มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 191 ชิงเหนี่ยวมีจดหมาย นอกบ่อมีท้องฟ้า (1)
ชายหนุ่มผู้นั้นก็คือถงเหยียนแห่งจงโจว
เสี่ยวเหออยู่ในปู้เหล่าหลินมาหลายปี นางย่อมต้องรู้จักหน้าตาของศิษย์อัจฉริยะแห่งจงโจวผู้นี้ จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงมาที่วัดกั่วเฉิง? จากนั้นก็สังเกตเห็นว่ารองเท้าของถงเหยียนเก่าจนขาดแล้ว ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือบนนิ้วมือของเขามีเศษดินติดอยู่เต็มไปหมด ไม่เหมือนกับภาพลักษณ์อาจารย์เซียนที่อยู่ในหัวผู้คนเลย
ไม่ทันได้คิดอะไร เสี่ยวเหอตามขึ้นไป กล่าวอะไรสองสามประโยค
ถงเหยียนหยุดฝีเท้าพลางมองดูนาง ก่อนหน้านี้ตอนที่มองเห็นเสี่ยวเหออยู่บนทางขึ้นเขา เขายังคิดว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจจิ้งจอกที่มาไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเสี่ยวเหอแห่งเมืองอิ้งเฉิงที่เล่าลือกันว่าหลอกหลิ่วสือซุ่ยออกมาจากชิงซาน
“ด้วยสถานะศิษย์ของสำนักจงโจวของท่าน ย่อมต้องสามารถเข้าไปในวัดกั่วเฉิงได้ แต่มิได้หมายความว่าจะได้เจอคนที่ท่านอยากเจอ”
เสี่ยวเหอมองเขาพลางกล่าวว่า “ข้าไม่อาจเข้าไปในวัดกั่วเฉิงได้ แต่ขอเพียงเข้าไปในวัดได้ ข้ากลับสามารถพาท่านไปหาคนที่ท่านอยากเจอได้”
ถงเหยียนคิดถึงความสัมพันธ์ของหลิ่วสือซุ่ยกับจิ๋งจิ่ว จึงพยักหน้า
……
……
ภายในป่าเจดีย์มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
หลิ่วสือซุ่ยเดินไปตักน้ำที่ด้านหลังเรือน จัวหรูซุ่ยหลับตาไม่ยอมตื่นขึ้นมา เจ้าล่าเยวี่ยได้แต่ต้องเดินมาตรงหน้าธรณีประตู
เมื่อเห็นเสี่ยวเหอพาถงเหยียนมาที่นี่ นางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือระแวดระวัง
ฉีหลินสัตว์เทพแห่งสำนักจงโจวเพิ่งจะมาก่อเรื่องที่วัดกั่วเฉิง จากนั้นก็ถูกลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องหนีกลับไป ในเวลานี้ถงเหยียนมาที่นี่ทำไม?
หลิ่วสือซุ่ยถือน้ำร้อนเดินเข้ามา เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
เสี่ยวเหอเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบเดินเข้าไปรับกะละมังน้ำที่อยู่ในมือเขามา จากนั้นกล่าวถามว่า “นี่จะทำอะไร?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ล้างเท้าให้คุณชาย”
เสี่ยวเหอได้ยินเช่นนี้ย่อมรู้สึกไม่พอใจ แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เรื่องแบบนี้ให้ข้าทำดีกว่า”
นางยกกะละมังน้ำเดินเข้าไปในห้องฌาน มองเห็นแผ่นหลังของคนที่ยืนอยู่หน้าพระพุทธรูปคนนั้น รับรู้ได้ถึงแรงกดดันของจักรพรรดิจางๆ จึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ร่างกายอ่อนแรงจนเกือบจะทำกะละมังน้ำที่อยู่ในมือตกลงพื้น
หลิ่วสือซุ่ยรีบเข้ามารับกะละมังน้ำเอาไว้ ก่อนกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “คนรู้จักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มิได้หมุนตัวกลับมา แล้วก็มิได้กล่าวกระไร
หากเสี่ยวเหอมิใช่ปีศาจจิ้งจอก และหากมิเป็นเพราะฮ่องเต้มีความรู้สึกที่ดีกับนางหน่อย เกรงว่าตานปีศาจของนางคงจะถูกทำลายจนแหลกละเอียดไปแล้ว
เสี่ยวเหอรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ จึงไม่กล้ารั้งอยู่ในห้องฌานอีก นางกล่าวอะไรกับหลิ่วสือซุ่ยเบาๆ สองสามประโยค ก่อนจะถอยออกไปยืนรออยู่ในป่าเจดีย์
รออยู่ที่นี่ยังไงก็ดีกว่าไปรออยู่นอกวัด อยู่ที่นี่ได้อยู่ใกล้กับหลิ่วสือซุ่ยหน่อย แล้วก็ยังได้มองเห็นเขา แค่นี้ก็พอแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เจ้าล่าเยวี่ยฟังคำอธิบายของถงเหยียนจนจบ สองคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “จิ๋งจิ่วไม่รับแขก”
