มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 140 เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมา ดอกไม้พากันร่วงโรย (1)
ในแคว้นฉู่มีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นพระพักตร์ฝ่าบาทที่เก็บตัวอยู่ในวังมาเป็นเวลาหลายสิบปี อย่างเช่นเจ้าหน้าที่และเหล่าทหารที่เข้ามาค้นเรือนมหาบัณฑิตในวันนี้ล้วนแต่ไม่เคยเห็นฝ่าบาทมาก่อน เมื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินออกมาจากในห้องของเหล่าฮูหยิน พวกเขาจึงพากันตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะเป็นคนบ้า?
เจ้ากระทรวงจินเฉิงมีประสบการณ์มากกว่า เขาเข้ามาทำงานในราชสำนักตั้งแต่ยังหนุ่ม ในอดีตเคยมีบุญวาสนาได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาทในงานราชาภิเษกเมื่อยี่สิบปีก่อน ในตอนนั้นฝ่าบาทเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าขวบ ตอนนี้น่าจะอายุสามสิบแล้ว ถือว่าอยู่ในวัยกลางคน แต่เหตุใดใบหน้าที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ผมสีดำแหวกออกกลับยังดูงดงาม มิได้เปลี่ยนแปลงเลย?
ฝ่าบาทพลันปรากฏตัวขึ้นในเรือนมหาบัณฑิต แผนลับการถูกทำลาย ใบหน้ายังคงเหมือนเดิม สามเรื่องนี้เป็นเหมือนดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของเจ้ากระทรวงจิน ทำให้เขาคุกเข่าลงไปกับพื้นในทันที พลางกล่าวติดขัดว่า “ฝ่าบาท พระองค์…”
ในเวลานี้จ้าหน้าที่และเหล่าทหารถึงได้รู้ตัวขึ้นมา ในใจตกตะลึงเป็นยิ่งนัก ต่างพากันคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที
เหล่าฮูหยินเดินถือไม้เท้าออกมาจากในห้อง มองเห็นภาพคนที่ยืนอยู่เต็มเรือนพักคุกเข่าลงไปพื้นพอดี
จิ๋งจิ่วหมุนตัวมาพูดกับนางว่า “ข้าเคยรับปากเขาเอาไว้ ขอเพียงข้ายังเป็นฮ่องเต้อยู่ ข้าก็จะปกป้องตระกูลของพวกเจ้าไว้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหล่าฮูหยินยิ่งรู้สึกตื้นตัน นางคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา พลางกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”
ภายในเรือนมหาบัณฑิตเงียบสงัด จากนั้นก็มีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมา
เสียงร่ำไห้เหล่านั้นมาจากลูกหลานของมหาบัณฑิตจาง แล้วก็เหล่าผู้ดูแลและคนรับใช้
ราชสำนักเข้าค้นในเรือนวันนี้ ภายในเรือนมหาบัณฑิตมีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เพียงแต่เสียงร่ำไห้ในเวลานั้นคือความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและหวาดกลัว แต่เสียงร่ำภายในเวลานี้คือความรู้สึกยินดีที่รอดพ้นจากภยันตราย
ในบรรดาความผิดที่ราชสำนักเตรียมกล่าวหามหาบัณฑิต โทษที่หนักที่สุดและยากจะลบล้างออกได้ก็คือเรื่องที่เขากำเริบเสิบสานสั่งขังฝ่าบาท
วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมายังเรือนมหาบัณฑิตด้วยตัวของพระองค์เอง ทั้งยังป่าวประกาศอย่างชัดเจน เช่นนี้ยังจะมีใครกล้าพูดอะไรอีก?
เจ้ากระทรวงจินคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนทันที ในที่สุดก็ได้สติขึ้นมา
หากสถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ แผนการที่เขาและเหล่าขุนนางในราชสำนักเตรียมการเอาไว้ก็จะสูญเปล่า เขาไหนเลยจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้?
ต่อให้ฝ่าบาทมิใช่คนปัญญาอ่อน แต่การที่พระองค์ถูกขังอยู่ในวังมาเป็นเวลายี่สิบปี เกรงว่ากระทั่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่สักคนก็คงจะไม่รู้จัก เช่นนั้นเขาจะไปมีอำนาจได้อย่างไร? ต่อให้ตายไปแล้วจะมีปัญหาอะไร?
พลังสายหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานและความละโมบได้ผลักดันให้เจ้ากระทรวงจินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่ว เตรียมจะตะโกนประโยคที่สำคัญที่สุดประโยคนั้นออกมา — คนผู้นี้คือฮ่องเต้ตัวปลอม!
กล้าปลอมตัวเป็นฝ่าบาท นี่คือโทษหนักถึงขั้นตัดแขนตัดขาแล่เนื้อเถือหนัง ถูกมีดนับพันกระหน่ำฟันจนตายก็คงไม่เกินไปกระมัง?
