มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 192 ชิงเหนี่ยวมีจดหมาย นอกบ่อมีท้องฟ้า (2)
ใบหูของจิ๋งจิ่วกระดิกเล็กน้อย ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนต่อหน้าทุกคน แต่เขายังคงไม่ตื่นขึ้นมา
ชิงเอ๋อร์พลันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ใบหน้าเล็กๆ เงยขึ้นมาสูดดม จากนั้นบินตามกลิ่นไปยังมือซ้ายของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดมือซ้ายของเขาเอาไว้
“ทำไมหรือ?” ถงเหยียนถาม
ชิงเอ๋อร์มองไปทางเขา กล่าวอย่างดีใจว่า “ในมือเขามีพลังเซียนอยู่!”
คันฉ่องฟ้ากระจ่างถูกสะกดอยู่ในเส้นปราณแผ่นดินมาหกปี เท่ากับว่าโลกแห่งความฝันที่อยู่ด้านในถูกแช่แข็งมาเป็นเวลาเกือบสองพันปี ร่างดวงจิตของนางได้รับความเสียหายอย่างหนัก หากไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้ ก็มีโอกาสอย่างมากที่จะตายไป ปัญหาก็คือวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์อย่างคันฉ่องฟ้ากระจ่างนี้ บนแผ่นดินเฉาเทียนจะมีใครที่สามารถฟื้นฟูหรือว่ารักษาได้?
คนเดียวที่ชิงเอ๋อร์คิดถึงก็คือจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วเคยบอกกับนางว่าเขาเคยพบดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ อีกทั้งยังสมบูรณ์กว่านางด้วย แล้วก็ยังเคยพูดคุยเรื่องราวในด้านนี้ให้นางฟังอีกมากมาย
ดังนั้นหลังจากถงเหยียนพานางออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง เขาก็รีบเดินทางไปยังชิงซาน ระหว่างทางได้รับจดหมาย ถึงได้รู้ว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่วัดกั่วเฉิง จึงเปลี่ยนทางมาที่นี่
แต่ชิงเอ๋อร์เองก็คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของจิ๋งจิ่วจะย่ำแย่กว่าตนเองเสียอีก
โชคดีที่ในตอนนี้ในมือของจิ๋งจิ่วมีพลังเซียนอยู่ ร่างดวงจิตของนางจึงยังสามารถคงอยู่ต่อไปได้สักระยะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหายไปในทันที
ชิงเอ๋อร์กอดมือซ้ายของจิ๋งจิ่วเอาไว้ ดีใจเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะยอมปล่อยมือ ดูดซับพลังเซียนไม่หยุด
พลังเซียนที่ไหลออกมาจากมือซ้ายของจิ๋งจิ่วเข้าไปอยู่ในร่างดวงจิตของนางทั้งหมด พลังเซียนที่อยู่ในห้องฌานย่อมต้องเบาบางลงไปเรื่อยๆ
ผ่านไปไม่นาน จัวหรูซุ่ยก็ตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธิ ส่งเสียงตะโกนอย่างลนลานว่า “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?”
จากนั้นเขามองเห็นถงเหยียนและชิงเอ๋อร์ที่กอดมือซ้ายของจิ๋งจิ่วเอาไว้แน่น จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พลันตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
……
……
ภายในป่าเจดีย์ที่อยู่ด้านนอกห้องฌาน ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างเรียบง่าย
ถงเหยียนยังคงไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ้าล่าเยวี่ยก็ย่อมไม่มีทางบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดกั่วเฉิงแก่เขาเช่นกัน เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูคล้ายไม่เลวทีเดียว พลังเซียนที่หลั่งไหลออกมาเหล่านั้นถูกชิงเอ๋อร์ดูดซับเข้าไปในร่างดวงจิต สถานการณ์ของจิ๋งจิ่วดูดีขึ้น ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ต้องคิดว่าจะจัดการกับจิตเซียนนั้นอย่างไร
ถงเหยียนคล้ายคาดเดาอะไรบางอย่างได้ เขากล่าวว่า “พลังเซียนที่คันฉ่องฟ้ากระจ่างสามารถดูดซับได้นั้นมีปริมาณจำกัด อีกไม่นานการดูดซับพลังนี้ก็จะหยุดลง”
จัวหรูซุ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “คันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ แต่รองรับพลังเซียนได้แค่นี้อย่างนั้นหรือ?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “คันฉ่องฟ้ากระจ่างถูกน้ำแข็งผนึกมาเป็นเวลานาน สิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านในที่สามารถดูดซับพลังเซียนได้ยังไม่ตื่นขึ้นมา”
คำพูดประโยคนี้คล้ายกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง
และในเวลานี้เอง ภายในห้องฌานพลันมีเสียงเรอดังขึ้นมา
ทุกคนเดินกลับเข้าไปในห้อง เห็นชิงเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างกายจิ๋งจิ่ว มือเล็กๆ ลูบไปบนท้องที่ปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย ร่างดวงจิตมิได้โปร่งใสอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าปลอดภัยแล้ว
เจ้าล่าเยวี่ยมองถงเหยียน ในใจครุ่นคิดว่าไหนบอกว่าใช้เวลาอีกไม่นาน?