คิ้วของนางเข้มมาก เหมือนใช้หมึกดำวาดขึ้นมา พอเลิกคิ้วขึ้นมาก็ดูคล้ายกระบี่ คำพูดเองก็คมอย่างมากเช่นกัน มิใช่ว่าไม่สะดวกรับแขก หากแต่ไม่รับแขก
ถงเหยียนไม่ชอบคิ้วของนาง แล้วก็ไม่ชอบน้ำเสียงของนาง แต่ในเมื่อตนเป็นคนมาขอร้อง เช่นนั้นก็มิอาจแสดงอาการไม่พอใจได้ เขากล่าวว่า “เมื่อห้าวันก่อนข้าออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง เดินทางทั้งวันทั้งคืนลงใต้เพื่อไปชิงซาน ระหว่างทางถึงได้รู้ว่าเขาอาจจะมาอยู่ที่วัดกั่วเฉิง จึงเดินทางเป็นหมื่นลี้มาที่นี่ ต่อให้เขาไม่ยอมช่วยเหลือ แต่ก็น่าจะออกมาเจอกันเสียหน่อย”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูหมวกลี่เม่าที่อยู่ด้านหลังเขา ยิ่งรู้สึกระแวง
หมวกลี่เม่าแบบนี้ นางและจิ๋งจิ่วเคยสวมใส่อยู่หลายครั้งในตอนที่ออกไปท่องโลก ไม่ว่าจะเป็นมณฑลหนานเหอ เมืองอวี้จวิ้น ภูเขาซวงเหอ เมืองไห่โจว หมวกลี่เม่าแบบต่างๆ ล้วนแต่เคยเห็นมาแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นหมวกลี่เม่าที่ใหญ่เช่นนี้มาก่อน
เมื่อห้าวันก่อน ฉีหลินมาที่วัดกั่วเฉิง ในเวลานั้นถงเหยียนเพิ่งออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เหตุใดเขาถึงต้องรีบไปชิงซานเพื่อพบจิ๋งจิ่ว?
ในเวลานี้เอง ภายในห้องฌานมีเสียงฮ่องเต้ดังขึ้นมา “ให้เขาเข้ามา”
……
……
ถงเหยียนเดินเข้าไปในห้องฌานไป๋ซาน มาถึงหน้าเตียง
หลิ่วสือซุ่ยใช้น้ำอุ่นเช็ดเท้าให้จิ๋งจิ่ว
แมวเขาถูกเบียดจนไม่มีที่ จึงได้แต่ต้องนอนขดตัวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
หลิ่วสือซุ่ยไม่แม้กระทั่งเหลือบมองเขา
เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วที่ใบหน้าขาวซีด แขนขวาเปลี่ยนรูป ใบหน้าของถงเหยียนเองก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างมากเช่นกัน ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ เกือบจะเป็นลมล้มลงไป
เขาขุดโพรงมาเป็นเวลาหกปี ต้องหลบหลีกข่ายพลังอวิ๋นเมิ่งและการรับรู้ของฉีหลิน จิตใจอยู่ในสภาพตึงเครียดมาเป็นเวลาหกปี
เขาเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างหลบหนีออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง ยิ่งต้องแบกรับความกดดันทางจิตใจอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
ไม่ง่ายเลยกว่าที่เขาจะได้มาพบจิ๋งจิ่ว แต่จิ๋งจิ่วกลับอยู่ในสภาพแบบนี้
ไม่ว่าใครหากได้มายืนอยู่ในจุดของเขาก็ต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน
เจ้าล่าเยวี่ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถงเหยียน จึงกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าเห็นเขาแล้ว ไม่ว่าเจ้าอยากจะให้เขาช่วยอะไร เขาก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันปลดหมวกลี่เม่าที่อยู่ด้านหลังออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยค่อนข้างระแวง แต่เมื่อเห็นฮ่องเต้ที่ยืนอยู่หน้าพระพุทธรูปไม่ได้หมุนตัวกลับมา จึงรู้ว่าไม่มีอันตราย
ถงเหยียนยื่นมือไปฉีกหมวกลี่เม่าออก เผยให้เห็นของที่แอบซ่อนอยู่ด้านใน
นั่นคือคันฉ่องสัมฤทธิ์บานหนึ่ง บนตัวคันฉ่องมีลวดลายเยอะแยะมากมาย แล้วก็มีรอยแตกอยู่มากมาย ดูเก่าแก่เป็นอย่างมาก แต่ที่น่าแปลกก็คือในลวดลายที่อยู่บนคันฉ่องเหล่านั้นมีคราบน้ำแข็งเกาะอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ละลาย
เจ้าล่าเยวี่ยมิเคยเห็นคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้ แต่กลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกพิศวงที่แผ่ออกมาจากในคันฉ่อง จึงยิ่งรู้สึกระมัดระวัง
หลิ่วสือซุ่ยมองเห็นคันฉ่องสัมฤทธิ์นั้น กล่าวถามด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย “นี่มันคันฉ่องฟ้ากระจ่างจำลองหรือ?”
