มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 189 ความจริงในตอนนั้น (2)
สิ่งที่นางถามนั้นมิใช่แค่เพียงเรื่องเดียว หากแต่เป็นทั้งหมด
ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนจนมาถึงตอนนี้ ตั้งแต่วัดกั่วเฉิงไปจนถึงชิงซาน เรื่องราวทั้งหมดระหว่างนักพรตไท่ผิงและจิ่งหยาง
“คำถามนี้น่าจะมีเพียงข้าที่ตอบได้”
ฮ่องเต้ที่ยืนอยู่หน้าพระพุทธรูปหมุนตัวกลับมา สะบัดแขนเสื้อเพื่อบอกให้สมณะทุกคนถอยออกไป
สมณะของวัดกั่วเฉิงมองสมณะตู้ไห่ คล้ายมิอาจหักใจได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน จึงได้แต่ต้องถอยออกไป
ภายในห้องฌานไป๋ซานเหลือเพียงแค่ฮ่องเต้ เจ้าล่าเยวี่ย หลิ่วสือซุ่ย สมณะตู้ไห่และแมวตัวหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าจิ๋งจิ่วเชื่อใจฮ่องเต้เป็นอย่างมาก จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นออกมา อีกทั้งยังพูดถึงการวิเคราะห์ของตนเองด้วย
นักพรตไท่ผิงน่าจะได้รับการช่วยเหลือจากผู้หลบหนีกระบี่อีกคนหนึ่ง
“สุดท้ายก็ปล่อยให้เขาหนีไปได้”
ฮ่องเต้เดินไปบนบันไดหินที่อยู่นอกห้องฌาน มองดูเจดีย์หินองค์เล็กที่ตั้งขึ้นชั่วคราวในป่าเจดีย์องค์นั้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ความจริงเรื่องราวทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากความละโมบของเขา ใต้หล้าสงบสุข ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น?”
……
……
เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อแปดร้อยปีก่อน
ในขณะที่นักพรตเต้าหยวนแห่งสำนักชิงซานกำลังจะโบยบินกลายเป็นเซียน เขาได้ถูกหนานชวีลอบโจมตี จึงโบยบินกลายเป็นเซียนล้มเหลว
เป็นเพราะข่ายพลังกระบี่ชิงซาน หนานชวีจึงหลบหนีไปอยู่บนเกาะหมอกในทะเลทางใต้ ไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นมาบนโลก นี่คือผู้หลบหนีกระบี่คนที่หนึ่ง หรือก็คือปรมาจารย์แห่งเกาะหมอกในตอนนี้
จากการวิเคราะห์ของจิ๋งจิ่ว เทพกระบี่ซีไห่ในเวลานี้ก็คือผู้สืบทอดจากเกาะหมอก
นักพรตเต้าหยวนโบยบินกลายเป็นเซียนล้มเหลว พลังและร่างกายสูญสลาย และเป็นเหตุทำให้เจ้าสำนักชิงซานในตอนนั้น หรือก็คืออาจารย์ของนักพรตไท่ผิงและนักพรตจิ่งหยางโบยบินกลายเป็นเซียนล้มเหลวเช่นกัน
เพื่อที่จะแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักชิงซาน แต่ละยอดเขาของชิงซานในเวลานั้นต่างตกอยู่ในความวุ่นวายเป็นระยะเวลานาน นักพรตไท่ผิงซึ่งเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักได้ถูกผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขามองว่าเป็นภัยคุกคาม พวกเขาจึงหาเหตุผลต่างๆ มาขับไล่เขาออกไปจากชิงซานได้ในที่สุด
แต่แน่นอน นั่นมิใช่การขับไล่ออกไปจริงๆ ก็เหมือนอย่างหลิ่วสือซุ่ย
ในเวลานั้นจิ่งหยาง หลิ่วฉือ หยวนฉีจิงต่างใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างลำบากอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ
ผ่านไปหลายปี นักพรตไท่ผิงที่ใครๆ ต่างก็คิดว่าตายไปแล้วได้ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกใหม่อีกครั้ง พาจักรพรรดิแห่งหมิงท่องเที่ยวอยู่บนโลกเป็นเวลายี่สิบปี
เผ่าหมิงและโลกมนุษย์คล้ายจะมีความสงบสุขอย่างแท้จริง
ใครจะไปคิดถึงว่าจู่ๆ โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะทำการหักหลัง
สำนักต่างๆ อย่างสำนักจงโจว เรือนอี้เหมา สำนักคุนหลุนต่างทำการล้อมโจมตีจักรพรรดิแห่งหมิง!
