มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 56 โฉมหน้าที่แท้จริงของลานเมฆ
คนกลายเป็นเถ้าถ่าน หลิ่วสือซุ่ยโขกศีรษะสองสามครั้ง เสี่ยวเหอเองก็หมอบคารวะลงไป
หลิ่วสือซุ่ยหยิบเอาพัดเล่มนั้นขึ้นมาจากกองเถ้าถ่าน ก่อนจะเอามาเหน็บไว้ที่เอว จากนั้นมองไปทางกระบี่สั้นที่อยู่บนฟ้าเล่มนั้น
กระบี่สั้นบินมาหาเขา ปลายกระบี่ลู่ตกลงเล็กน้อย คล้ายเศร้าใจและรู้สึกผิด คิดว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์
หลิ่วสือซุ่ยมิได้กล่าวกระไร ส่งสายตาบอกให้เสี่ยวเหอกระโดดขึ้นมาบนหลังของตนเอง
เสี่ยวเหอส่ายศีรษะ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าเองก็บาดเจ็บหนัก หน้าผาเองก็ชันขนาดนี้ แล้วจะแบกตนเองขึ้นไปได้อย่างไร
กระบี่สั้นตกลงมาบนข้อมือของหลิ่วสือซุ่ย แปลงกลับเป็นสร้อยข้อมืออีกครั้ง
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจความหมายของมัน จึงแบกเสี่ยวเหอขึ้นมา
สร้อยข้อมือบินขึ้นมา ลากแขนของเขาลอยลงไปจากหน้าผา
……
……
ผ่านไปไม่นาน บัณฑิตผู้หนึ่งบินมาจากนอกภูเขา ก่อนจะลอยลงมายังด้านนอกถ้ำ
บัณฑิตผู้นี้สวมชุดสีน้ำเงิน เพียงแต่ดูใหม่ เป็นสีน้ำเงินราวมหาสมุทร
คนผู้นี้สีหน้าอ่อนโยน สุภาพแต่ไม่อ่อนแอ ท่าทีดูมิธรรมดา ให้ความรู้สึกลึกล้ำจนมิอาจประมาณได้
เมื่อเห็นกองเถ้าถ่านที่อยู่ด้านนอกถ้ำ บัณฑิตนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจออกมาพลางกล่าว “ศิษย์หลานไปดีนะ”
ครั้นพูดจบ เขาก็เดินกลับไปริมหน้าผา สองมือไพล่หลัง เหยียบอากาศลอยออกไป บินไปทางทะเลตะวันตก
เกลียวคลื่นบนผิวทะเลนอกเมืองไห่โจวดูคล้ายกองหิมะ บนขอบฟ้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังต่างๆ ลมพัดรุนแรงไม่หยุด
กระบี่บินนับหลายร้อยเล่มลอยนิ่งๆ อยู่ในสายลม ล้อมลานเมฆเอาไว้
ในที่ที่ไกลออกไปยังมีผู้บำเพ็ญพรตอีกนับไม่ถ้วนขี่อาวุธวิเศษอยู่
เมฆที่ไม่สลายไปไหนตลอดทั้งปีก้อนนั้น ในที่สุดวันนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ผิวด้านนอกเกิดเป็นกระแสอากาศปั่นป่วนจำนวนมาก มันถูกพลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งดึงลงไปยังผิวทะเลและพื้นดินด้านล่าง ดูคล้ายพายุหมุนก็มิปาน
เมฆตกลงไปบนพื้น แปรเปลี่ยนกลายเป็นหมอก เมืองไห่โจวและหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ ล้วนถูกหมอกจำนวนมหาศาลปกคลุมเอาไว้ บดบังทัศนวิสัยของชาวบ้านที่อยู่ในเมืองเหล่านั้น
มีเพียงวิชาลมฝนของสำนักต้าเจ๋อเท่านั้นถึงจะสร้างภาพที่น่ามหัศจรรย์เช่นนี้ได้ และผู้ที่สามารถเคลื่อนย้ายเมฆหมอกจำนวนมากขนาดนี้ได้จะต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงแน่นอน
บัณฑิตครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ ก่อนจะบินไปทางนั้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ขี่อาวุธวิเศษหรือศิษย์ชิงซานที่ขี่กระบี่ ทุกคนต่างทยอยเปิดทางพลางกล่าวคารวะ คนที่ไม่รู้ว่าบัณฑิตผู้นี้เป็นใครก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงคารวะเหล่านั้น พวกเขาถึงได้รู้ว่าบัณฑิตที่ดูสง่างามผู้นี้คือเจ้าเรือนแห่งเรือนอี้เหมา — ปู้ชิวเซียว!
