มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 112 ชื่อของเจ้า (2)
คันฉ่องฟ้ากระจ่างคือของวิเศษชั้นสวรรค์ แล้วก็ถูกเรียกว่าเป็นของวิเศษของเซียน แต่มันไม่เคยออกไปจากโลกนี้มาก่อน ตามหลักแล้วไม่ควรจะมีพลังแบบนี้ได้
หรือว่ายันต์เซียนวัฒนะจะอยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่างมาโดยตลอด หรือพูดอีกอย่างก็คืออยู่ในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่ง?
มิน่าตอนนั้นศิษย์พี่หาอย่างไรก็หาไม่พบ
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ความรู้สึกภายในใจจิ๋งจิ่วยิ่งชัดเจนขึ้น ยังคงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร
ยังมีผู้เข้าร่วมการประลองทยอยเดินเข้ามาในถ้ำ
ไป๋เจ่า เชวี่ยเนียงแห่งสำนักจิ้งจง บัณฑิตซีจากเรือนอี้เหมา แล้วยังมีบัณฑิตจากสำนักคุนหลุนผู้นั้น ทุกคนล้วนแต่ผ่านการทดสอบ
พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นคันฉ่องฟ้ากระจ่าง หลังจากนั้นก็นั่งลงไปบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็ว
ไป๋เจ่าย่อมมิได้ทำเช่นนี้ สามารถมองออกได้ชัดเจนว่าถงเหยียนไม่เคยเข้ามาในคันฉ่องฟ้ากระจ่างมาก่อน แต่นางกลับคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี
ในฐานะที่เป็นบุตรสาวของนักพรตเจ้าสำนักและนักพรตไป๋ สถานะของนางในเขาอวิ๋นเมิ่งมีความพิเศษจริงๆ ดูแล้วเหมือนนางจะเคยบำเพ็ญเพียรที่นี่หรือกระทั่งในดินแดนแห่งความฝันมาหลายครั้งแล้ว
อาสนะยี่สิบหกใบถูกนั่งจนเต็ม ชิงเอ๋อร์บินเข้ามา ตบมือครั้งหนึ่ง
แขนนับพันเคลื่อนไหว มีลมพัดขึ้นมา
ทุกคนตื่นขึ้นมาจากสมาธิ มองดูกันและกัน สายตาดูเร่าร้อนกว่าก่อนหน้านี้ เพียงแค่พลังเซียนเบาบางที่แผ่กระจายออกมาจากคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เพียงแค่ทำสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แต่พวกเขากลับรู้สึกแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด หากได้ยันต์เซียนวัฒนะมา เช่นนั้นมันจะก่อให้เกิดผลอย่างไรกัน?
ไม่มีใครยอมทิ้งโอกาสแบบนี้
“อีกประเดี๋ยวคันฉ่องฟ้ากระจ่างจะนำพวกเจ้าเข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน ตอนแรกจะค่อนข้างมืด ไม่ต้องกลัว”
ชิงเอ๋อร์บินขึ้นไปตามสายลม บินออกไปจากโพรงถ้ำที่อยู่ด้านบน
ทุกคนรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย สายตาเริ่มขยับขึ้นมา
ในดินแดนแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งน่าจะไม่ใช่การขึ้นไปประลองบนเวทีแบบตัวต่อตัว หากแต่เป็นการสู้พร้อมกันทั้งหมด อย่างนั้นก่อนที่จะเข้าไปด้านในก็ต้องคิดถึงปัญหาบางอย่าง — สำนักจงโจวถูกดวงจิตคันฉ่องฟ้ากระจ่างตัดสิทธิ์ไปสองคน แต่ยังคงมียอดฝีมืออย่างไป๋เจ่าและถงเหยียนอยู่ ไป๋เชียนจวินนั้นยิ่งดูน่ากลัว หากคิดอยากจะเดินไปให้ถึงที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ก็ต้องร่วมมือกันรับมือพวกเขา
สำนักชิงซานย่อมต้องเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุด สายตาจำนวนมากมองไปทางจิ๋งจิ่ว จากนั้น…เลื่อนออก
