มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 193 จิ๋งจิ่วตื่นขึ้นมา สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีฤดูใบไม้ผลิ (1)
ด้วยความสัมพันธ์ของสำนักชิงซานและสำนักจงโจว หากนี่เป็นเหมือนเหตุการณ์ที่มักจะได้เห็นบ่อยๆ นิทานเรื่องเล่า ในเวลานี้ถงเหยียนที่เดินไปได้ไม่ไกลก็น่าจะก็ถูกเจ้าล่าเยวี่ยและศิษย์ชิงซานตะโกนบอกให้หยุด จากนั้นก็คงจะเกิดการปะทะขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงในตอนนี้คือร่างของถงเหยียนเดินหายลับเข้าไปในป่าเจดีย์ทางด้านนั้น นกชิงเหนี่ยวบินตามเขาไป ทว่าภายในห้องฌานกลับไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ความคิดของเจ้าล่าเยวี่ยนั้นเรียบง่าย หากต้องการความช่วยเหลือ ถงเหยียนจะเอ่ยปากเอง
ความคิดของจัวหรูซุ่ยเองก็เรียบง่ายเช่นกัน เรื่องของสำนักจงโจวเกี่ยวอะไรกับชิงซานด้วย?
ความคิดของหลิ่วสือซุ่ยนั้นเรียบง่ายที่สุด เขาไม่เชื่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย
เขากล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยว่า “ข้ารู้สึกว่านี่เป็นกับดัก”
ถงเหยียนเป็นศิษย์ของนักพรตไป๋ อนาคตสดใส โดยเฉพาะหลังจากลั่วไหวหนานตายไป เขาก็คือเจ้าสำนักคนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่แน่นอน หากไป๋เจ่าอยากจะเป็นเจ้าสำนัก เขาก็คือสามีของเจ้าสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขโมยคันฉ่องฟ้ากระจ่างและทรยศสำนักเลย
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกว่ามันแปลกๆ เพราะว่าเขาก็เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้เช่นกัน
เขาเองก็เคยถูกขับไล่ออกมาจากชิงซานเป็นเวลาหลายปี แต่นั่นมันคือแผนการ
“ไม่สำคัญ เพราะมันไม่เกี่ยวกับพวกเรา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เรื่องที่สำคัญตอนนี้ก็คือเขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร”
ภายในห้องฌาน ฮ่องเต้ยังคงยืนหลับตาอยู่หน้าพระพุทธรูป จนตัวเองคล้ายจะกลายเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งเช่นกัน
หลิ่วสือซุ่ยมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเขาใกล้จะฟื้นขึ้นมาแล้ว”
ตรงมุมหนึ่งของเตียงมีเสียงแมวร้องขึ้นมา
ในเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมา นี่เป็นการส่งเสียงร้องครั้งแรกของแมวขาว
มันเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของหลิ่วสือซุ่ย
หลิ่วสือซุ่ยไม่แม้กระทั่งเหลือบมองมัน
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็ไม่สนใจมัน นั่งลงบนอาสนะ รอคอยต่อไป
จัวหรูซุ่ยเดินไปหน้าเตียง มองดูใบหน้าของจิ๋งจิ่ว ทอดถอนใจว่ากระทั่งนอนหลับก็ยังงดงามขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ จากนั้นก็วิเคราะห์ออกมาเช่นเดียวกันว่า “ใกล้จะตื่นแล้วจริงๆ ด้วย”
ฮ่องเต้ลืมตาขึ้นมา มองไปทางมือข้างขวาของพระพุทธรูป
ตรงนั้นเดิมทีมือขวาข้างนั้นควรจะกุมไม้เท้าโลกบาลเอาไว้อันหนึ่ง แต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่า
ทุกคนต่างรู้สึกได้ จิ๋งจิ่วมีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “เจ้าเอาท่านไป๋กุ่ยกลับชิงซานไป”
จัวหรูซุ่ยงุนงง คิดในใจว่านี่คิดจะทำอะไร?
