มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 127 เพื่อนเก่าในพายุหิมะ
ทันทีที่พระราชโองการถูกประกาศออกมา ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏขึ้นมามากมายทันที
รัฐทายาทของอ๋องจิ้งเข้าเมืองหลวง เห็นทีคงยากที่จะออกไปได้อีก นี่จะให้เขามาเป็นตัวประกันอย่างนั้นหรือ?
ปัญหาอยู่ที่ว่าทางชางโจวจะตอบตกลงได้อย่างไร หากปฏิเสธพระราชโองการ หรือแคว้นฉู่จะเกิดศึกภายใน?
ฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือว่านี่เป็นความคิดของมหาบัณฑิตจางและเหล่าขุนนางในราชสำนัก ไม่อย่างนั้นพระราชโองการนี้จะออกมาจากวังได้อย่างไร มีคนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดหลายคนคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือหรือฮ่องเต้ปัญญาอ่อนผู้นั้นจะได้สติขึ้นมา ไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดอีกต่อไป คิดอยากจะดึงเอากำลังจากภายนอกมาสนับสนุนเพื่อรับรองความปลอดภัยของตัวเอง?
การคาดเดาจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง คล้ายกับใบไม้สีเหลืองที่ร่วงโปรยปรายมาจากต้นไม้
เวลาเคลื่อนผ่านไป อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทางชางโจวยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว ผู้คนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
ไม่ว่าดูยังไงรัฐทายาทของอ๋องจิ้งก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำตามพระราชโองการนี้ หรือว่าความเจริญรุ่งเรืองที่ได้มาอย่างยากลำบากจะต้องมาจบสิ้นลงเพราะพระราชโองการนี้?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือว่าราษฎรต่างก็เกิดความเกลียดชังฮ่องเต้ปัญญาอ่อนองค์นั้น ในใจครุ่นคิดว่านี่มันใช่พระราชโองการที่ไหนกัน นี่มันคำสั่งที่เหลวไหลชัดๆ! กระทั่งมหาบัณฑิตจางที่อนุญาตให้ฝ่าบาทประกาศราชโองการก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากด้วย….
หิมะแรกตกลงมา บรรยากาศในเมืองหลวงของแคว้นฉู่หนาวเย็นผิดปกติ
ทหารที่เฝ้าประตูเมืองถูมือไปมา ภาวนาขอให้ฮ่องเต้ปัญญาอ่อนที่อยู่ในวังองค์นั้นรีบๆ ตายไปเสีย ทุกคนรีบลืมพระราชโองการนั้น
ทันใดนั้น เขามองเห็นกองทหารกลุ่มหนึ่งอยู่ไกลออกไปบนทุ่งกว้างด้านนอกเมือง
ภายในพายุหิมะ รัฐทายาทของอ๋องจิ้งเดินทางมาถึงเมืองหลวง
……
……
ความหนาวเย็นภายในเมืองหลวงถูกความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ ประชาชนแทบจะทุกคนต่างแห่กันมายืนอยู่ที่สองฟากของถนน
สายตาที่้ร้อนแรงและอยากรู้อยากเห็นจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองไปยังรถคันที่อยู่หน้าสุดคันนั้น ความหนาวเย็นภายในเมืองหลวงไม่อาจเทียบชางโจวได้ อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ รัฐทายาทของอ๋องจิ้งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างที่เปิดโล่งจึงยังคงโบกมือยิ้มแย้มทักทายให้กับผู้คนที่อยู่ริมถนนได้ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอ
รัฐทายาทของอ๋องจิ้งมีชื่อเสียงอย่างมากในแคว้นฉู่ ทุกคนต่างรู้ว่าเขามีใบหน้าที่งดงาม นิสัยอ่อนโยน ฉลาดปราดเปรื่อง สมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือเขามีร่างกายที่พิการมาแต่กำเนิด เดินเหินไม่สะดวก แต่เขากลับยิ่งเป็นที่รักของเหล่าชาวบ้านด้วยเหตุนี้
ชาวบ้านที่อยู่บนถนนมองดูรัฐทายาทที่อยู่ในหน้าต่าง ภายในใจต่างรู้สึกตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก หญิงสาวเหล่านั้นมองดูรอยยิ้มที่มุมปากของเขา ยิ่งคล้ายลุ่มหลงมึนเมา ขาทั้งสองข้างอ่อนระทวย
มีคนกล่าวว่า “ได้ยินว่าฝ่าบาทเองก็ทรงงดงามอย่างมาก เพียงแต่สมองไม่ค่อยดีเท่าไร”
คำพูดนี้ทำให้เกิดเสียงเยอะเย้ยและดูถูกขึ้นมานับไม่ถ้วน
รัฐทายาทของอ๋องจิ้งยอมเสียสละเสี่ยงอันตรายเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อความสงบสุขของแคว้นฉู่ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องพบเจอกับสงคราม ความกล้าหาญและความเมตตาเช่นนี้ มีหรือที่ฮ่องเต้ปัญญาอ่อนผู้นั้นจะเทียบได้?