เพื่อจะแอบซ่อนฉลองพระองค์ที่มหาบัณฑิตแอบใส่อยู่เป็นประจำแล้ว เรือนมหาบัณฑิตถึงกับกล้าให้คนปลอมตัวมาเป็นฝ่าบาท ริบทรัพย์และประหารทั้งครอบครัวก็คงไม่เกินไปกระมัง!
ในช่วงเวลาสั้นๆ เจ้ากระทรวงจินคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย ภาพจำนวนมากผุดขึ้นมาตรงหน้า ในภาพเหล่านั้นล้วนแต่เป็นโลหิต
หลังจากนั้น เขาถึงได้พบว่าตัวเองไม่ได้ตะโกนออกมา
เจ้าหน้าที่และทหารหลายร้อยคนคุกเข่าอยู่บนพื้น ใช้สายตาแปลกๆ มองมาที่เขา
เจ้ากระทรวงจินอ้าปาก ใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าหวาดกลัว
เสียงเดียวที่เขาได้ยินคือเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเสียงกลองที่เร่งเร้า คล้ายจะกระเด็นออกมาจากในลำคอของเขา
เร็วขึ้นอีกแล้ว!
ความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายได้ได้ผุดออกมาจากในทรวงอกของเขา เพียงพริบตาก็กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
หากในเวลานี้เขาสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ เขาคงจะต้องกรีดร้องออกมาเหมือนสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองดูจิ๋งจิ่วด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เมื่อมองดูสายตาที่ลึกราวมหาสมุทรคู่นั้น เจ้ากระทรวงจินพลันเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาทันที เหตุใดอาจารย์ถึงไม่กล้าชิงบัลลังก์ เหตุใดฮ่องเต้ถึงเก็บตัวอยู่ในวัง เหตุใดรัฐทายาทของอ๋องจิ้งถึงตอบรับพระราชโองการแล้วเข้ามายังเมืองหลวง จากนั้นก็ตาย เหตุใดในตอนที่ไม่มีฝนฤดูใบไม้ร่วง ไฟกองนั้นถึงไม่ลุกขึ้นมาในวังเสียที….
เสียดายที่เขาเข้าใจช้าไป ความรู้สึกสิ้นหวัง ความรู้สึกเสียดายและความรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงทำให้เขาไอขึ้นมา
ริมฝีปากของเขาพ่นโลหิตออกมาราวสายหมอก
มีเสียงตะโกนตกใจดังขึ้นมา
เขายังคงไอต่อไป ร่างกายโค้งงอคล้ายกุ้งฝอยที่ถูกต้มจนสุก โลหิตสำลักออกมาไม่หยุด สุดท้ายก็ไอออกมาเป็นชิ้นเนื้อ
จิ๋งจิ่วรับเอาที่รัดผมมาจากมือของเหล่าฮูหยิน ก่อนจะมัดผมสีดำของตัวเองจนเรียบร้อย จากนั้นเดินผ่านข้างกายเจ้ากระทรวงจินออกไปทางด้านนอกเรือนมหาบัณฑิตโดยมิได้เหลือบมองดูเขาแม้เพียงนิดเดียว
เหล่าฮูหยินใช้ไม้เท้ายันร่างกายขึ้นมา ยืนส่งจิ๋งจิ่วด้วยสีหน้านอบน้อม ในตอนที่เดินผ่านเจ้ากระทรวงจิน นางได้ถ่มน้ำลายไปที่ใบหน้าเขาคำหนึ่ง
น้ำลายคำนั้นเป็นเหมือนค้อนที่ทุบลงไป เจ้ากระทรวงจินล้มลงไปกับพื้น ร่างกายกระตุกเล็กน้อย จากนั้นลมหายใจขาดหายไป
……
……
ในคืนวันนั้น ขุนนางทุกคนในเมืองหลวงของแคว้นฉู่ที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมว่าราชการต่างได้รับแจ้งว่าพรุ่งนี้จะมีการประชุมใหญ่
ความจริงแล้ว ในพระราชวังเพียงแค่ส่งขันที่คนหนึ่งแจ้งไปมหาบัณฑิตเฉิน
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าฮ่องเต้ที่ไม่เคยออกจากวังมาเป็นเวลายี่สิบปีนั้นไม่มีอำนาจที่จะใช้คนได้จริงๆ
แต่ความจริงในเรื่องนี้ก็มิอาจทำให้ขุนนางที่ได้รับแจ้งเหล่านั้นรู้สึกสบายใจเลย เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรือนมหาบันฑิตได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว
ฟ้ายังไม่สาง บนถนนที่มุ่งหน้าไปยังพระราชวังมีเกี้ยวทยอยปรากฏขึ้น ขุนนางบางคนจนกระทั่งในเวลานี้ก็ยังสั่งกำชับผู้ดูแลของเรือนตัวเองอยู่ริมหน้าต่างเกี้ยว
นี่มิใช่การสั่งเสีย หากแต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในวันนี้