เจ้าล่าเยวี่ยมองว่าจิ๋งจิ่วพาท่านไป๋กุ่ยออกมาจากชิงซาน ก็เพื่อจะให้ป้องกันยอดฝีมือของอาจารย์ปู่ไท่ผิงที่จะมาสังหารตนเอง แต่ในเมื่อมันไม่ยอมลงมือ เช่นนั้นเก็บมันเอาไว้ข้างกายจิ๋งจิ่วก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่อยากให้จิ๋งจิ่วเห็นไป๋กุ่ยในตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นจนรู้สึกไม่มีความสุข
ตรงมุมเตียงมีเสียงแมวร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ค่อนข้างน้อยใจ
จัวหรูซุ่ยเดินไปหน้าเตียง อุ้มมันขึ้นมา
แมวขาวตะปบไปตรงไหล่ของเขา เหลียวหน้ากลับไปมองเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งหนึ่ง
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่บนอาสนะ มองดูใบหน้าของจิ๋งจิ่ว ไม่สนใจมัน
จัวหรูซุ่นพลันสะดุ้ง ก้มหน้ามองดูกรงเล็บแมวที่แทงเข้าไปในหัวไหล่ของตน ในใจครุ่นคิดว่านี่มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?
……
……
ในวันที่เก้าหลังจากที่จัวหรูซุ่ยอุ้มแมวขาวออกมา จิ๋งจิ่วก็ตื่นขึ้นมา
ทุกอย่างล้วนเรียบง่าย คล้ายว่าเขาแค่หลับไปจริงๆ เท่านั้น มิได้มีอันตรายใดๆ
เขามองสีหน้าของเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ย รู้ว่าพวกเขากำลังเป็นห่วงตนเอง จึงกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางไม่ตื่นขึ้นมา”
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่านั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เจ้าล่าเยวี่ยกลับกล่าวว่า “นั่นมันก็ไม่แน่”
ฮ่องเต้มองดูเขาอย่างเงียบๆ มิได้กล่าวกระไร
พระพุทธรูปองค์นั้นก็มองดูจิ๋งจิ่วอยู่เช่นกัน ภายในดวงตาอันเยือกเย็นมีความรู้สึกเห็นใจอยู่
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าฝัน”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ทุกคนตกใจ
ผู้บำเพ็ญพรตไม่ควรฝัน เพราะใจแห่งเต๋าของพวกเขาแน่วแน่ ดวงจิตมั่นคง ต่อให้ตอนที่หลับอยู่จะไม่ได้อยู่ในสภาวะว่างเปล่า พวกเขาก็ไม่ควรจะมีความรู้สึกหรือความคิดใดๆ เช่นกัน
จิ๋งจิ่วฝัน หรือว่าดวงจิตของเขาจะได้รับผลกระทบจากจิตเซียนสายนั้นอย่างรุนแรง?
“ในฝันนั้น ข้ามองเห็นดวงดาวกำลังลุกไหม้ มองเห็นกระบี่บินที่เหมือนฝนดาวตก”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็มิได้บรรยายเนื้อหาอื่นที่อยู่ในความฝันอีก
ในความฝันที่ดูยาวนานแต่กลับแสนสั้นนั้น นอกจากภาพที่อยู่ในส่วนลึกความทรงจำเหล่านี้แล้ว ยังมีคนบางคนอยู่ด้วย
มิใช่คนที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หากแต่เป็นคนที่อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
ภายในความฝัน เขามองเห็นลูกชายที่ไม่เอาถ่านของมหาบัณฑิตจางผู้นั้นยืนอยู่บนทุ่งกว้างทางใต้ โบกไม้โบกมืออย่างตื่นเต้น ตะโกนอะไรบางอย่าง เหมือนตาแก่อายุเจ็บสิบที่เพิ่งจะให้กำเนิดลูกชายออกมาคนหนึ่ง
นอกจากนี้เขายังมองเห็นเรือลำใหญ่ลำหนึ่งที่อยู่บนทะเล บนดาดฟ้าเรือมีน้ำค้างแข็งจับตัวหนาเป็นชั้นๆ ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดกันเพื่อให้ความอบอุ่น เขาจำได้ว่าชายผู้นั้นก็คือขันทีที่รับใช้ตนเองมาหลายปี เขาไม่รู้จักหญิงสาวผู้นั้น แต่กลับรู้ว่านางน่าจะเป็นหญิงคณิกาชื่อดังของหอนางโลมที่เขียนบทกลอนต่อว่าว่าแผ่นนี้ไร้ซึ่งชายชาตรี
ในความฝันเขายังมองเห็นคนอีกมากมาย สุดท้ายเขามองเห็นประชาชนของแคว้นฉู่มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกพระราชวัง คุกเข่ากราบไหว้ไปทางพระราชวัง แสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อเขา วิงวอนให้เขากลับมา จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมา
จิ๋งจิ่วมองไปทางมือซ้ายของตน
ยันต์เซียนที่อยู่ในมือสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
จิตเซียนสายนั้นสลายหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงพลังเซียนที่บริสุทธิ์
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างยินดีว่า “ขอแสดงความยินดีกับคุณชาย”
ฮ่องเต้ยิ้มเล็กน้อย หมุนตัวเดินออกไปจากห้องฌาน
มีงานราชการมากมายต้องจัดการ เขามาอยู่ที่วัดกั่วเฉิงเป็นเวลาสิบกว่าวัน เดิมควรจะกลับไปตั้งนานแล้ว
ในที่สุดลู่กั๋วกงก็ปรากฏตัว เขาเดินมาโขกศีรษะคำนับจิ๋งจิ่ว จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “หากท่านมีเวลา ท่านควรจะไปดูที่เมืองเจาเกอหน่อยนะขอรับ ฝ่าบาททรงค่อนข้างรู้สึกกดดัน….”