จากนั้นหลายคนต่างคิดถึงเรื่องที่่น่ากลัวเรื่องหนึ่ง ในเมื่อฮ่องเต้เป็นคนปัญญาอ่อน เช่นนั้นเขาจะต้องเลอะเลือนเป็นแน่ อีกทั้งยังอาจจะโมโหโกรธเกรี้ยวได้ง่าย เมื่อคิดถึงพระราชโองการที่ให้รัฐทายาทของอ๋องจิ้งเข้าวังหลวง ถ้าเกิดเขาสังหารรัฐทายาทขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร? การคาดเดานี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่สองฝั่งของถนนแตกตื่นกันขึ้นมา บัณฑิตบางคนออกมาโบกมือนำชาวบ้านมุ่งหน้าไปยังวังหลวง เรียกร้องขอพบมหาบัณฑิต โดยบอกว่าจะต้องรักษาชีวิตของรัฐทายาทเอาไว้ให้ได้ เพื่อความสงบของแคว้นฉู่
……
……
ภายในศาลาสำหรับหลบหิมะ รัฐทายาทของอ๋องจิ้งได้เจอกับฮ่องเต้ปัญญาอ่อนที่มีชื่อเสียงผู้นั้น
ในที่สุดถงเหยียนก็ได้พบจิ๋งจิ่ว
ผ่านมายี่สิบปี ถึงแม้จะเป็นคนที่มีปัญญาและสุขุมเยือกเย็นเหมือนอย่างเขาก็ยังอดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวว่า “ดูเหมือนการลงมาเดินในโลกปุถุชนของวัดกั่วเฉิงนั้นจะมีเหตุผลอยู่จริงๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เมื่อก่อนนี้เจ้าไม่เคยเข้ามา?”
ถงเหยียนกล่าว “อืม”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไป๋เจ่าน่าจะเคยเข้ามา”
ถงเหยียนมองเขาอย่างแปลกๆ กล่าวว่า “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนที่จะยุแยงคนอื่น”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าไม่ถนัดจริงๆ”
ถงเหยียนกล่าว “สุดท้ายพวกเราก็เป็นได้แค่พวกเรา ถึงแม้จะมายังดินแดนแห่งความฝัน ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มายี่สิบปี แต่พวกเราก็ยังเป็นพวกเรา”
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของเขา ผู้แสวงมรรคาจะมาเกิดเป็นคนอย่างไรในดินแดนแห่งความฝันนั้นมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับคันฉ่องฟ้ากระจ่าง หากแต่เกี่ยวข้องกับตัวพวกเขาเอง พวกเขาจะกลายเป็นคนที่ตัวเองอยากจะเป็นมากที่สุด เป็นตัวเองที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในความทรงจำ จากนั้นก็จะเติบโตไปตามวิสัยทัศน์และรูปแบบของตัวเองและความปรารถนาที่สำคัญที่สุด จนกระทั่งประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตายจากไป อย่างเช่นไป๋เจ่าที่มองว่าตนเองเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะในอนาคตมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงเกิดมาเป็นองค์หญิง แต่กลับต้องเจอกับความยากลำบากและบททดสอบจำนวนนับไม่ถ้วน คนอื่นๆ เองก็เหมือนกัน