ยันต์เซียนร่วงลงมาจากฟ้า!
จักรพรรดิแห่งหมิงถูกขังอยู่ในส่วนลึกของคุกสะกดมาร จนกระทั่งเมื่อหลายปีก่อนถึงจะตายไปพร้อมกับชางหลง
เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังเหล่านี้มิใช่ฝีมือของนักพรตไท่ผิง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็สร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์
ด้วยชื่อเสียงตรงนี้ เขารีบกลับไปยังชิงซาน พยายามที่จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก
อาจารย์ของยอดเขาต่างๆ ย่อมไม่ยอม
ตอนนั้นนักพรตไท่ผิงฝึกวิชาระดับสูงสุดของสำนักชิงซานจนสำเร็จแล้ว อีกทั้งยังเรียนรู้ยอดวิชามาจากเผ่าหมิงด้วย ต่อให้อยู่ในสภาวะขั้นทะลวงสวรรค์ เขาก็ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน
ลูกศิษย์สองคนของเขา หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงก็ถือเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งของชิงซาน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเกลี้ยกล่อมซือโก่วและเยาจีซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ของชิงซานให้มาอยู่ข้างตนเอง
ที่สำคัญที่สุดก็คือจิ่งหยางที่เป็นศิษย์น้องของเขาได้แสดงสภาวะและพลังอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ออกมาในการต่อสู้ภายในของชิงซานครั้งนี้
หลังการต่อสู้ที่โหดร้ายและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจบสิ้นลง ผู้อาวุโสของชิงซานบางคนได้ตายไป ผู้อาวุโสบางคนขังตัวเองอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้น สาบานว่าจะไม่ออกมา มีผู้อาวุโสบางคนที่ถูกขังเอาไว้ในคุกกระบี่
การสืบทอดของชิงซานดำเนินต่อไป
ไม่มีใครรู้ว่าการไปท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนหมิงและเรื่องที่จักรพรรดิแห่งหมิงถูกสะกดเอาไว้ได้สร้างผลกระทบอย่างไรให้แก่นักพรตไท่ผิง
แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอย่างเงียบๆ กับปณิธานของเขา
เวลาผ่านไปอีกร้อยปี แคว้นเสวี่ยเกิดการเปลี่ยนแปลง คลื่นอสูรบุกลงใต้ สำนักบำเพ็ญพรตทางเหนือถูกบดขยี้ ราชสำนักสูญเสียการปกครอง โลกวุ่นวาย โจรผู้ร้ายออกอาละวาด
หญิงสาวอัจฉริยะผู้หนึ่งออกมาจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย เผาหมู่บ้านโจรไปสิบเจ็ดแห่ง ทำให้สถานการณ์บนแผ่นดินสงบลงชั่วคราว
ด้วยคำแนะนำของนักพรตไท่ผิง ผู้นำของสำนักบำเพ็ญพรตหลายสำนักและสายเลือดของราชวงศ์ที่หลงเหลืออยู่ในเวลานั้น หรือก็คือฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้จับมือเป็นพันธมิตรกันในสวนดอกเหมยของเมืองเจาเกอ ร่วมแรงร่วมใจกันหยุดความวุ่นวายบนแผ่นดินลงก่อน จากนั้นบดขยี้กองทัพสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ย สุดท้ายก็รักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ได้
นี่ก็คืองานชุมนุมเหมยฮุ่ยปกครองใต้หล้าที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
ในเวลานี้ นักพรตไท่ผิงมีสถานะและเกียรติยศบารมีที่สูงมากในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตไปจนทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียน
แต่เขาก็มิได้รู้สึกพึงพอใจ เพราะปณิธานของเขายังคงอยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นไป
เขาเลือกลูกหลานอัจฉริยะของราชวงศ์ก่อนหน้านี้มาคนหนึ่ง แล้วเริ่มดำเนินแผนการของตนเอง ซึ่งนี่ก็คือผู้หลบหนีกระบี่คนที่สองในภายหลัง
แผ่นดินวุ่นวาย วิถีมารเฟื่องฟู ปู้เหล่าหลินอาละวาดบนแผ่นดิน เผ่าหมิงบุกโจมตี สำนักอู๋เอินเหมินเกือบล่มสลาย เพียงแต่ด้วยความพยายามของราชวงศ์จิ่งและสำนักบำเพ็ญพรตสำนักต่างๆ จึงสามารถหยุดความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าเอาไว้ได้
