มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 168 รู้ก็คือไม่รู้ (2)
ขณะเดียวกัน ลมอันรุนแรงที่ถาโถมเข้ามาทางด้านหน้าก็น่ากลัวอย่างมากเช่นเดียวกัน ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นคเนจรธรรมดาก็คงจะถูกพัดจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นร่วงตกลงไป
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ด้านหน้ากระบี่ มองดูทะเลที่ดูคล้ายผ้าแพรที่อยู่ห่างไกลออกไป เส้นผมพลิ้วไหวแผ่วเบา สีหน้าเรียบเฉย ราวกับเซียนในภาพวาดกำลังจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยกอดแมวขาวนั่งอยู่ด้านหลัง ก้มหน้ามองดูหมู่เขาที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วทางเบื้องล่างและที่ราบที่ดูเหมือนพรมสีขาว ในใจครุ่นคิดว่านี่มันจะเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า
ลำแสงกระบี่สว่างวาบขึ้นในท้องฟ้า ทำเอาผู้บำเพ็ญพรตและปีศาจจำนวนมากต่างตกใจ แต่เมื่อเห็นความเร็วอันน่ากลัวของกระบี่ที่บินผ่านไปและรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่ชิงซานที่มิได้ปิดบังแม้แต่น้อย ทุกคนต่างก็คิดว่าคงจะเป็นผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลระดับสูงคนไหนของชิงซานออกเดินทางเป็นแน่ ไหนเลยจะกล้าแอบดู ผู้บำเพ็ญพรตที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าต่างก็รีบหลบออกไปไกล พลางคารวะแสดงความเคารพ
ความเข้าใจผิดเช่นนี้ช่วยลดปัญหายุ่งยากไปได้มาก หากให้คนรู้ว่าคนที่อยู่บนกระบี่เหล็กคือจิ๋งจิ่ว บางทีอาจจะเกิดปัญหาขึ้นเพราะยันต์เซียนวัฒนะก็เป็นได้ เพราะมิใช่ว่ายอดฝีมือฝ่ายอธรรมและปีศาจเหล่านั้นจะมองออกถึงความน่ากลัวของแมวขาวขนยาวตัวนั้นไปเสียทุกคน
เสียงตู้มดังสนั่น!
บนท้องฟ้าเหนือมั่วชิวมีกระแสอากาศสีขาวปรากฏขึ้นมา ด้านบนและด้านล่างของกระแสอากาศนั้นเชื่อมต่อกันเป็นวงกลมที่ตรงกลางว่างเปล่า
ตรงกึ่งกลางของวงกลมนั้น กระบี่เหล็กสีดำปรากฏตัวขึ้น
กระบี่เหล็กลดความเร็วและความสูงลง พื้นดินอยู่ใกล้ขึ้นกว่าเดิม ทิวทัศน์และผู้คนเองก็ชัดเจนขึ้นมาก มั่วชิวตั้งอยู่ใกล้ทะเลตะวันออก อากาศอบอุ่นชุ่มชื้น แต่กลับไม่มีความร้อนอบอ้าวของหน้าร้อน ยิ่งไปกว่านั้นที่ดินอุดมสมบูรณ์ ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่บนพื้นก็ไม่ได้มีหิมะทับถม ในที่นาบางที่ยังมีพืชผลที่เขียวงอกเงยขึ้นมาอยู่ ที่นาขนาดใหญ่แบ่งออกเป็นก้อนสีสันจำนวนนับไม่ถ้วน มองลงมาจากบนท้องฟ้าแล้วดูสบายตา เมื่อเทียบกับทุ่งหิมะและยอดเขาแปลกๆ แล้ว แม้นจะขาดเสน่ห์ของป่าเขาไปบ้าง แต่กลับให้ความรู้สึกสงบเป็นยิ่งนัก
ตรงกลางของที่นาอันกว้างใหญ่ไพศาลมีถนนขนาดใหญ่ที่มุ่งหน้าตรงไปยังวัดที่สร้างอยู่ติดภูเขาแห่งนั้น
บนถนนมีรถหยุดจอดอยู่เต็มไปหมด แล้วก็ยังมีเพิงที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว แล้วก็สามารถมองเห็นคนที่ปูเสื่อนอนอยู่บนพื้นได้
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนป่วยที่เดินทางมาขอให้สมณะวัดกั่วเฉิงรักษาอาการป่วยให้ มีสมณะที่สวมชุดสมณะแบบเรียบง่ายเดินไปเดินมาอยู่ในนั้น
กระบี่เหล็กบินลงมาตรงหน้าต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าวัดกั่วเฉิง
แมวขาวกระโดดลงมาจากอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย ขาทั้งสี่ยืดเหยียดไปบนพื้น เอวและแผ่นหลังกดลง บิดขี้เกียจอย่างเต็มที่
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปหิ้วมันขึ้นมาวางไว้บนไหล่ มันรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงปีนสูงขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นชายหลังคาวัดสีเหลืองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เจ้าล่าเยวี่ยจึงถามว่า “หมอต้องมีเมตตา สมณะต้องก้าวผ่านความทุกข์ยาก อันนี้ข้าเข้าใจได้ แต่มันจะไม่เสียเวลาบำเพ็ญเพียรของพวกเขาหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สิ่งที่สำนักฌานฝึกคือใจ สำหรับสมณะที่ยึดถือวิถีนี้แล้ว นี่ก็คือการบำเพ็ญเพียร ดีกว่าการไปนั่งอ่านแต่คัมภีร์มากนัก”
“คุณชายน้อยท่านนี้พูดมีเหตุผล ดูแล้วจะต้องเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่ที่ไหนสักแห่งแน่…”
สมณะที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกของวัดกั่วเฉิงเดินยิ้มแย้มเข้ามา
การบำเพ็ญพรตมีผลลัพธ์ จิ๋งจิ่วยังคงเป็นเหมือนเด็กหนุ่มชุดขาวเมื่อในอดีต ใบหน้าเองก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเห็นใบหน้าของเขา สมณะที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกก็ไม่สามารถกล่าวชมต่อไปได้อีก ยิ่งเมื่อเห็นว่าบนศีรษะของจิ๋งจิ่วมีแมวสีขาวตัวหนึ่งฟุบหมอบอยู่ มุมปากเขาก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าประสก….อ่า ใช่อาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วจากชิงซานหรือเปล่า?”
ในที่สุดสมณะที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกก็คิดขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นใคร
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
สมณะที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกมองไปยังเจ้าล่าเยวี่ยอีกครั้ง พบว่าใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้งดงามน่ารัก ชุดขาวสะอาดสะอ้าน ผมดำถักเป็นเปีย น่าดูเป็นยิ่งนัก ในใจครุ่นคิดว่าเดินทางมากับอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วที่ขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชา เช่นนั้นจะต้องเป็นเซียนไป๋เจ่าแห่งสำนักจงโจวอย่างแน่นอน ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของสองสำนักใหญ่ที่เป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะเดินทางมาด้วยกัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?
ไม่ว่าจะเป็นสมณะต้อนรับแขกของวัดไหนก็ล้วนแต่เป็นคนที่คิดเร็ว พูดจาก็เร็ว วัดกั่วเฉิงเองก็เหมือนกัน เขาคิดอยู่ในใจ จากนั้นก็พูดออกไป
“ไม่ทราบว่าเซียนไป๋…”
“เจ้าล่าเยวี่ย”
สมณะต้อนรับแขกงุนงงอยู่ครู่จึงได้สติขึ้นมา เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก รีบคารวะแล้วหมุนตัวมองไปทางจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าอาจารย์เซียนจากชิงซานทั้งสองท่านมาด้วยเหตุอันใด?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หาคน”
สมณะต้อนรับแขกคิดในใจ ความสัมพันธ์ระหว่างวัดของตัวเองและชิงซานนั้นมิได้พิเศษอะไร มีเพียงฉานจึที่มีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับยอดเขาเสินม่อ จึงรีบกล่าวว่า “ฉานจึไปเมืองไป๋เฉิง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ามาหาสมณะต้าฉาง”