“ศิษย์พี่ไป๋มีความเด็ดขาด เดิมก็ได้รับการชื่นชมจากอาจารย์เป็นอย่างมาก แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าความมุ่งมั่นของเขาจะแรงกล้าถึงเพียงนี้ เมื่ออยู่ที่นี่ยิ่งแสดงฝีมือได้เต็มที่ยิ่งขึ้น จัวหรูซุ่ยคิดอยากจะต่อสู้ ดังนั้นเขาถึงได้กลายเป็นนักฆ่า ถึงแม้สิ่งที่ได้รับจากการบำเพ็ญเพียรจากที่นี่จะไม่สามารถเก็บกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงได้ แต่ข้าคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากที่นี่มากที่สุดอย่างแน่นอน”
ถงเหยียนกล่าวว่า “เหอจานเกลียดความโชคดีตอนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเอง ดังนั้นที่นี่เขาจึงโชคร้ายอย่างมาก สิ่งที่เขาจำได้อย่างชัดเจนก็คือการทรยศหักหลังของเพื่อน ดังนั้นที่นี่เขาจึงพบเจอกับเพื่อนอีก แล้วก็พบเจอกับการหักหลังอีก จนกระทั่งเขาเองก็สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ หรือไม่ก็เอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้”
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร ฟังอย่างเงียบๆ
“เชวี่ยเหนียงอยากเล่นหมากล้อม ดังนั้นนางจึงมาเกิดเป็นลูกชายของเถ้าแก่โรงหมากล้อม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าตัวนางซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญพรตหญิง ในอดีตคงจะเจอกับความลำบากไม่น้อยในสำนักจิ้งจง”
ที่ไป๋เจ่าไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย เพียงเพราะว่านางได้รับความรักจากในเขาอวิ๋นเมิ่ง ไม่เคยเจอกับความยากลำบากอย่างนั้นหรือ?
ถงเหยียนไม่อยากคิดถึงเหตุผลที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดนั้น
จิ๋งจิ่วกล่าว “แล้วเจ้าล่ะ?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “จากที่ข้าคาดการณ์ ในอนาคตข้าอาจจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีที่ยอดเยี่ยมหรือไม่ก็ที่ปรึกษาทางการทหาร”
ไม่ว่าจะเป็นอัครมหาเสนาบดีหรือที่ปรึกษาทางการทหารก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีบทบาทหน้าที่สนับสนุน
คนที่เขาจะสนับสนุนคือใคร เรื่องนี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก
สายตาของจิ๋งจิ่วมองไปยังรถเข็น
บนขาของถงเหยียนมีผ้าขนแกะผืนหนึ่งคลุมเอาไว้อยู่
ในโลกแห่งความเป็นจริงเขาคือศิษย์หนุ่มยอดฝีมือของสำนักจงโจว เป็นคุณชายเซียนที่แท้จริง เหตุใดถึงมาเกิดเป็นคนพิการอยู่ในดินแดนแห่งความฝันได้?