แม้จะเผชิญหน้ากับพระราชอำนาจของฮ่องเต้ แต่ก็ไม่มีขุนนางคนไหนที่จะยอมรอความตายอยู่เฉยๆ ยิ่งไปกว่านั้นในประวัติศาตร์เกือบหลายสิบปีของแคว้นฉู่ พระราชอำนาจของฮ่องเต้นั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย
ประตูท้องพระโรงค่อยๆ เปิดออก เหล่าขุนนางสบตากัน ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก พวกเขาค่อยๆ เดินเข้าไป แล้วเรียงเป็นสองแถวเหมือนอย่างเวลาปกติ
การประชุมคือเรื่องที่ทุกคนไม่ชื่นชอบ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในการปกครองบ้านเมือง การประชุมว่าราชการนั้นมิเคยหยุดพักมาก่อน เพียงแต่ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จมาประชุมด้วยตัวพระองค์เป็นเวลาหลายปีแล้ว
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่บางคนจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ฝ่าบาทปรากฏตัวในการประชุมก็คือตอนที่มีพิธีราชาภิเษก ขุนนางบางคนที่ความจำดีบางคนจำได้ว่าตอนที่มหาบัณฑิตจางถูกกล่าวหาในตอนนั้น ฝ่าบาทได้เคยตรัสเอาไว้ในที่ประชุมประโยคหนึ่งว่า — มหาบัณฑิตทำงานได้ดี พวกเจ้าอย่าวุ่นวาย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่มหาบัณฑิตตายไปเหล่านี้ ในสายตาของฝ่าบาททรงมองว่าพวกกระหม่อมกำลังก่อเรื่องวุ่นวายอยู่หรือ? เช่นนั้นฝ่าบาทพระองค์ทรงคิดจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไร?
ขุนนางหลายๆ คนมองดูชายหนุ่มที่สวมชุดสีเหลืองบนเก้าอี้อยู่ในจุดสูงสุดผู้นั้น ภายในใจได้เกิดความคิดต่างๆ นานา จากนั้นสายตาก็ได้ถูกใบหน้าที่สง่างามนั้นดึงดูดเอาไว้อย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างรู้สึกตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าฝ่าบาททรงเป็นชายหนุ่มที่งดงามขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ ผมสีดำเพียงแค่รวบเอาไว้ด้านหลังอย่างเงียบๆ เหตุใดจึงดูคล้ายเซียนเช่นนี้?
จิ๋งจิ่วย่อมไม่สนใจว่าขุนนางเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขากล่าวว่า “เริ่มกันเถอะ”
ขันทีน้อยผู้หนึ่งมองดูใบรายชื่อที่อยู่ในมืออย่างตื่นเต้น กำลังเตรียมจะพูดขึ้นมา
ทันได้นั้นเองมหาบัณฑิตเฉินพลันก้าวออกมาข้างหน้า ถวายบังคมจิ๋งจิ่วแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลถามพ่ะย่ะค่ะ”
จิ๋งจิ่วมองดูคนผู้นี้ มิได้กล่าวกระไร
มหาบัณฑิตเฉินกล่าวว่า “เมื่อวานจินเฉิงที่เป็นเจ้ากระทรวงพิธีการได้รับพระราชโองการให้ไปค้นเรือนตระกูลจาง เหตุใดฝ่าบาทถึงเสด็จไปอยู่ที่นั่นได้พ่ะย่ะค่ะ? แล้วเจ้ากระทรวงจินตายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
คำถามสองประโยคนี้เสียมารยาทเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ไร้มารยาทยิ่งกว่านั้นก็คือในตอนที่เขาถามคำถามออกไป เขาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วอยู่ตลอดเวลา มิได้มีความเคารพที่ควรจะมีต่อองค์ฮ่องเต้เลย
มหาบัณฑิตเฉินจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่ว ก็เพราะคิดอยากจะมองให้เห็นอะไรบางอย่างจากในนั้น
จู่ๆ เมื่อคืนฮ่องเต้ไปปรากฏตัวที่เรือนมหาบัณฑิตจาง แล้วจู่ๆ จินเฉิงก็ตายลง ทำให้เขารู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก และคิดถึงข่าวลืออย่างลับๆ ข่าวหนึ่งขึ้นมา
ที่มหาบัณฑิตจางไม่ยอมทำอะไรฮ่องเต้ เป็นเพราะเขารู้ว่าฮ่องเต้นั้นกำลังบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุกลายเป็นเซียน!
………………………………………………….