มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 119 คนที่ไม่อาจถูกลืมได้เหล่านั้น (2)
รัชทายาทตกลงมา กลิ้งมาถึงข้างสระน้ำ
จากนั้นเขามองเห็นขันทีน้อยผู้หนึ่ง ริมฝีปากเต็มไปด้วยคราบมัน กำลังมองดูตนเองด้วยสีหน้าตกใจงุนงง
รัชทายาทโมโหเล็กน้อย ในใจคิดว่าหากมิเป็นเพราะได้กลิ่นควันและตกใจที่เห็นแสงจากเปลวไฟ ตนเองจะทำกิ่งไม้หักและตกลงมาในสภาพที่กระเซอะกระเซิงเช่นนี้ได้อย่างไร ในขณะที่เขาเตรียมกำลังสั่งสอนขันทีน้อยผู้นี้ ขันทีน้อยผู้นี้กลับพุ่งเข้ามาเอามือปิดปากเขาไว้ พลางส่งเสียงชู่ๆ เพื่อบอกให้เงียบ ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกขอร้องวิงวอน
รัชทายาทมองดูท่าทางที่น่าสงสารของขันทีน้อย รู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อย
ขันน้อยค่อยๆ คลายมือออก พลางกล่าวเอาใจว่า “อย่าตะโกน อย่าตะโกน เดี๋ยวข้าแบ่งปลาให้เจ้ากินแล้วกัน”
รัชทายาทมองดูปลาย่างที่ถูกกิ่งไม้แทงทะลุในมือเขา พลางกล่าวถามอย่างตกตะลึงเล็กน้อยว่า “ปลานี่มาจากไหน?”
ขันทีน้อยตอบออกมาว่า “ปลาก็ต้องมาจากในสระสิ จะให้มันจะมาจากบนต้นไม้หรือยังไง?”
รัชทายาทยิ่งรู้สึกโกรธ ในใจครุ่นคิดว่านี่เป็นขันทีน้อยจากตำหนักไหน ปากคอถึงได้เราะร้ายเช่นนี้
ขันทีน้อยฉีกเนื้อปลาออกมาชิ้นหนึ่งส่งให้เขา พลางกล่าวว่า “ที่ข้าให้เจ้ากิน มิใช่เพราะจะปิดปากเจ้าหรอกนะ แต่เห็นเจ้าผอมแบบนี้ หน้าซีดแบบนี้ จุ๊ๆ ช่างน่าสงสารเสียจริง…. เป็นขันทีจากตำหนักไหนล่ะ? ดูสิแก้มตอบจนยุบเข้าไป ปากแหลมออกมาหมดแล้ว”
รัชทายาทงุนงง รับเอาเนื้อปลามาแล้วส่งเข้าไปในปาก จากนั้นตกตะลึงพลางกล่าวว่า “หอมจริงๆ”
……
……
วันที่สองเหอจานเข้าไปในเรือนของขันทีชราแซ่หงอีกครั้ง
ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องโบกพัดอีก หากอยากจะได้ตำแหน่งหน้าที่ที่ดีแบบนี้ ก็จำต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้
รอยบวมแดงบนใบหน้าเป็นเพียงค่าตอบแทนเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่มีประโยชน์จริงๆ ก็คือป้ายหยกที่รัชทายาทมอบให้แก่เขาเมื่อคืนนี้
ขอเพียงรัชทายาทยังอยู่ ป้ายหยกก็จะมีบ่อยๆ เค้าไม่ได้รู้สึกหวงแหนอะไร
เขาเก็บกวาดเรือนจนสะอาด จากนั้นเข้าไปในห้อง คุกเข่าอยู่ตรงหน้าขันทีชราแซ่หง
ขันทีชราแซ่หงพบว่าเป็นเด็กน้อยผู้นี้ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ได้คำตอบแล้วหรือ?”
คำถามนั่นก็คือ ‘ทำไมล่ะ’
เหอจานกล่าวว่า “เมื่อคืนนี้ ข้ากินปลาย่างกับองค์รัชทายาทขอรับ”
ในดวงตาอันขุ่นมัวของขันทีชราแซ่หงเป็นประกายขึ้นมา หัวเราะเสียงดังพลางกล่าวว่า “ไม่เลว! ไม่เลว!”