เพราะไป๋เจ่าเกิดมาไม่แข็งแกร่ง ร่างกายอ่อนแอ เขารู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก คิดอยู่ทุกคืนวันว่าอยากจะเปลี่ยนร่างกายกับนาง
คำว่ารักนั้นช่างอันตรายจริงๆ
จิ๋งจิ่งครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
กระทั่งคนที่ฉลาดขนาดนี้ก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถงเหยียนรู้ว่าเขาคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงดึงผ้าขนแกะขึ้นมาเล็กน้อย มองเขาพลางกล่าวว่า “สิ่งเดียวที่ข้าคิดไม่เข้าใจก็คือเหตุใดเจ้าถึงมาเกิดเป็นองค์ชายของแคว้นฉู่? ด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เด็ดขาด ดังนั้นข้าจึงรู้สึกสงสัยจริงๆ ว่าสถานะที่แท้จริงของเจ้าในโลกแห่งความเป็นจริงคือใคร เพราะตระกูลจิ๋งในเมืองเจาเกอไม่มีทางเลี้ยงลูกชายอย่างเจ้าออกมาได้”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ตอบคำถามเขาตรงๆ หากแต่กล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนอื่นทั้งหมดได้ รวมทั้งเจ้าและข้า”
“ผู้แสวงมรรคายี่สิบหกคน ถูกจัวหรูซุ่ยฆ่าตายไปเจ็ดคน ข้าฆ่าไปสองคน ยังเหลืออีกสิบเจ็ดคน ในนั้นมีเก้าคนที่อยู่ในการควบคุมของข้า สามารถกำจัดทิ้งได้ทุกเมื่อ ยังเหลืออีกเจ็ดคนก็คือซีอี้อวิ๋น เหอจาน จัวหรูซุ่ย ไป๋เขียนจวิน เจ้า…แล้วก็มีเขา”
ถงเหยียนมองไปทางองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกศาลาผู้นั้น จากนั้นกล่าวต่อว่า
“ซีอี้อวิ๋นไม่เคยปรากฏตัวออกมา ค่อนข้างแปลก จัวหรูซุ่ยร่องรอยไม่แน่นอน ยากจะจับได้ ข้าได้แต่ต้องลองควบคุมพวกเจ้าห้าคนก่อน”
จิ่งจิ่วกล่าวว่า “ไม่อาจควบคุมได้ก็ต้องลองฆ่า คนเจ็ดกลุ่มที่เจ้าส่งเข้ามาในช่วงหลายปีนี้ช่างน่ารำคาญจริงๆ”
หลังอายุสิบห้า เขาก็ไม่เคยกินอาหารอีก ส่วนเรื่องที่ว่าเขาปิดบังขันทีและนางกำนัลเหล่านั้นได้อย่างไร นั่นย่อมเป็นเพราะมีหลิ่วสือซุ่ยคอยจัดการ
ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยู่ในวัง ไม่เคยก้าวออกจากประตูวังแม้แต่ก้าวเดียว การจะสังหารเขานั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆ
แต่ถงเหยียนไม่ได้ล้มเลิกความพยายาม เพียงแต่ไม่สำเร็จ
เขามองไปทางองครักษ์ที่อยู่นอกศาลาคนนั้นอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ อีกทั้งยังมีความอดทนขนาดนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เมื่อรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร การจะรับมือก็ย่อมไม่ยาก”
ถงเหยียนกล่าว “ปัญหาก็คือเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่ข้าส่งมา? ทำไมถึงไม่ใช่มหาบัณฑิตจาง? ความเชื่อใจที่เจ้ามีต่อเขามาจากไหนกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่เกี่ยวกับความเชื่อใจ เพียงแต่ถ้าเขาอยากจะฆ่าข้า เขาจะต้องรวบรวมกองทัพบุกเข้ามาโจมตีอย่างแน่นอน ไม่มีทางใช้มือสังหารมาลอบสังหารแบบนั้นแน่”
ถงเหยียนกล่าว “เจ้าชื่นชมเขาอย่างมาก”
ถงเหยียนกล่าว “เขาช่วยข้าจัดการเรื่องราวไปมากมาย”
ถงเหยียนกล่าวถามว่า “เช่นนั้นทำไมถึงเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นไม่ได้? อย่างเช่นไป๋เชียนจวิน อย่างเช่นเหอจาน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเป็นฮ่องเต้ปัญญาอ่อน สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรน่ากลัว”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ไม่มีใครคิดว่าจิ๋งจิ่วแห่งชิงซานเป็นคนปัญญาอ่อน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ที่ว่าปัญญาอ่อนนั้นหมายถึงพฤติกรรมที่โง่เขลา สำหรับพวกเขาแล้ว การตัดสินใจของข้าหรือก็คือเส้นทางที่ข้าเลือกนั้นผิด เช่นนั้นข้าก็เป็นคนปัญญาอ่อน”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ข้าไม่คิดเช่นนี้ ถึงแม้จนถึงตอนนี้ข้าจะยังคิดไม่ออกว่าเส้นทางที่เจ้าเลือกคืออะไร”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นฝ่ายถูก ดังนั้นถึงได้คิดฆ่าข้า”