เมื่อสี่ร้อยปีก่อน สำนักชิงซานได้ทำลายวิหารของสำนักเสวียนอิน ไล่ล่าปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจนกลายเป็นผู้หลบหนีกระบี่คนที่สาม
และในตอนนั้นเอง นักพรตจิ่งหยางถึงได้พบว่าที่แท้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นแผนการของศิษย์พี่
ทั้งสองคนเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง
สุดท้ายนักพรตจิ่งหยางก็แอบซ่อนตัวอยู่ในยอดเขาเสินม่อ ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก แต่กลับคอยจับตาดูนักพรตไท่ผิงอยู่ตลอดเวลา
ในวันหนึ่ง นักพรตไท่ผิงพลันหายตัวไป
เมื่อสามร้อยปีก่อน ฮ่องเต้แกล้งสวรรคต ส่งต่อราชบัลลังก์ให้แก่ลูกชาย ส่วนตัวเองแอบมาบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ อยู่ในวัดกั่วเฉิง
นักพรตไท่ผิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ที่แท้ในช่วงหลายปีนั้น เขาเข้าไปในยังเผ่าหมิงอีกครั้ง ถึงขนาดกลายเป็นผู้ชี้แนะของหมิงซือ
และหลังจากที่เขากลับมายังโลกมนุษย์ เขาก็ได้กลายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิง
……
……
“ตอนนั้นเสด็จพ่อมาบำเพ็ญเพียรอยู่ในสวนสุขสงบ ข้าเคยพาหลายครั้ง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอาวาสคนนั้นจะเป็นนักพรตไท่ผิง”
ฮ่องเต้มองดูเจดีย์องค์เล็กที่อยู่ในป่าเจดีย์ ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อสามร้อยปีก่อน สีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ เรื่องในอดีตเหล่านั้นมันแอบซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่ นักพรตไท่ผิงมีแผนอะไรอยู่ในใจกันแน่ สุดท้ายถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดนทุกคนหักหลังที่ชิงซาน
นางคิดถึงสิ่งที่จิ๋งจิ่วเคยพูดกับตนตอนที่อยู่ในสวนตระกูลเจ้าในเมืองเจาเกอ จึงนิ่งเงียบไปทันที
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงชายหนุ่มที่มายังสวนผักเมื่อปีนั้น คิดถึงค่ำคืนที่เขาอธิบายธรรมะเหล่านั้น ภายในใจยังคงรู้สึกยากจะเชื่อได้ว่าอีกฝ่ายคือปรมาจารย์ไท่ผิง จึงกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ปรมาจารย์เป็นเจ้าสำนักชิงซาน ทำไมถึงมาเป็นเจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิงได้ล่ะขอรับ?”
สมณะตู้ไห่กล่าวว่า “นักพรตธรรมะลึกซึ้ง เป็นห่วงสรรพสัตว์ นั่นคือความเมตตาอย่างแท้จริง เหตุใดถึงจะเป็นเจ้าอาวาสของวัดอาตมาไม่ได้?”
ฮ่องเต้มิได้สนใจเขา หากแต่กล่าวต่อว่า “นักพรตไท่ผิงเรียนรู้ธรรมะ สิ่งที่แสวงหามิใช่ความสงบ แล้วก็มิได้เกี่ยวข้องกับความเมตตา หากแต่คิดอยากจะทำให้กระบี่เข้าไปอยู่ในกงล้อแห่งชีวิต เข้าใจหลักแห่งการเวียนว่าย”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดว่าในตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในวัดกั่วเฉิง หรือว่าระหว่างทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน?
“เขากับเสด็จพ่อเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน เรียกได้ว่าเป็นเหมือนพี่น้อง แต่สุดท้ายเขากลับคิดจะชิงร่างเสด็จพ่อ แล้วกลับไปยังเมืองเจาเกอใหม่อีกครั้งในฐานะของเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้มองดูเจดีย์หิน พลางกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “โชคดีที่เขาล้มเหลว ถูกอาจารย์เซียนจิ่งหยางจับขังคุกกระบี่ จนกระทั่งเกิดเรื่องราวในภายหลัง”
เมื่อสามร้อยปีก่อน นักพรตไท่ผิงเก็บตัวไม่ยอมออกมา ชิงซานประกาศเขตหวงห้ามแปดร้อยลี้ กองทัพของราชสำนักเคลื่อนพล สร้างความตกตะลึงแก่ใต้หล้า
ที่แท้นี่ต่างหากคือความจริง
เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร