มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 102 เสียงหัวเราะที่เหมือนตุ้มเหล็กหรือกระดิ่งเงิน (2)
นี่คือกระบวนท่าหนึ่งในเพลงกระบี่แบกสวรรค์ สามารถตัดขาดการสอดแนมจากจิตจำแนกได้เหมือนข่ายพลังบางอย่าง
จิ๋งจิ่วค่อนข้างพึงพอใจที่สภาวะของเขาก้าวหน้า จึงกล่าวชี้แนะสองประโยค
“เพลงกระบี่แบกสวรรค์คือการจำลองข่ายพลังและสร้างขึ้นมาใหม่ แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นเพลงกระบี่อยู่ เจ้าไม่ต้องใช้ให้มันระมัดระวังเกินไป ไม่อย่างนั้นจะทำให้สูญเสียพลังไป”
กู้ชิงฟังอย่างตั้งใจ กล่าวว่า “ศิษย์พี่จัวเชี่ยวชาญเพลงกระบี่แบกสวรรค์มากกว่าข้า ยิ่งไปกว่านั้นในวันนั้นเขายังใช้เพลงกระบี่ของยอดเขาอื่นอีกอย่างน้อยสี่ยอดเขา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แล้วยังไง? หรือเขาเอาชนะล่าเยวี่ยได้?”
กู้ชิงรู้สึกปวดหัว ในใจครุ่นคิดว่าตอนนั้นสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองเห็นอาจารย์อาพ่ายแพ้จริงๆ ท่านถามเช่นนี้แล้วจะให้ข้าตอบอย่างไร?
เขากล่าวอย่างตั้งใจ “ศิษย์พี่จัวแข็งแกร่งจริงๆ”
จิ๋งจิ่วปลดกระบี่เหล็กส่งให้เขา ก่อนจะนั่งลงไปบนพื้นที่อยู่ตรงหน้ารั้ว มองดูเมฆที่อยู่ด้านนอกหน้าผาพลางกล่าวว่า “ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าล่าเยวี่ย”
กู้ชิงประคองกระบี่เหล็ก ในใจครุ่นคิดว่าบทสนทนานี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร?
เขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ก่อนกล่าวว่า “ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ วันนั้นก่อนการทดสอบกระบี่ อาจารย์อาเคยพูดกับศิษย์น้องฉวี่ประโยคหนึ่ง”
“พูดว่าอะไร?”
“ตอนนั้นศิษย์น้องฉวี่รู้สึกท้อแท้เพราะเรื่องของหวังเสี่ยวหมิง หวังเสี่ยวหมิงคือประมุขนิกายเสวียนอิน ในตอนนั้นท่าน….”
“เรื่องที่ไม่สำคัญไม่ต้องพูด”
กู้ชิงคิดในใจ นั่นเป็นคนที่ในตอนนั้นท่านตัดสินใจจะไปสังหาร เจวี่ยนเหลินเหรินใช้เวลาอยู่หลายปีถึงจะสืบออกมาได้ แล้วจะไม่สำคัญได้อย่างไร
“ตอนนั้นอาจารย์อาบอกว่าพลังของพวกวิถีมารนั้นมาจากวัตถุภายนอก หากตอนนี้นางไม่สะกดกระบี่มิคำนึงเอาไว้ นางก็สามารถสู้กับแหวกทะเลได้…”
กู้ชิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ กล่าวว่า “ต่อให้ศิษย์พี่จัวแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะไปถึงขั้นแหวกทะเล หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เหตุใดอาจารย์อาถึงแพ้ได้?”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันกล่าวว่า “เจ้านี่ซื่อบื้อจริงๆ ไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่”
เวลานี้กู้ชิงถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาจารย์ถึงคิดว่าเรื่องของหวังเสี่ยวหมิงไม่สำคัญ