ตอนที่อยู่ในถ้ำที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาหุยอิน คันฉ่องฟ้ากระจ่างที่เขาเคยเห็นนั้นเป็นข่ายพลังสัมฤทธิ์ที่มีขนาดประมาณห้าสิบจ้าง
ถงเหยียนกล่าวว่า “นี่คือคันฉ่องฟ้ากระจ่าง”
หลิ่วสือซุ่ยตกใจ มองดูเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างติดตัวมาด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ของวิเศษชั้นสวรรค์เหมือนอย่างคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนนั้นมีอยู่แค่ไม่กี่อัน ต่อให้ถงเหยียนเป็นศิษย์อัจฉริยะของสำนักจงโจว แต่สภาวะของเขาก็แค่ขั้นจิตก่อรูปเท่านั้น การที่นำเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมายังโลกภายนอกนั้นมิได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย ทำไมสำนักจงโจวถึงอนุญาตให้เขาทำเช่นนี้ได้?
ฮ่องเต้หมุนตัวมองไปทางคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ถอนใจพลางกล่าวว่า “ชีวิตเต็มไปด้วยทุกข์ ทุกคนล้วนมิอาจหนีพ้น”
ถงเหยียนไม่รู้ถึงสถานะของเขา เมื่อมองดูใบหน้าของเขาและรับรู้ได้ถึงกิริยาท่าทางของเขา ก็คล้ายจะคาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าวัดกั่วเฉิงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจิ๋งจิ่วจึงได้นอนไม่ยอมตื่นเช่นนี้?
ฮ่องเต้โบกมือ เปลวเพลิงที่แฝงไว้ด้วยพลังที่โบราณสายหนึ่งตกลงไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
เปลวไฟค่อยๆ ดับลง เศษน้ำแข็งที่หลงเหลืออยู่บนผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่างเองก็ละลายกลายเป็นน้ำ ก่อนจะค่อยๆ แห้งไป
หวึ่งๆๆๆ
ภายในห้องฌานมีเสียงแบบนี้ดังขึ้นมา
ชิงเอ๋อร์กระพือปีกบินออกมาจากในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ร่างกายของสาวน้อยแทบจะโปร่งใส คล้ายว่ากำลังจะหายไป
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจว่านี่มันคืออะไร?
ฮ่องเต้กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้พบดวงจิตของวิเศษ”
ชิงเอ๋อร์มองเขา ในสัญชาตญาณรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัว โดยเฉพาะตอนนี้ที่ตัวนางอ่อนแอเป็นอย่างมาก อาจจะหายไปได้ทุกเมื่อ
จากนั้นนางสังเกตเห็นแมวขาวที่แอบอยู่ตรงปลายเตียงตัวนั้น รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นเดียวกัน
จากนั้นนางถึงจะสังเกตเห็นจิ๋งจิ่วที่นอนหลับอยู่
นางอุทานตกใจ บินไปอยู่บนหน้าของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะบินวนไปวนมา ดูร้อนใจเป็นอย่างมาก คล้ายผึ้งที่หาทางกลับบ้านไม่เจอ
“เจ้ายังไม่ได้สอนข้าเลยว่าจะเปลี่ยนเป็นคนจริงๆ ได้อย่างไร เจ้าจะมาตายแบบนี้ไม่ได้นะ! รีบตื่นขึ้นมา รีบตื่นขึ้นมาสิ!”
นางตะโกนไม่หยุด ในน้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวและคล้ายจะร้องไห้