มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 176 พูดเรื่องคุกสะกดมารในตอนนั้น
ซีอี้อวิ๋นกระอักเลือดไม่หยุด ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ไฉนเพียงแค่คำพูดประโยคเดียวถึงกับสั่นคลอนฐานใจแห่งเต๋าของตนเองได้
ผิวหน้าของคนผู้นั้นเป็นมันวาว ดูอ่อนเยาว์เป็นยิ่งนัก แต่ภายใต้ผิวหนังกลับคล้ายมีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา ดูคล้ายเถาวัลย์ที่แผ่ขยายขึ้นไปด้านบน สุดท้ายโผล่ออกมาจากด้านบนหน้าผาก กลายเป็นเขาสองเขาที่มีขนาดยาวเท่านิ้วมือ….นี่ไม่มีทางใช่ศิษย์ธรรมดาๆ ของสำนักจงโจวเด็ดขาด!
เมื่อเห็นเขาสองข้างนั้น ซีอี้อวิ๋นและคนอื่นๆ ที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนต่างคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง แต่กลับรู้สึกว่าไม่มีทางเป็นไปได้!
สมณะตู้ไห่เป็นหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิง ถือได้ว่าเป็นสมณะสูงศักดิ์อันดับสี่หรือห้าภายในวัด ไม่ว่าจะเป็นสภาวะหรือความอาวุโสก็ล้วนแต่สูงที่สุดในที่นี่ เขาสะบัดจีวรดึงซีอี้อวิ๋นมาไว้ข้างกาย มองดูคนประหลาดจากสำนักจงโจวผู้นั้น ในสายตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เขากล่าวถามว่า “ไม่ทราบว่าประสกเป็นใครกันแน่?”
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่กล้าขานเรียกนามอันยิ่งใหญ่ของข้า อย่างนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าข้าเป็นใครต่อไปก็แล้วกัน”
คนผู้นั้นแค่นหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “สูงทัดเทียมฟ้า สรรพสัตว์มีวิญญาณ พวกเจ้าเรียกข้าว่าฉีหลิงก็ได้
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทุุกคนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนก็มั่นใจทันที รู้ว่าคนที่มาคือท่านผู้นั้นอย่างที่คิดเอาไว้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
เพียงแค่เสียงอ่านต่างกันเล็กน้อย มีหรือที่ผู้คนจะเดาไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร?
สมณะตู้ไห่และสมณะต้าฉางและลู่กั๋วกงต่างรีบเข้ามาคารวะ ดูเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
ฉีหลินคือสัตว์เทพประจำสำนักจงโจว สภาวะสูงส่งลึกล้ำ นับแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ปี มองไปทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน เกรงว่าคงจะมีเพียงหยวนกุยแห่งชิงซานเท่านั้นที่มีชีวิตยาวนานกว่ามันหน่อย ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ตรงนี้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสบางคนที่อยู่ในยอดเขาเร้นลับหรือในหุบเขาด้านหลังของเขาอวิ๋นเมิ่งก็ล้วนแต่เป็นอนุชนรุ่นหลังของเขา
จัวหรูซุ่ยก้มหน้ามองดูอาสนะที่อยู่ตรงหน้าเจดีย์หินองค์เล็ก มิได้เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มิได้คารวะ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
สมณะตู้ไห่โค้งคารวะพลางกล่าวว่า “ไม่ทราบว่า…ท่านฉีหลินปรากฏกายบนโลกมนุษย์ มีเรื่องใดชี้แนะอย่างนั้นหรือ?”
ฉีหลินกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้ามาหาคน”
สมณะตู้ไห่สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ผู้ใดหรือ?”
ผู้คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนต่างตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าบนโลกยังมีใครคู่ควรให้ท่านผู้นี้เดินทางออกมาเขาอวิ๋นเมิ่งเพื่อมาพบอีกอย่างนั้นหรือ?
ฉีหลิงพลันตะโกนออกมาว่า “จิ๋งจิ่ว! โผล่หัวออกมา!”
เสียงตะโกนนี้คล้ายภูเขาพังถล่ม ภายในสวนจิ้งหยวนพลันมีลมกระโชกขึ้นมา ธงขาวปลิวสะบัดรุนแรง ราวกับพร้อมจะฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ เศษฝุ่นที่อยู่ตามซอกหินถูกกระแทกจนฟุ้งกระจายออกมา บดบังสายตาทุกคนเอาไว้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงตะโกนที่ดังสะท้อนไปมาก็ค่อยๆ หายไป ฝุ่นควันร่วงตกลงอีกครั้ง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ฉีหลิงนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นหมุนตัวมองไปทางจัวหรูซุ่ยแล้วกล่าวว่า “เขาอยู่ที่ไหน?”
จัวหรูซุ่ยก้มหน้ามองดูฝุ่นควันที่ร่วงตกลงมาบนพื้น ดูคล้ายสงบนิ่ง แต่ความจริงในใจกลับรู้สึกหวาดกลัว เสื้อผ้าที่อยู่ด้านหลังเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
สายตาของฉีหลิงเป็นเหมือนดั่งดาบอันคมกริบที่สะบั้นลงไปบนต้นไม้แห่งเต๋าของเขา
“ไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร…..”
จัวหรูซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “ท่านผู้อาวุโสอยากจะหาอาจารย์อาเล็กของข้า เช่นนั้นก็ต้องไปชิงซานสิ ที่นี่มันคือวัดกั่วเฉิงนะ”
ฉีหลิงไม่สนใจเขาอีก กล่าวเสียงเย็นยะเยือกว่า “จิ๋งจิ่วมาเรียนธรรมะอยู่ที่นี่ หรือว่าเรียนจนกลายเป็นเต่าไปแล้ว? แต่บรรพชนของสำนักชิงซานของพวกเจ้าก็เป็นเต่าตัวหนึ่งนี่นะ…”
จัวหรูซุ่ยเบะปาก คิดในใจว่าหากมิเป็นเพราะสู้ไม่ได้ ในเวลานี้คงจะแทงเจ้าไปสักสองทีแล้ว ไม่อย่างนั้นหากกลับไปยอดเขาเทียนกวงแล้วจะมีหน้าไปพบท่านหยวนกุยได้อย่างไร?
ลู่กั๋วกงคิดอยากจะก้าวออกมาพูดอะไรเล็กน้อย แต่เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของสัตว์เทพจากบรรพกาลท่านนี้ กระทั่งหายใจก็ยังทำได้ลำบาก ไหนเลยจะอ้าปากได้?
เสียงของฉีหลิงค่อยๆ ดุร้ายขึ้นมา กล่าวว่า “หากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะพังสวนกับวัดผุๆ แห่งนี้ซะ!”
สมณะตู้ไห่มิอาจทนฟังต่อไปได้อีก เขาฝ่าแรงกดดันก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนกล่าวอย่างถอนใจว่า “ท่านผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างนั้นวัดกั่วเฉิงของอาตมาก็คงต้องใช้ข่ายพลังออกมา”
สำนักบำเพ็ญพรตบนแผ่นดินเฉาเทียนแต่ละสำนักล้วนแต่มีรากฐานที่สั่งสมมาเป็นของตนเอง แล้วก็ย่อมต้องมีข่ายพลังประจำสำนักอันร้ายกาจอยู่ด้วย
ฉีหลิงเหลือบมองเขา กล่าวว่า “พระน้อย เจ้าคิดว่าข่ายพลังนั่นจะขังข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
สมณะตู้ไห่ยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “หวังว่าจะขังผู้อาวุโสเอาไว้ได้สักสามวัน คิดว่าฉานจึน่าจะกลับมาจากที่ราบหิมะแล้ว”
เห็นๆ อยู่ว่าควรจะเป็นคำพูดข่มขู่ แต่ไฉนพอออกมาจากปากสมณะสูงศักดิ์รูปนี้ มันกลับกลายเป็นความรู้สึกจนปัญญา
วัดกั่วเฉิงแทบจะไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ยังต้องมาเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ด้วย
อีกทั้งกิเลนฉีหลินแห่งสำนักจงโจวยังเป็นเพื่อนกับปฐมจารย์ของสำนักฌาน ตอนที่ก่อตั้งวัดกั่วเฉิงก็ได้รับความช่วยเหลือจากมัน แล้ววัดกั่วเฉิงจะลงมือกับมันเต็มที่ได้อย่างไร?
ฉีหลิงฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคนี้ สีหน้าดูเย็นลงเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับสำนักชิงซาน พวกเจ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง”
สมณะตู้ไห่ถอนใจ กล่าวโน้มน้าวว่า “ท่านผู้อาวุโสพอจะเห็นแก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้หรือไม่ รอไว้งานสักการะเสร็จสิ้นแล้วค่อยว่ากัน?”
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ให้ความเคารพต่อราชสำนักตระกูลจิ่งมาโดยตลอด หากเป็นเวลาปกติ ข้าก็พอจะยอมได้ แต่วันนี้ไม่ได้”
สายตาของฉีหลิงมองไปยังส่วนลึกของสวนจิ้งหยวน แผ่ไอพลังที่ไม่อาจขัดขืนได้ออกมา
ที่เขาเลือกลงมือในวันนี้ย่อมต้องมีเหตุผล
ช่วงเวลาก่อนที่จิ๋งจิ่วจะหลอมยันต์เซียนครั้งสุดท้ายคือช่วงเวลาที่เกิดปัญหาได้ง่ายที่สุด หากถูกรบกวน อาจจะทำให้ความพยายามที่ทำมาทั้งหมดพังทลายลงได้
นักพรตไป๋หวังจะให้แผนการที่วางเอาไว้ในตอนแรกสุดดำเนินต่อไป ให้จิตเซียนสายนั้นเข้าไปในร่างกายของจิ๋งจิ่วได้สำเร็จ หากไม่สำเร็จค่อยฆ่าทิ้งก็ไม่เป็นไร
เห็นได้ชัดว่าจิ๋งจิ่วอยากจะอาศัยการสักการะสถูปของของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาทำให้ตัวเองผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไป แล้วเขาจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อรับรู้ได้ถึงไอพลังอันน่ากลัวที่ฉีหลิงแผ่ออกมา คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนต่างรู้สึกครั่นคร้าม ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
สีหน้าของสมณะตู้ไห่ขมขื่นเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าวัดกั่วเฉิงจำเป็นต้องหยุดเรื่องราวทั้งหมดนี้เอาไว้ให้ได้ จึงเตรียมจะฉีกลูกประคำที่ข้อมือเพื่อแจ้งเจ้าสำนักให้ออกมาจากการเก็บตัวและเปิดข่ายพลังภายในวัด
จู่ๆ ภายในสวนจิ้งหยวนพลันมีเสียงแอดดังขึ้น
มีประตูถูกเปิดออก
ขณะเดียวกันก็มีเสียงใสกังวาลและไร้ซึ่งอารมณ์ของหญิงสาวดังขึ้นมา
“ไต้ซือช้าก่อน อย่าเพิ่งไปรบกวนท่านเจ้าอาวาส พวกเราเป็นแขก จะทำให้เจ้าบ้านต้องลำบากใจได้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วเดินออกมาจากในห้องพักด้านหลังสวนจิ้งหยวน
เมื่อมาถึงสวน จิ๋งจิ่วมองดูฉีหลิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ทุกคนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนต่างตกตะลึง
คำพูดและการกระทำของฉีหลิงหยาบกระด้างเป็นที่สุด แต่ต่อให้ในใจจะรู้สึกโกรธอย่างไรก็ไม่กล้าแสดงอาการตำหนิแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงความเคารพนอบน้อมออกมาเป็นอย่างมากด้วย กระทั่งซีอี้อวิ๋นที่ได้รับบาดเจ็บเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เพราะอีกฝ่ายคือฉีหลิน!
ต่อให้จัวหรูซุ่ยจะแสดงความไม่เคารพออกมาแค่ไหน เขาก็ทำได้เพียงจ้องมองลงไปที่พื้น ไหนเลยจะกล้ามองตาอีกฝ่าย?