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังกังวลอะไร? แต่ไม่ต้องกลัว!”
ชิงเอ๋อร์ตบท้องของตัวเอง ส่งเสียงดังปุๆ ฟังดูน่ารัก
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ นางก็บินขึ้นมา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในร่างของจิ๋งจิ่ว
เหมือนนกชิงเหนี่ยวที่บินลงไปในบ่อน้ำ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังอีกโลกหนึ่ง
……
……
ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าอันห่างไกล ลำแสงกระบี่สายหนึ่งกำลังมุ่งไปข้างหน้า
นักพรตหลิ่วฉือเป็นเจ้าสำนักชิงซาน สภาวะล้ำลึกมิอาจประมาณ แต่ความเร็วของกระบี่บินกลับเป็นปัญหามาโดยตลอด เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร กระทั่งกระบี่ก็ไม่มี แล้วจะบินไปแบบรวดเร็วได้อย่างไร?
เมื่อได้รับข่าวที่แจ้งมาจากทางวัดกั่วเฉิง เขาก็รีบออกเดินทางจากยอดเขาเทียนกวงโดยไม่สนใจเรื่องปราณก่อกำเนิดที่สูญเสียไป มุ่งหน้าไปทางทะเลตะวันออก ขณะที่ใกล้จะเดินทางไปถึง จู่ๆ ใจแห่งเต๋าพลันสั่นไหวขึ้นมา จึงนับนิ้วคำนวณ ถึงได้ทราบสถานการณ์ของจิ๋งจิ่วในตอนนี้
“แบบนี้ก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
หลิ่วฉือยิ้มเล็กน้อย หมุนตัวเตรียมกลับ
จากตรงนี้กลับไปชิงซานหนทางยาวไกล ยังต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ถ้าหากบินต่อไปข้างหน้า นั่นมิเท่ากับว่าตอนกลับต้องใช้เวลานานยิ่งขึ้นหรอกหรือ?
……
……
ในส่วนลึกของเขาอวิ๋นเมิ่ง ไอหมอกจับตัวหนา แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยากจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้
เงาดำเหมือนดั่งภูเขาของฉีหลินเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ อยู่ภายใน ดูดซับไอหมอกที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ค่อยๆ รักษาอาการบาดเจ็บภายในร่างกาย
มันถูกปรมาจารย์สำนักเสวียนอินลอบโจมตีในวัดกั่วเฉิง ในเวลานี้กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่
แต่สิ่งที่มันรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจก็คือ ตัวมันที่ในตอนนั้นแปลงร่างกลายเป็นคน สภาวะและอิทธิฤทธิ์มีไม่ถึงหนึ่งในร้อยของเวลาปกติ ตามหลักแล้วปรมาจารย์สำนักเสวียนอินน่าจะทำให้ตนเองบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เมื่อกลับมาถึงสำนักจงโจว ในกลับพบว่าอาการบาดเจ็บมิได้หนักหนาเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ เพียงแค่รักษาชั่วระยะเวลาหนึ่งก็สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ไอหมอกพลันปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรง ฉีหลินแผ่จิตสังหารอันน่ากลัวขึ้นไปบนท้องฟ้า เพราะมันรับรู้ได้ว่า…. จิตเซียนที่ไป๋เริ่นทิ้งเอาไว้กำลังจะดับไปแล้ว!
หลังจากนั้น มันก็รับรู้ได้ถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี มุ่งหน้าตรงไปยังส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดิน
ข่ายพลังอวิ๋นเมิ่งแผ่แรงกดดันที่แม้กระทั่งมันก็ยังรู้สึกอึดอัดออกมา มันหรี่ตามองไปข้างหน้า สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เส้นเลือดและเส้นเอ็นที่อยู่ภายใต้ผิวหนังบนใบหน้าขยายตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คล้ายกำลังจะระเบิดออกมา กลายเป็นสีแดงสด
แม่น้ำใต้ดินและลาวาไหลขนานกันไป คล้ายไม่มีวันที่จะได้มาบรรจบกัน แต่คันฉ่องฟ้ากระจ่างที่เคยวางอยู่ตรงจุดที่หนาวเย็นที่สุดได้หายไปแล้ว!
กระแสจิตขยับเล็กน้อย ฉีหลินพลันพบอุโมงค์ใต้ดินเส้นนั้น
มันบินตามอุโมงค์ใต้ดินออกไป พบว่าที่นี่เป็นถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงชายขอบของเขาอวิ๋นเมิ่ง
ภายในถ้ำไม่มีสิ่งของอะไร เหลือเพียงไอพลังที่เบาบางอย่างมาก
อ๊ากก!