สมณะต้อนรับแขกอยากจะตบปากตัวเองสักสองที เขาก้มศีรษะยื่นมือออกมา คิดว่าหลังจากนี้จะไม่พูดอะไรอีก
เมื่อพาจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินเข้าไปในวัด สมณะต้อนรับแขกรูปนี้ก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง จึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
เพราะสมณะต้าฉางนั้นเป็นผู้อาวุโสที่อาศัยอยู่ในวัดด้านหลังอย่างสันโดษ โลกภายนอกน้อยคนนักที่จะรู้ถึงการมีอยู่ของเขา
แต่ในเมื่ออาจารย์ที่อยู่ในวัดมิได้ห้ามอะไร เขาก็ย่อมไม่ทำอะไร
เดินผ่านอารามส่วนหน้า ทะลุผ่านทางหินในป่าที่เงียบสงบ ภายป่าสนที่โอนเอนไปมามีป่าเจดีย์อยู่แห่งหนึ่ง
จิ๋งจิ่วมองไปทางนั้น
เดินต่อไปอีกเป็นเวลานาน มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของวัดกั่วเฉิง ป่าที่นี่ยิ่งเงียบสงัด กระทั่งเสียงนกก็ไม่มี ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นตำหนักฌานแห่งหนึ่ง
ขนาดของตำหนักฉานนั้นไม่ใหญ่นัก ตัวอาคารก็ค่อนข้างเก่าแก่ แต่เมื่อเทียบกับตำหนักฌานและห้องสวดมนต์ที่พวกเขาเดินผ่านมาแล้วกลับค่อนข้างใหม่
สมณะต้อนรับแขกพาพวกเขามาส่งหน้าตำหนักฌาน แต่ไม่กล้าที่จะเข้าไป
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินเข้าไปในตำหนักฌาน มองเห็นสมณะแก่รูปหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่
สมณะแก่รูปนั้นก็คือสมณะต้าฉางที่พวกเขาตามหา
สมณะต้าฉางรู้สึกแปลกใจ กล่าวถามว่า “ทั้งสองท่านมาหาอาตมามีเรื่องใด?”
จิ๋งจิ่วมองดูสมณะแก่รูปนี้ คิดถึงตัวเขาเมื่อสามร้อยปีก่อน จึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าคิดจิ๋งจิ่ว ฮ่องเต้น่าจะเคยตรัสกับท่านแล้ว”
สมณะต้าฉางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านกับฝ่าบาทมีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่เดิมข้าก็จัดการเรื่องราวต่างๆ แทนฝ่าบาทอยู่แล้ว ท่านแค่บอกมาก็พอ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าจะมาฝึกฌานที่นี่”
สมณะต้าฉางตกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ที่นี่?”
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเขาอีก หากแต่เหยียบใบไม้เดินเข้าไปยังด้านหลังตำหนักฌาน
ที่นี่มีห้องภาวนาอยู่หลายห้อง มีบึงน้ำอยู่สองแห่ง รอบๆ มีทางเดิน ภายในส่วนที่เจดีย์เล็กๆ อยู่องค์หนึ่ง
เจดีย์องค์เล็กๆ องค์นั้นทำขึ้นมาจากหินปูน บนผิวมีตะไคร่เกาะอยู่เล็กน้อย ดูไม่สะดุดตาอะไร
จิ๋งจิ่วยืนอยู่หน้าเจดีย์อย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
สมณะต้าฉางมองเห็นภาพนี้ รู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงคำสั่งของฝ่าบาทเมื่อหลายปีก่อนจึงมิได้ว่าอะไร จากนั้นถอยออกจากสวนไปเงียบๆ
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมายืนอยู่ข้างกายเขา
จิ๋งจิ่วกล่าว “นี่คือสถูปบรรจุกระดูกของฮ่องเต้พระองค์ก่อน”
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายคาดเดาอะไรบางอย่างได้ ในเวลานี้ยังคงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
องค์เต้พระองค์ก่อนแสร้งทำเป็นสวรรคต มาแอบเป็นพระอยู่ที่วัดกั่วเฉิง
ที่แท้ข่าวลือที่ลือต่อๆ กันมาในแผ่นดินเฉาเทียนเป็นเวลาสองร้อยกว่าปีอันนั้นก็เป็นเรื่องจริง!