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ก่อนความวุ่นวายนี้จะหยุดลง อย่าได้ปรากฏตัว โลกวุ่นวายเกินไป”
พู่กันครองเมืองเป็นของล้ำค่าประจำเรือนอี้เหมา
เขามอบมันให้แก่หลิ่วสือซุ่ยง่ายๆ แบบนี้
หลิ่วสือซุ่ยรับมันมาอย่างระมัดระวัง
บัณฑิตชราถามว่า “สิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากรู้ก็คือในปีนั้นก่อนที่พวกเราจะไปจากที่นี่ เจ้าเข้าไปปลดทุกข์เบาในป่า แต่ความจริงแล้วเจ้าเอากระบี่พรหมจรรย์ไปซ่อนใช่หรือไม่?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ใช่น่ะสิ”
“น่าสนุก หวังว่าซีหวังซุนคงไม่รู้สึกสกปรกหรอกนะ”
บัณฑิตชราหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ข้ายังมีอีกประโยคหนึ่งจะพูด คนใกล้ตาย ก็มักจะพูดมากอย่างนี้แหละ”
หลิ่วสือซุ่ยร่ำไห้ขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าก็พูดมากเช่นกัน”
“เจ้ามีเพลิงปีศาจ ร่างกายร้อนเป็นทุนเดิม ต่อไปภายหน้าทำอะไรอย่าใจร้อนวู่วาม มิเช่นนั้นจะเผาตัวเองได้ง่าย”
บัณฑิตชรามองพูดเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ต่อให้เผาไม่ตาย ใจที่ร้อนเกินไปมันก็ทรมานเช่นกัน เหมือนอย่างข้าในตอนนี้”
เขากางพัดออกแล้วเริ่มพัด
ลมตกกระทบลงบนร่างกายเขา พัดพาเสื้อผ้าและร่างกายปลิวสลายออกไปราวเถ้าถ่าน
เขาค่อยๆ หายไป
……………………………