อาจารย์เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาอย่างที่ยากจะเห็นได้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกตัวเองได้ยินเข้า…
เขาตื่นเต้นจนไม่รู้จะวางมือเอาไว้ที่ไหน โชคดีที่ในเวลานี้มีสียงทักทายของเยาซงซานดังขึ้นมาจากด้านหน้าเรือน
……
……
ในเรือนด้านหน้าของเรือนลอกคราบเต็มไปด้วยคน
ฟางจิ่งเทียนยังอยู่หัวแถว หนานว่างนั่งอยู่ทางด้านซ้าย ไป๋หรูจิ้งผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเทียนกวงและผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ศิษย์คนอื่นๆ ย่อมต้องยืนอยู่ จัวหรูซุ่ยยืนอยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตา
นี่คือการประชุมของชิงซาน
จิ๋งจิ่วเดินเข้ามา มองดูสถานการณ์ภายในเรือน ยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีทีท่าว่าจะคารวะ
บรรยากาศภายในเรือนค่อนข้างตึงเครียด
กู้ชิงมองดูรอบๆ ก่อนจะย้ายเก้าอี้มาตัวหนึ่ง วางลงข้างหนานว่าง จากนั้นถอยกลับไปในกลุ่มคน
จิ๋งจิ่วพอใจกับการแสดงออกจากกู้ชิง แต่เมื่อเห็นว่าเขาวางเก้าอี้เอาไว้ใกล้หนานว่างขนาดนั้น จึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร
ถ้าจะพูดถึงความวุ่นวาย เหลียนซานเยวี่ยย่อมเป็นอันดับแรก
อันดับสองก็คือหนานว่าง
ไม่อย่างนั้นทำไมตอนนั้นเขาถึงต้องไปเก็บตัวอยู่ในถ้ำด้วย? เพราะทั้งที่จริงแล้วการบำเพ็ญเพียรอยู่ริมผานั้นอากาศดีกว่ามาก
ในตอนนั้น หนานว่างที่ยังเป็นสาวน้อยมักจะมาร่ำสุราอยู่บนยอดเขาชิงหรงทุกคืน พลางร้องเพลงรักของเผ่าเร่ร่อนทางใต้ให้แก่ยอดเขาฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามของยอดเขาชิงหรงก็คือยอดเขาเสินม่อ
หนวกหู
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พลางนั่งลงไปบนเก้าอี้
บรรยากาศตึงเครียดภายในเรือนคลี่คลายไปทันที เพียงแต่รู้สึกค่อนข้างกระอักกระอ่วน
กู้ชิงย้ายเก้าอี้เข้ามา ก็เพื่อจะบอกทุกคนว่าอาจารย์ของเขามีความอาวุโสเทียบเท่าผู้อาวุโสสี่ท่านนี้
หากจะพูดคุยหารือนั้นย่อมได้ แต่อย่ามาวางทีท่าเหมือนจะสอบสวน
หนานว่างร้อนใจ กล่าวถามว่า “ระหว่างเจ้ากับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่มีอะไร”
หนานว่างกรอกตาใส่ กล่าวว่า “อย่างนั้นเหตุใดพวกนางถึงเห็นด้วยกับการกระทำที่เหลวไหลเช่นนี้ของเจ้าด้วย?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “นักพรตจิ๋งหยางกับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีความสัมพันธ์กันในอดีต บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้”
สิ่งที่หนานว่างไม่อยากได้ยินมากที่สุดก็คือคำตอบนี้
นางยังไม่ทันแสดงความโกรธ ภายในเรือนก็มีเสียงตะโกนอย่างโมโหระเบิดขึ้นมา
ไป๋หรูจิ้งกล่าวเสียงดังว่า “เจ้าเป็นศิษย์ชิงซาน จะไปเป็นตัวแทนสำนักอื่นเข้าร่วมงานชุมนุมได้อย่างไร!”