แต่จิ๋งจิ่วกลับกล้าที่จะสบตาอีกฝ่ายตรงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังสงบเยือกเย็นถึงเพียงนี้ หรือเจ้ายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร?
แต่ฉีหลิงกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร เพราะเขาคิดว่าหากการคาดเดาของนักพรตไป๋ไม่ผิดล่ะก็ จิ๋งจิ่วก็ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
เขามองดวงตาของจิ๋งจิ่ว กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ข้ามา…ก็เพื่อจะถามเจ้าเรื่องหนึ่ง ถ้าเจ้าตอบได้ไม่ดี ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ว่ามา”
ในดวงตาของฉีหลิงเผยให้เห็นแววตาเจ็บปวดและดุร้าย เขากล่าวตะคอกเสียงดังว่า “ทำไมเจ้าต้องฆ่าชางหลง?”
……
……
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทุกคนภายในสวนจิ้งหยวนตกตะลึงอีกครั้ง ไม่กล้าที่จะเชื่อหูของตัวเอง
ในอดีตเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในคุกสะกดมาร เมืองเจาเกอเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่อง ชาวบ้านธรรมดาย่อมไม่รู้สาเหตุ แต่พวกเขาย่อมต้องรู้ความจริง
จักรพรรดิแห่งหมิงแหกคุก สุดท้ายตายไปพร้อมกับชางหลง!
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีหลิน หรือว่าเรื่องนี้มันจะเกี่ยวพันกับจิ๋งจิ่ว?
ถึงแม้จิ๋งจิ่วในตอนนี้จะอยู่ในสภาวะคเนจรระดับกลาง เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ แต่เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ระดับนั้น แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขาในตอนนั้น?
แต่หลังจากนั้นทุกคนก็คิดถึงรายละเอียดบางอย่างที่เกิดขึ้นในความวุ่นวายครั้งนั้น ก่อนที่ชางหลงจะออกมาจากใต้ดิน ได้มีเงาที่รวดเร็วอย่างมากหลบหนีออกมาจากในคุกสะกดมาร ว่ากันว่ากรมชิงเทียนและสำนักจงโจวต่างตามหาคนผู้นี้มาโดยตลอด หรือว่า….สายตาของซีอี้อวิ๋นและไป๋เชียนจวินมองไปยังจิ๋งจิ่ว ขณะเดียวกันคิดถึงการเคลื่อนไหวอันพิสดารล้ำลึกที่จิ๋งจิ่วได้แสดงออกมาในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ในใจเกิดความรู้สึกว่ามันช่างเหลวไหลเป็นยิ่งนัก
ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่รู้เรื่องดีที่สุดย่อมต้องเป็นลู่กั๋วกง ในตอนนั้นเขาเป็นคนจัดการให้จิ๋งจิ่วเข้าไปในคุกสะกดมารเอง
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีหลิน ขาของเขาพลันอ่อนแรงลง กล่าวว่า “ข้าเป็นเจ้ากรมวัดไท่ฉาง จัดการดูแลคุกสะกดมาร ไม่ทราบว่าท่านพูดเช่นนี้ มีหลักฐานหรือไม่?”
“ถ้ามีหลักฐาน เขาก็ตายไปนานแล้ว!” ฉีหลิงแผดเสียง
ภายในสวนจิ้งหยวนมีลมกระโชกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็มีแรงกดดันที่รุนแรงจนยากจะจินตนาการได้ ทุกคนต่างรู้สึกหายใจยากลำบาก
จิ๋งจิ่วที่อยู่ตรงใจกลางของแรงกดดันดูคล้ายเรือที่อยู่ท่ามกลางพายุ ดูแล้วคงต้องอับปางลงเป็นแน่
ในเวลานี้เอง ภายในสวนจิ้งหยวนพลันมีเสียงแมวร้องดังขึ้นมา
ฉีหลิงหมุนตัวไปทันที แต่กลับมองไม่เห็นอะไร