……
……
เมื่อมีนกชิงเหนี่ยวคอยจับตาดู ผู้คนที่อยู่ด้านนอกหุบเขาหุยอินก็ย่อมต้องได้เห็นเรื่องราวอันยอดเยี่ยมที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันเหล่านั้น
เมื่อได้เห็นภาพขันทีชราแซ่หงเริ่มสอนวิชาให้แก่เหอจาน จากนั้นคิดถึงชีวิตอันน่าเศร้าของเขาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผู้คนก็อดรู้สึกทอดถอนใจมิได้
ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งพลันมีเสียงตบมือดังขึ้นมา
คนที่ตบมือคือเซ่อเซ่อ ภายในปากยังมีปลาแห้งอยู่ ดูคล้ายอสูรทะเลตัวเล็กน่ารักที่อยู่ริมทะเลตะวันตกเหล่านั้น
“นั่งจนเหนื่อยแล้ว ข้าจะไปเดินเล่นที่อื่นเสียหน่อย เจ้าจะไปกับข้าหรือเปล่า?”
นางพูดกับหญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
หญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยตกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าไม่ดูต่อแล้วหรือ?”
เซ่อเซ่อกล่าวว่า “ช่วงตรงกลางมีอะไรน่าดู เอาไว้เจ้าพวกนั้นโตขึ้นอีกหน่อย นั่นต่างหากถึงจะน่าดู”
ในโลกแห่งความเป็นจริง คำว่าเติบโตภายในคืนเดียวนั้นเป็นแค่เพียงการเปรียบเปรย แต่ในงานชุมนุมแสวงมรรคามันกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
หลังจากนั้นห้าวัน เซ่อเซ่อและหญิงสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็กลับมาจากหุบเขาหานสือด้วยเนื้อตัวที่หอมฟุ้ง ผู้แสวงมรรคาที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันเหล่านั้นอายุสิบห้าปีแล้ว
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหน อายุสิบห้าปีก็พอจะถือได้ว่าเป็นผู้ใหญ่
เมื่อเติบโตแล้วก็ต้องเจอกับปัญหามากมาย แล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับความตาย
ด้วยความพยายามในช่วงหลายปีนี้ ถงเหยียนได้สืบพบเบาะแสของผู้แสวงมรรคาสิบกว่าคน เขาไม่ได้ลงมือทำอะไร เพียงแต่แอบสังเกตดูพวกเขาเติบโตอย่างเงียบๆ มีเพียงแค่เมื่อถึงจุดสำคัญบางอย่าง เขาถึงจะลงมือช่วยเหลือ หรือไม่ก็โจมตี หรือกระทั่งสังหาร
แต่ในฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ได้มีเรื่องราวแปลกๆ บางอย่างเกิดขึ้น เขาไม่ได้ลงมือ แต่กลับมีผู้แสวงมรรคาสามสี่คนตายไปอย่างแปลกประหลาด
เมื่อดูจากสิ่งที่ลูกน้องตัวเองสืบมาได้ คนที่ลงมือสังหารนั้นไม่ได้สังกัดอยู่กลุ่มไหน ทุกครั้งจะลงมือเพียงลำพัง
ผู้แสวงมรรคาทั้งยี่สิบหกคนล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่แข็งแกร่ง เข้ามาในดินแดนแห่งความฝันพร้อมกัน เริ่มบำเพ็ญเพียรพร้อมกัน ตามหลักแล้วสภาวะน่าจะใกล้เคียงกัน แต่คนผู้นั้นกลับสังหารได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสภาวะอยู่เหนือกว่าคนที่ตายไปเหล่านั้น
เป็นใครกันที่สามารถบำเพ็ญเพียรได้เร็วขนาดนี้? ถงเหยียนหยิบสมุดเล่มนั้นออกมาจากในช่องลับ นิ้วมือเลื่อนไปบนชื่อเหล่านั้นอย่างช้าๆ ถ้าจะพูดถึงพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรและสภาวะก่อนที่จะเข้ามายังดินแดนแห่งความฝัน ก็ย่อมต้องเป็นจิ๋งจิ่วที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขายากจะออกมาจากวังได้ ต่อให้ออกมาได้เขาก็คงขี้เกียจที่จะทำเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นเป็นใครกันแน่?