ปู้ชิวเซียวมาถึงด้านหน้าสุด เมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่กำลังใช้วิชาลมฝนอยู่ตรงด้านหน้าลานเมฆผู้นั้น ในใจก็ครุ่นคิดว่าต้าเจ๋อลิ่งมาลงมือด้วยตัวเองจริงๆ ด้วย
เฉิงโหยวเทียนเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูยืนอยู่บนกระบี่น้ำขึ้น มองดูลานเมฆที่ค่อยๆ เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา สายตาสงบนิ่ง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
ด้านหลังเขามีผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลของชิงซานอีกสองคน นอกจากนี้ยังมีศิษย์อีกสองร้อยกว่าคนโดยมีกั้วหนานซานเป็นผู้นำกระจายตัวไปรอบๆ
นอกจากเจ้าแห่งยอดเขาที่เหลือและผู้อาวุโสที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรเหล่านั้นแล้ว ศิษย์ในสำนักชิงซานเรียกได้ว่าออกมากันเกือบหมด
เฉิงโหยวเทียนคารวะ “คารวะท่านเจ้าเรือน”
ปู้ชิวเซียวพยักหน้าคารวะกลับไป จากนั้นกล่าวว่า “สหายชิงซานลำบากแล้ว สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉิงโหยวเทียนกล่าวว่า “เมืองไห่โจวได้ถูกปิดแล้ว กองทัพเสินเว่ยกำลังทำการกวาดล้าง เหล่าบัณฑิตแห่งเรือนอี้เหมาต่างหากที่ลำบากอย่างแท้จริง”
สภาวะของปู้ชิวเซียวสูงส่ง แม้นจะมีเมฆหมอกขวางกั้นก็สามารถมองเห็นภาพรอบๆ เมืองไห่โจวได้ โดยเฉพาะแสงยันต์ที่เขาคุ้นเคยที่สุด
ใกล้ๆ เมืองไห่โจว การต่อสู้ระหว่างกองทัพเสินเว่ยและศัตรูน่าจะเป็นไปอย่างดุเดือด
เมื่อเทียบกับบนพื้นดินแล้ว บนท้องฟ้าดูค่อนข้างเงียบสงบ สำนักชิงซานได้ปิดล้อมลานเมฆเอาไว้อย่างชนิดที่ว่าไม่มีอะไรเล็ดรอดเข้าไปได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงยังไม่มีทีท่าว่าจะลงมือ
เมื่อเห็นตำหนักที่ปรากฏขึ้นลางๆ ในลานเมฆ ปู้ชิวเซียวก็ถอนใจพูดอะไรไม่ออก ในใจครุ่นคิดว่าสมกับเป็นนิสัยของชิงซาน เพียงแต่เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย
หากสำนักชิงซานตัดสินใจจะทำอะไร พวกเขาไม่เคยสนใจว่าศัตรูจะมีการเตรียมตัวหรือเปล่า ในทางกลับกัน พวกเขาเคยชินที่จะรอให้ศัตรูเตรียมตัวให้พร้อม เรียกรวมกองหนุนทั้งหมดที่มี จากนั้นกระหน่ำโจมตีดุจดั่งสายฟ้า พวกเขามองว่า แบบนี้มันง่ายต่อการกำจัดศัตรูทีเดียว แล้วก็ประหยัดเวลา
วันนี้สำนักชิงซานล้อมเอาไว้ไม่ยอมโจมตี เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความคิดเช่นนี้ เพราะทะเลทางด้านนั้นยังนิ่งเงียบ กองกำลังหลักของสำนักกระบี่ซีไห่ยังไม่มาช่วยเหลือ
ปู้ชิวเซียวมองไปรอบๆ พบว่านอกจากสำนักจงโจว วัดกั่วเฉิง สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย สำนักอู๋เอินเหมินแล้ว สำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะล้วนแต่มาที่นี่กันหมด
ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้ดีว่า ถึงแม้สำนักใหญ่ๆ อย่างสำนักจงโจว วัดกั่วเฉิงจะไม่ปรากฏตัว แต่ความจริงพวกเขาได้แอบลงมืออย่างลับๆ แล้ว
สถานการณ์ใหญ่โตขนาดนี้ หากสังหารซีหวังซุนเพียงคนเดียว ทำลายลานเมฆเพียงที่เดียว แต่กลับไม่สามารถกำจัดที่พักพิงที่สำคัญที่สุดของปู้เหล่าหลินได้ เช่นนั้นมันก็น่าเสียดายจริงๆ
……
……
ก้อนเมฆด้านนอกเมืองไห่โจวที่คงอยู่มานานหลายปีสลายหายไปจนหมด กลายเป็นหมอกอยู่บนพื้นดิน
ในที่สุดลานเมฆอันเป็นสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่ซีไห่ก็เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
นั่นคือภูเขาที่เขียวขจีลูกหนึ่ง ลอยค้างอยู่กลางอากาศ บริเวณหน้าผาล้วนแต่มีตำหนักต่างๆ ตั้งอยู่ แล้วยังมีน้ำพุ ดูงดงามเป็นยิ่งนัก
ภายในยอดเขา ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่และผู้ดูแลของลานเมฆต่างกำลังตั้งแนวป้องกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังลนลาน
เมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ มีใครบ้างไม่ลนลาน?
ต้าเจ๋อลิ่งบินไปยังด้านหน้า กล่าวถามว่า “ยังต้องรอต่อไปอีกหรือ?”
วิชาลมฝนนี้สิ้นเปลืองพลังเป็นอย่างมาก แม้นจะเป็นเขา สีหน้าก็ยังดูค่อนข้างขาวซีด
ปู้ชิวเซียวมิได้กล่าวกระไร เขามองไปทางเฉิงโหยวเทียน
เฉิงโหยวเทียนเป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูของชิงซาน สถานะเทียบเท่ากับต้าเจ๋อลิ่ง แต่ถ้าเทียบกับเจ้าเรือนของเรือนอี้เหมาแล้วยังเป็นรองอยู่หน่อย
ที่ปู้ชิวเซียวให้เฉิงโหยวเทียนตัดสินใจ เป็นเพราะการล้อมโจมตีลานเมฆในวันนี้ สำนักชิงซานคือกำลังหลัก พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาด้วยฝีมือของสำนักชิงซาน
“รอ ซีไห่ไม่มีทางแกล้งตายไปได้ตลอด”
เฉิงโหยวเทียนกล่าวอย่างไม่ลังเล
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปู้ชิวเซียวจึงหัวเราะแห้งๆ อยู่ในใจ เขารู้ว่าตนเองคิดถูก เป้าหมายของสำนักชิงซานมิได้หยุดอยู่แค่ลานเมฆจริงๆ ด้วย
เพียงแต่สำนักกระบี่ซีไห่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก หากเปิดศึกเต็มที่จริงๆ สหายบำเพ็ญพรตที่ล้อมลานเมฆในวันนี้จะล้มตายมากน้อยเท่าไร?
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือหากคนอย่างเทพกระบี่คุ้มคลั่งขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เป็นเจ้าสำนักชิงซานก็ยังต้องเลี่ยงปะทะ เมื่อถึงตอนนั้นจะจัดการอย่างไร?
ทันใดนั้นเอง ทะเลทางด้านนั้นก็มีลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นมาร้อยกว่าสาย
สำนักกระบี่ซีไห่มาแล้ว
แม้นจะอยู่ห่างกันไกล แต่ยอดคนอย่างปู้ชิวเซียวก็ยังสามารถแยกแยะถึงระดับสภาวะของผู้ที่มาเหล่านั้นจากลำแสงกระบี่ของพวกเขาได้
เขาพอจะคาดเดาได้ว่าสำนักกระบี่ซีไห่คิดจะทำอะไร จึงแผ่จิตจำแนกสายหนึ่งขึ้นไปยังที่หนึ่งบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไป
ไม่นานลำแสงกระบี่เหล่านั้นก็มาถึงหน้าลานเมฆ
คนที่เป็นผู้นำคือถงหลู แล้วยังมีผู้อาวุโสขั้นคเนจรอีกสองคน ที่เหลือล้วนแต่เป็นศิษย์วัยเยาว์
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เฉิงโหยวเทียนและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หลายปีมานี้สำนักกระบี่ซีไห่โดดเด่นเป็นอย่างมาก ถึงแม้นรากฐานจะเป็นรองสำนักใหญ่ๆ แต่ก็คงไม่ถึงกับส่งผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลออกมาไม่ได้แม้แต่คนเดียว
ถงหลูเป็นศิษย์ของเทพกระบี่ ชื่อเสียงโด่งดัง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพียงศิษย์หนุ่มคนหนึ่ง
ไม่มีการทักทาย แล้วก็ไม่มีการคารวะต่อผู้อาวุโส
เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ถงหลูโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก เขาตะโกนเสียงดังว่า “พวกท่านคิดจะทำอะไร!”
ปู้ชิวเซียว เฉิงโหยวเทียนและคนอื่นๆ ย่อมไม่มีทางตอบเขา
กั้วหนานซานขี่กระบี่มาถึง มองดูถงหลูที่กำลังโกรธเกรี้ยว สีหน้าเผยให้เห็นความรู้สึกสงสาร
จากข้อมูลที่หลิ่วสือซุ่ยส่งกลับมา เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องนี้
“สหายถงหลู เจ้าดูนี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
กั้วหนานซานผายมือ เผยให้เห็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง
มีเสียงอุทานตกใจจำนวนมากดังมาแต่ไกล
ของวิเศษประจำสำนักจงโจว
ไข่มุกคืนสวรรค์!
……………………………..