จิ๋งจิ่วยอมตอบคำถามของหนานว่าง ถึงแม้เขาจะไม่เต็มใจเท่าไรก็ตาม แต่กับคนผู้นี้ เขาไม่แม้กระทั่งเหลือบมอง
ไป๋หรูจิ้งยิ่งโมโห กล่าวตะคอกว่า “เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากเจ้าจะอยากถูกขับออกจากสำนัก!”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่สนใจ เพียงแต่มองดูพื้นอย่างเงียบๆ
ในกลุ่มคน หนังตาของจัวหรูซุ่ยยังคงตกลงมา เขาเองก็มองดูพื้นเช่นกัน
นอกจากทั้งสองคนที่มองดูพื้นและกู้ชิงที่ไม่รู้ว่าออกไปจากเรือนตั้งแต่ตอนไหน ทุกคนที่อยู่ในเรือนต่างกำลังมองไปที่ฟางจิ่งเทียน
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสามของชิงซานนับจากเจ้าสำนักและกฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิง ในที่ประชุมนี้มีเพียงเขาที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้
ฟางจิ่งเทียนสีหน้าเรียบเฉย กล่าวว่า “ไม่มีเหตุผลให้ทำเช่นนี้ นอกเสียจากเจ้าไม่ได้มองตัวเองเป็นศิษย์ชิงซาน ถึงจะทำเช่นนี้ได้”
จิ๋งจิ่วยังคงไม่สนใจ
การประชุมกลายเป็นการพูดอยู่เพียงฝ่ายเดียว บรรยากาศภายในเรือนยิ่งกระอักกระอ่วน
กู้ชิงเดินเข้ามา ยกถ้วยชามาวางไว้บนโต๊ะชาที่อยู่ข้างจิ๋งจิ่ว
บรรยากาศกระอักกระอ่วนถูกคลี่คลายลงไปบ้าง
จิ๋งจิ่วคิดว่าไม่จำเป็น แต่ก็ไม่คิดอยากจะหักหานน้ำใจศิษย์ จึงยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง
ไป๋หรูจิ้งยิ่งโกรธ ชี้หน้ากู้ชิงพลางกล่าว “รู้จักแต่ประจบสอพลอ แล้วจะบรรลุมรรคาได้อย่างไร! อาจารย์เป็นอย่างไร ศิษย์ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ!”
ตอนนี้กู้ชิงมีชื่อเสียงที่ดีไปทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรต มิใช่แค่ในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานเท่านั้น
เขาเป็นอาจารย์ขององค์ชายจิ่งเหยา ยิ่งไปกว่านั้นยังทำอะไรละเอียดรอบคอบ จัดการเรื่องราวต่างๆ ในยอดเขาเสินม่อได้อย่างเรียบร้อย
แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ที่ไม่ดีอยู่เช่นกัน บอกว่าเขาประสบอาจารย์มากเกินไป
กู้ชิงไม่สนใจคำวิจารณ์เหล่านี้ แต่วันนี้คำวิจารณ์นี้กลับออกมาจากปากผู้ที่เป็นอาจารย์ชิงซาน สถานการณ์ย่อมต้องไม่เหมือนกัน
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
จิ๋งจิ่ววางถ้วยชา มองไปทางไป๋หรูจิ้งแล้วกล่าวว่า “ท่านก็สอนศิษย์เป็นหรือ?”