ถงเหยียนนวดหว่างคิ้ว พบว่าความทรงจำที่ตนเองมีต่อชื่อเหล่านี้เริ่มจางลง คล้ายกับตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกสีดำบนกระดาษเหล่านั้น
หลายปีมานี้เขาจะหยิบเอาสมุดเล่มนี้ออกมาดูเป็นระยะ แต่ความทรงจำก็ยังลอยห่างออกไป ห่างออกไปจนเหมือนเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วนานแสนนาน หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว
เวลาเป็นอาวุธวิเศษที่น่ากลัวที่สุด ไร้เยื่อใยที่สุด และมิอาจต้านทานมากที่สุด
เขาไม่รู้ว่าผู้แสวงมรรคาที่เหลือรักษาความทรงจำของตัวเองเอาไว้อย่างไร หรือว่าหลายคนได้หลงอยู่ในโลกแห่งนี้ไปเสียแล้ว?
……
……
เจียงรุ่ยออกมาจากบ้านของตัวเอง เตรียมจะซื้อรถม้าคันหนึ่ง
หลายปีมานี้ชีวิตของเขาไม่ได้ดีสักเท่าไร แต่ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่ง เงินสำหรับซื้อรถม้านั้นก็พอจะมีอยู่บ้าง
เขายังไม่ลืมเรื่องที่เขาเคยวางแผนสังหารเหอจานทั้งบ้าน แต่เรื่องก่อนที่จะเข้ามายังดินแดนแห่งความฝัน เขากลับลืมไปไม่น้อยแล้ว
โชคดีที่เขายังไม่ลืมเรื่องงานชุมนุมแสวงมรรคา ไม่ลืมเรื่องผู้แสวงมรรคาเหล่านั้น
เขารู้ว่าตนเองต้องปีนขึ้นไปไม่หยุด กระทั่งถึงจุดสูงสุดของอำนาจ จากนั้นไปถามท่านเทวทูตว่ากระถางสมฤทธิ์อยู่ที่ใด
เป้าหมายจะใหญ่แค่ไหนก็ต้องเริ่มจะเรื่องเล็กๆ
เมื่อหลายปีก่อน เขาได้ทำเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งก่อน
เขาผลักพ่อของตัวเองที่ชอบดื่มสุราและเล่นพนันลงไปในแม่น้ำ แล้วยังโยนก้อนหินลงไปในแม่น้ำอีกหลายก้อนด้วย
จากนั้นเขาใช้เงินที่ขโมยมาซื้อที่ดินให้แม่ของตัวเองสิบกว่าหมู่ แล้วยังจ้างคนงานระยะยาวมาอีกสองสามคน พูดคุยเรื่องแต่งงานของน้องสาวกับทางตระกูลที่ไม่เลวตระกูลหนึ่ง จากนั้นตัวเองเข้าไปเรียนหนังสือในอำเภอ สร้างชื่อเสียง ผูกสัมพันธ์กับคนในอำเภอ ก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
แต่แบบนี้ช้าเกินไป อีกทั้งเขามักจะรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างกำลังขัดขวางเขาไม่ให้เดินต่อไปข้างหน้า
เขาย่อมไม่รู้ว่าพลังที่ว่านี่มาจากเมืองชางโจวที่อยู่ห่างไกล เขายังนึกว่าเป็นเพราะอำเภอเล็กเกินไป
รัฐทายาทของจิ้งอ๋องผู้นั้นจะต้องมีปัญหาแน่นอน ฮ่องเต้น้อยที่โง่เขลาคนนั้นเองก็มีปัญหา เทพแห่งการต่อสู้ที่อยู่เมืองเป๋ยไห่ก็ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
คนเหล่านั้นมีตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่ตนเองก็มาคอยเอาใจตาแก่อยู่ในเมือง มันจะได้ยังไง?
เจียงรุ่ยเดินไปบนถนนพลางคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ร่างกายรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา ภายในหน้าอกรู้สึกฮึกเหิม
จากนั้นเขาพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
บนถนนมีคนชุดดำยืนอยู่ผู้หนึ่ง
……………………………………………………