จิ๋งจิ่วมองออกไปนอกห้องฌาน
ฮ่องเต้ยืนอยู่หน้าเจดีย์องค์เล็กองค์นั้น มิรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
……
……
จิ๋งจิ่วให้ฮ่องเต้นำจดหมายฉบับหนึ่งไปยังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย จากนั้นเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องของฉานจึ
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่มาถึงวัดกั่วเฉิง เขาก็รู้ว่าฉานจึไปยังเมืองไป๋เฉิง ในตอนนั้นเขามิได้สนใจอะไรนัก แต่ตอนนี้ภายในวัดกั่วเฉิงเกิดเรื่องใหญ่ตั้งมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะข่าวคราวของไท่ผิงน่าจะส่งไปถึงทางนั้นแล้ว แต่ฉานจึยังคงไม่กลับมา นี่แสดงให้เห็นว่าทางที่ราบหิมะนั้นเกิดเรื่องใหญ่อย่างแท้จริงขึ้น
เขาให้เจ้าล่าเยวี่ยเชิญผู้อาวุโสของตำหนักแสดงธรรมมา ถึงได้รู้ว่าทางที่ราบหิมะเกิดอะไรขึ้น
“การวิเคราะห์ของเทพดาบในตอนนั้นถูกต้อง หลังจากลูกของราชินีแคว้นเสวี่ยโตขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะสู้กันก่อน เหมือนกับการชิงตำแหน่งจ่าฝูงในฝูงสัตว์อย่างไรอย่างนั้น
รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าผู้อาวุโสตำหนักแสดงธรรมหลุบลึก กล่าวด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลว่า “เมื่อเจ็ดปีในที่ราบหิมะมีความเคลื่อนไหว เทพดาบส่งจดหมายมา ฉานจึจึงรีบเดินทางไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แม่ลูกสู้กัน เกี่ยวกับอะไรกับพวกเรา?”
ผู้อาวุโสแห่งตำหนักแสดงธรรมกล่าวว่า “ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะหรือแพ้ล้วนแต่ไม่สำคัญ ถ้าหากว่าฝ่ายที่แพ้ตายไปในตอนนั้นล่ะก็ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหากผู้ที่แพ้ไม่ตาย ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกขับออกไปจากที่ราบหิมะ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “เมื่อไรลูกของราชินีถึงจะโตเต็มที่?”
ผู้อาวุโสแห่งตำหนักแสดงธรรมกล่าวว่า “เมื่อก่อนไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไร อาจจะหลายร้อยปี หรืออาจจะเป็นตอนนี้….”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ มิน่าในวัดกั่วเฉิงเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ ฉานจึก็ยังไม่กล้าออกมาจากเมืองไป๋เฉิง
แคว้นเสวี่ยอยู่ทางเหนือสุดของแผ่นดินเฉาเทียน หากถูกขับออกมาจากแคว้นเสวี่ย นั่นก็หมายความว่ามายังดินแดนมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นราชินีแคว้นเสวี่ยหรือว่าเด็กคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครที่มายังดินแดนมนุษย์ นั่นก็ล้วนแต่หมายถึงหายนะครั้งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในเมื่อไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้แพ้จะเดินทางมายังดินแดนมนุษย์เมื่อไร เช่นนั้นเฉาหยวนกับฉานจึก็ได้แต่ต้องคอยจับตาดูอยู่ที่เมืองไป๋เฉิง