ถงเหยียนกล่าว “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าต่างหากที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของศิษย์น้อง คนอื่นไม่มีอะไรน่ากลัว ดังนั้นมีแต่ต้องฆ่าเจ้า ข้าถึงจะวางใจได้”
ถงเหยียนกล่าวว่า “เจ้าคิดถูกแล้ว”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “หวังว่าเจ้าจะให้โอกาสข้าได้พิสูจน์ว่าข้าผิด”
……
……
ริมคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เซี่ยงหว่านซูและเชวี่ยเหนียงทยอยตื่นขึ้นมา หลังมั่นใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น บนใบหน้าก็อดเผยความรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นจึงมองเห็นอีกฝ่าย
เชวี่ยเหนียงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ขอบคุณ”
เซี่ยงหว่านซูกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจ”
ไม่มีคำพูดที่มากกว่านี้ ทั้งสองคนหลับตา จากนั้นเริ่มทำความเข้าใจถึงการตระหนักรู้ที่จากดินแดนแห่งความฝัน
หลังจากนั้นสองวันพวกเขาลืมตาขึ้นมา สบตากันยิ้มๆ เซี่ยงหว่านซูเตรียมพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ พลันได้ยินเสียงบางอย่างดังมาแต่ไกล
ที่นี่คือส่วนลึกของหุบเขาหุยอิน ต่อให้เป็นผู้ที่ชมการประลองที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างออกไปไกลมาก การที่สามารถได้ยินเสียงได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าทางด้านนั้นจะต้องสงสัยฮือฮากันเป็นจำนวนมาก
เชวี่ยเหนียงตื่นเต้นเล็กน้อย นางลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปด้านนอก ผู้แสวงมรรคาคนอื่นๆ ไม่ยอมออกไป มีเพียงเซี่ยงหว่านซูที่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะใช้หลบหนีฟ้าดินไล่ตามออกไป
เมื่อมาถึงด้านนอกหุบเขาหุยอิน มองดูผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่บนหอสูงเหล่านั้น โดยเฉพาะใบหน้าที่ดูคุ้นเคยแต่ก็รู้สึกแปลกหน้าบางใบหน้า เชวี่ยเหนียงและเซี่ยงหว่านซูต่างงุนงงสับสน
แต่พวกเขายังไม่ทันจะคลายความงุนงงสับสนนี้ก็ถูกภาพที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าดึงดูดความสนใจเอาไว้
ไข่มุกคืนสวรรค์ที่ฝังอยู่ในคันฉ่องฟ้ากระจ่างก็คือพระอาทิตย์ที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
ภาพที่มันฉายอยู่บนท้องฟ้าคือโลกนั้น
ภาพนั้นเป็นทรงกลม คล้ายหน้าต่างในสำนักชีแห่งหนึ่ง
ภายในหน้าต่างมีกิ่งไม้ที่อยู่ท่ามกลางหิมะกิ่งหนึ่ง ตรงปลายกิ่งไม้มีนกชิงเหนี่ยวเกาะอยู่ตัวหนึ่ง
อีกฟากหนึ่งคือวังหลวงแคว้นฉู่ ปรากฏอยู่ลางๆ ในพายุหิมะ
องครักษ์ผู้หนึ่งยืนอยู่นอกศาลา บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยหิมะ
ภายในศาลา จิ๋งจิ่วและถงเหยียนนั่้งเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ บนกระดานหมากล้อมที่อยู่ตรงกลางมีหมากสีดำอยู่เม็ดหนึ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ เชวี่ยเหนียงต้องใช้มือปิดปากเอาไว้ถึงจะไม่ร้องออกเสียงออกมา แต่ในดวงตากลับเปียกชื้น
……………………………………………………………….