ฉีหลินส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น
ภายในถ้ำเกิดลมพายุคลุ้มคลั่ง ผนังหินที่มีข่ายพลังแนบติดอยู่เกิดการผุกร่อนลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแผ่นบางๆ หลุดร่วงลงมา
……
……
เสียงคำรามของฉีหลินดังกระจายไปทั่วทั้งเขาอวิ๋นเมิ่ง
ไอหมอกทั้งหมดคล้ายจะหนักอึ้งขึ้นมา
ศิษย์สำนักจงโจวทุกคน รวมไปถึงอาจารย์ที่เก็บตัวอยู่ต่างเดินออกมาจากถ้ำ มองไปทางหุบเขาที่นักพรตเจ้าสำนักพำนักอยู่ คิดอย่างตกตะลึงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
ไอหมอกจับตัวเป็นหยดน้ำค้าง เกาะตัวอยู่บนใบไม้ คล้ายเพิ่งจะมีฝนตกลงมา
ไป๋เจ่าดึงนิ้วมือกลับมา ถูหยดน้ำค้างที่อยู่ตรงนิ้วอย่างแผ่วเบา ก่อนจะสลายกลายเป็นควันเบาบางสายหนึ่งไป
นางเดินไปริมผา ทอดมองไปทางทะเลตะวันออกที่ห่างไกล นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เมื่อสองปีก่อนนางคาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของฉีหลินคือสิ่งยืนยัน แต่นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
จดหมายที่ถงเหยียนได้รับระหว่างทางก็คือจดหมายที่นางเขียนให้
……
……
ช่วงเวลาฉลองปีใหม่ยังไม่ผ่านพ้นไป ในหมู่บ้านที่อยู่ด้านนอกวัดกั่วเฉิงมีเสียงประทัดดังขึ้นมาเป็นบางครั้ง
ฉีหลินลงมาบนโลก ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินปรากฏกาย ฮ่องเต้ฟาดฝ่ามือ ชิงซานปล่อยกระบี่่ ในวันสุดท้ายของปีที่แล้วได้เกิดเรื่องสำคัญขึ้นมากมาย แต่นั่นมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อคนธรรมดา
เดิมทีมันก็เป็นโลกสองใบอยู่แล้ว การจะเชื่อมต่อถึงกันนั้นเป็นเรื่องยาก เดิมจึงมิจำเป็นต้องเชื่อมต่อ
ช่วงเวลารุ่งเช้า ในร่างกายของจิ๋งจิ่วมีนกชิงเหนี่ยวตัวหนึ่งบินออกมา
ชิงเอ๋อร์ไม่ได้บอกใครว่านางเห็นอะไรในร่างกายของเขา กระทั่งในอนาคตอันไกลแสนไกล นางก็ไม่เคยบอกใครเช่นกัน
“ดวงจิตของวัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ เกิดมาพร้อมซ่อนพิภพ”
นี่เป็นคำพูดที่จิ๋งจิ่วบอกกับนางในดินแดนแห่งความฝัน
นางมองไปทางจิ๋งจิ่วที่ยังคงนอนหลับอยู่ ในใจครุ่นคิดว่าหากคันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นโลกของข้า เช่นนั้นโลกของเจ้าอยู่ที่ไหน?
ในเรื่องเล่าอันเก่าแก่โบราณ นกชิงเหนี่ยวคือผู้ที่คอยส่งสารให้แก่เซียน
วันนี้นางไม่สามารถนำข่าวอะไรออกมา แต่กลับมีข่าวหนึ่งมาแจ้งแก่ทางวัดกั่วเฉิง
ฮ่องเต้อ่านจดหมายลงอักขระที่อยู่ในมือจนจบ ก่อนจะส่งให้เจ้าล่าเยวี่ย จากนั้นกลับไปยืนอยู่หน้าพระพุทธรูปเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยอ่านจดหมายฉบับนั้นจนจบ ครุ่นคิดอยู่ครู่ ส่งต่อให้หลิ่วสือซุ่ย
จัวหรูซุ่ยรู้สึกเหนื่อยใจ ในใจคิดว่าข้าเข้าสำนักมาเร็วกว่าเขา ท่านจะเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปหน่อยหรือเปล่า
หลิ่วสือซุ่ยอ่านจดหมายจบ ถึงจะส่งต่อให้จัวหรูซุ่ย ก่อนที่สุดท้ายจะมาอยู่ในมือถงเหยียน
ถงเหยียนคือคนที่ถูกระบุอยู่ในจดหมาย
สำนักทุกสำนักบนแผ่นดินเฉาเทียนและราชสำนักต่างได้รับจดหมายลงอักขระฉบับนี้
สำนักจงโจวกล่าวหาว่าถงเหยียนเป็นศิษย์ทรยศ ขอให้ผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะในใต้หล้าสังหารเขา สำนักไหนหรือผู้ใดรับเขาเอาไว้ จะถูกเขาอวิ๋นเมิ่งมองเห็นศัตรูด้วยเช่นกัน
สีหน้าของถงเหยียนไม่เปลี่ยนแปลง คิ้วทั้งสองข้างยังคงบางเหมือนเดิม เพราะเขาไม่แม้กระทั่งขมวดคิ้ว
“ข้าต้องไปล่ะ”
เขาเอาผ้าขึ้นมาห่อคันฉ่องฟ้ากระจ่างแล้วสะพายไว้ด้านหลัง ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากวัดกั่วเฉิง