เขาแข็งแกร่ง แต่ก็ขี้เกียจอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือความสัมพันธ์ของเขากับไป๋เจ่านั้นซับซ้อนเกินไป
สายตาบางคู่มองไปที่จัวหรูซุ่ย
จัวหรูซุ่ยก้มหน้า หนังตาตกลง
ไม่สามารถสบตาได้ ย่อมไม่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้
สายตาเหล่านั้นได้แต่ต้องเลื่อนออกไปอีกครั้ง
สายตาภายในถ้ำลอยไปมาวุ่นวาย ไม่มีเสียงแต่กลับคึกคักเป็นอย่างมาก
……
……
ชิงเอ๋อร์ยิ่งบินยิ่งสูง แหวกเมฆหมอกขึ้นไปด้านบน
ริมผามีแท่นหินอยู่ เมฆหมอกหนาทึบ พอจะมองเห็นร่างคนได้ลางๆ สิบกว่าร่าง
นักพรตถานเจ้าสำนักจงโจว นักพรตหลิ่วเจ้าสำนักชิงซาน ปู้ชิวเซียวเจ้าแห่งเรือนอี้เหมา สมณะตู้ไห่แห่งอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิง เจ้าสำนักคุนหลุน เจ้าสำนักต้าเจ๋อล้วนแต่อยู่ที่นี่
“มีศิษย์อยู่สิบกว่าคนที่สภาวะยังไม่นิ่ง ใจแห่งเต๋ายังไม่มั่นคง หากเข้าไปในคันฉ่องฟ้ากระจ่างอาจเกิดเรื่องได้ ข้าเลยไม่ให้พวกเขาเข้าไป”
ปีกโปร่งแสงกระพือปีกเบาๆ เกิดเป็นหมอกบางๆ คล้ายควัน ใบหน้าของชิงเอ๋อร์ที่อยู่ในหมอกดูคล้ายภาพลวงตา งดงามและดูแปลกประหลาด
“แล้วก็มีคนที่น่าจะเป็นผู้สืบทอดของนิกายเสวี่ยหมัว เร้นกายอยู่ในสำนักตั้งแต่ยังเล็ก ข้าทำสัญลักษณ์เอาไว้บนร่างกายเขาแล้ว พวกท่านจัดการกันเอง”
ภายในหมอกมีเสียงเนือยๆ ของนักพรตถานดังขึ้นมา “ขอบใจเจ้ามาก”
ชิงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย หมุนตัวหายไปในหมอก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
นางปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
บนยอดเขาไม่มีตำหนักอะไร แต่ริมผากลับมีรั้วอยู่
นักพรตไป๋ยืนอยู่ริมริ้ว ร่างกายแผ่ไอเย็นยะเยือก คล้ายกับภูเขาหิมะ
ชิงเอ๋อร์บินไปด้านหลังนาง
นักพรตไป๋หมุนตัวกลับมา กล่าวถามว่า “มองเห็นอะไรบ้าง?”
ชิงเอ๋อร์กล่าวว่า “จิ๋งจิ่วมิใช่ชื่อของเขา”
……
……
คันฉ่องก็คือกระจก
คันฉ่องฟ้ากระจ่างคือกระจกบานหนึ่ง
เมื่อส่องกระจกสามารถแก้ไขเสื้อผ้า สามารถแยกแยะถูกผิด
ไม่มีใครสามารถแอบซ่อนตัวตนที่แท้จริงเมื่ออยู่ตรงหน้ากระจกได้
คันฉ่องฟ้ากระจ่างนั้นคือกระจกที่มหัศจรรย์ที่สุดบนโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มันอาจจะไม่รู้ว่าใครงามที่สุด แต่มันสามารถรู้ได้ว่าใครกำลังโกหก
นางคือดวงจิตของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ดังนั้นจึงกลายเป็นด่านแรกของงานชุมนุมแสวงมรรคาในวันนี้ คำถามที่นางถามเหล่านี้ดูเหมือนน่าเบื่อ แต่ความจริงแล้วกลับมีความหมายลึกซึ้ง
จัวหรูซุ่ยระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เขาคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงไปได้
จิ๋งจิ่วไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะในตอนนั้นทีท่าและปฏิกิริยาของชิงเอ๋อร์ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าคำถามที่นางถามออกมาไม่มีอะไรผิดปกติ
ยิ่งไปกว่านั้นคำถามนั้นก็ง่ายอย่างมาก จะหลุดพูดความลับอะไรออกมาได้?
เดิมทีจิ๋งจิ่วก็เป็นชื่อของเขาอยู่แล้ว
“แต่ที่แปลกก็คือเขาเองก็มิได้โกหก ข้าไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น”
หลังชิงเอ๋อร์พูดจบประโยคนี้ก็มิได้พูดอะไรอีก
นักพรตไป๋นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
ชิงเอ๋อร์มองแผ่นหลังของนาง รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางรู้สึกว่าพลังจากร่างกายของจิ๋งจิ่วนั้นมีความคุ้นเคย เกิดความรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าเจอเผ่าพันธุ์ของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
นางไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่นักพรตไป๋
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดขึ้นมาที่นางโกหกนักพรตไป๋ หรือพูดอีกอย่างก็คือปิดบัง
แต่ที่นางไม่รู้ก็คือ ในเวลานี้ต่างหากที่ถือได้ว่านางมาถึงโลกนี้อย่างแท้จริงแล้ว
“อย่างนั้นก็เริ่มเถอะ”
นักพรตไป๋กล่าว
นางยื่นมือไปในท้องฟ้า หยิบเอาไข่มุกคืนสวรรค์เม็ดนั้นลงมา
ทั่วทั้งเขาอวิ๋นเมิ่งต่างสังเกตเห็น ภาพแสงนั้นหายไป ผู้คนที่อยู่ด้านนอกหุบเขาพากันส่งเสียงพูดคุยขึ้นมา
ในส่วนลึกของเมฆคล้ายมีเสียงดนตรีเซียนดังลอยออกมา
เหล่าผู้แสวงมรรคายี่สิบหกคนที่อยู่ข้างคันฉ่องฟ้ากระจ่างต่างได้ยินเสียงดนตรีเซียนที่ฟังดูเลื่อนลอย
เสียงดนตรีอยู่ห่างไกล แต่ก็คล้ายว่าดังอยู่ข้างหู
พวกเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เข้าไปในโลกอันมืดมิด
มือข้างหนึ่งคีบไข่มุกคืนสวรรค์เม็ดนั้นเอาไว้ ก่อนจะวางไว้กึ่งกลางของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ไข่มุกคืนสวรรค์ค่อยๆ ลอยลงไป
คล้ายดวงอาทิตย์ตามเย็นที่ตกลงไปในทะเล
……
……
บนท้องฟ้าเหนือเขาอวิ๋นเมิ่ง ฉากแสงที่หายไปไม่นานปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตมองดูฉากแสง พากันส่งเสียงพูดคุยขึ้นมา
ฉากแสงกำลังจะฉายภาพที่อยู่ในดินแดงแห่งความฝันอวิ๋นเมิ่งหรือ?
บนฉากแสงในเวลานี้ไม่มีภาพอะไร มีแต่ความมืด
คล้ายกับผ้าสีดำ บดบังท้องฟ้าเอาไว้
ภายในความมืดพลันมีจุดแสงปรากฏขึ้นมา
จุดแสงจุดนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ กลายเป็นวงกลมวงหนึ่ง เปล่งแสงสว่างและความร้อนออกมา
พระอาทิตย์แหวกม่านพลังที่ไร้รูปลักษณ์ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ส่องสว่างฟ้าดินแห่งนั้น
โลกตื่นขึ้นมา
โลกนี้มีทุ่งหญ้า มีเทือกเขา มียอดเขาหิมะ มีมหาสมุทร
แล้วยังมีทุ่งกว้าง มีหมู่บ้าน มีเมือง
ในหมู่บ้านมีวัวมีแพะ ในเมืองมีประชาชน
ชานเมืองมีวัด ภายในวังมีขันที
ทุกอย่างล้วนดูคุ้นเคย ไม่ต่างอะไรกับแผ่นดินเฉาเทียน
ในตำหนักแห่งหนึ่งมีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมา
ฮงเฮาสิ้นพระชนม์เพราะคลอดยาก ฝ่าบาทโทมนัสเป็นยิ่งนัก ร่ำไห้จนเกือบสลบไป
ภายในตำหนักวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง องค์ชายที่เพิ่งประสูติออกมาไม่มีใครสนใจ บนร่างกายยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อน
หลังจากนั้น ทารกผู้นั้นลืมตา
ดวงตาของเขาเหมือนดั่งมหาสมุทร คล้ายสงบเยือกเย็น แต่กลับกว้างใหญ่ไพศาล แอบซ่อนพายุคลื่นลมเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง อารมณ์ทุกอย่างภายในดวงตาเขาพลันหายไปจนหมด เหลือเพียงความสงบ แล้วก็ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาใหม่ภายในถ้ำหิน
น่าหงุดหงิดจริงๆ
…………………………………………………………………