เขาหมายถึงหลิ่วสือซุ่ย
คนส่วนใหญ่ภายในเรือนเป็นศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่าง ย่อมต้องรู้เรื่องในอดีตนั้นเป็นอย่างดี
หลิ่วสือซุ่ยทำความดีความชอบในศึกถล่มลานเมฆ จากนั้นกลับมายังชิงซานใหม่อีกครั้ง
ในตอนนั้นไป๋หรูจิ้งที่เคยเย็นชาไร้เยื่อใยต่อเขาคิดอยากจะรับเขาเป็นศิษย์อีกครั้ง แต่กลับถูกหลิ่วสือซุ่ยปฏิเสธ
ไป๋หรูจิ้งเสียหน้าเป็นอย่างมาก
ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานต่างรู้ว่าห้ามพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขา
แต่จิ๋งจิ่วกลับพูดออกมา
ไป๋หรูจิ้งใบหน้าแดงเล็กน้อย กล่าวว่า “อย่างน้อยข้าก็ไม่ค่อยสอนศิษย์ที่ถูกขังอยู่ในคุก…”
จิ๋งจิ่วไม่อยากจะฟังต่อไปอีก เขาลุกขึ้นยืน
คนอื่นไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ม่านตาของฟางจิ่งเทียนกลับหดเล็กลง
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินออกไปจากเรือน
กู้ชิงเดินตามออกไป
การกระทำที่ดูเหมือนไม่มีมารยาทแสดงให้เห็นถึงความหมายที่แข็งกร้าว
เขาไม่สนใจการประชุมของชิงซานครั้งนี้
ไม่มีใครมีสิทธิ์จะมาตัดสินว่าเขาใช่ศิษย์ชิงซานหรือไม่
“เหลวไหลที่สุด! เหลวไหลที่สุด!”
ไป๋หรูจิ้งตะโกนออกมาอย่างโมโห “เอาไว้ศิษย์พี่เจ้าสำนักมาถึงก่อน ข้าจะต้องขอให้ลงโทษคนผู้นี้ให้หนัก! ไม่สิ ต้องไล่มันออกไปจากสำนัก!”
หนานว่างเหลือบมองเขา ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าปัญญาอ่อนหรือเปล่า?
ฟางจิ่งเทียนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในใจครุ่นคิดว่าเห็นๆ อยู่ว่าเขามิใช่อาจารย์อาเล็ก แต่เหตุใดในตอนที่เขาลุกขึ้นยืน ตนเองกลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย?
……
……
สำนักจงโจวเชิญสำนักบำเพ็ญพรตทุกสำนักบนโลก ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมารวมตัวกันที่นี่
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักและผู้บำเพ็ญพรตสำนักเล็กๆ แล้ว ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคา แต่การที่ร่วมชมงานก็ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง จะส่งผลต่อการบำเพ็ญเพียรในอนาคตอย่างมาก เพราะในงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ ท่านนักพรตถานซึ่งเป็นเจ้าสำนักจงโจวและท่านนักพรตหลิ่วเจ้าสำนักชิงซานจะมาแสดงธรรมเทศนาด้วยตัวเอง มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่ปฏิเสธคำเชิญ
การที่ได้ฟังยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์สองคนแสดงธรรม แล้วยังอาจจะได้เห็นการแสดงวิชา นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ
จิ๋งจิ่วบอกกู้ชิงว่าไม่ต้องมาคอยรับใช้ตน ให้ไปตั้งใจฟังสักสองสามวัน
ตัวเขาย่อมไม่ไป นั่งมองดูหุบเขาที่อยู่ในเมฆหมอกด้านนอกรั้ว ครุ่นคิดเรื่องราวเงียบๆ
ทุกคนน่าจะกำลังฟังนักพรตสองคนนั้นแสดงธรรมอยู่ เขานึกว่าจะไม่มีใครมารบกวน คิดไม่ถึงว่าจะมีเสียงกระดิ่งดังลอยมาตามลม
เซ่อเซ่อนั่งลงข้างเขา กล่าวต่อว่าว่า “เรื่องที่เจ้ารับปากข้า ยังจะทำหรือไม่ทำ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ทำ”
เซ่อเซ่อเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา กล่าวว่า “ช่วยข้าฆ่าเหล่าไท่จวิน”
จิ๋งจิ่วมองนาง
เขาเคยเห็นเรื่องราวแปลกประหลาดมามากมาย ได้ยินเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อมามากมาย แต่คนที่มาขอให้เขาช่วยฆ่าย่าของตัวเอง….นี่เป็นครั้งแรก
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ได้”
เซ่อเซ่อดีใจ ส่งเสียงหัวเราะสดใสคล้ายกระดิ่ง
กระดิ่งตรงข้อมือของนางดังขึ้นมา คล้ายกำลังหัวเราะยินดี
……………………………………………………….