มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 194 จิ๋งจิ่วตื่นขึ้นมา สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมีฤดูใบไม้ผลิ (2)
หลังผู้อาวุโสแห่งตำหนักแสดงธรรมจากไป จิ๋งจิ่วก็วางหมากล้อมขึ้นมากระดานหนึ่ง
หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอกลับไปยังสวนผักเพื่อต้มยาให้เขา
ภายในห้องฌานเหลือเขากับเจ้าล่าเยวี่ยเพียงสองคน
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูกระดานหมากล้อม ในใจครุ่นคิดว่านี่จะทำอะไร?
หมากสีขาวดำที่อยู่บนกระดานหมากล้อมมิใช่สถานการณ์ในใต้หล้า แล้วก็มิได้เกี่ยวข้องกับที่ราบหิมะ
ราชินีแคว้นเสวี่ยและลูกของนางอาจจะมีใครคนใดคนหนึ่งมายังโลกมนุษย์ กระทั่งเขาเองก็ยังรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้สภาวะของเขาต่ำต้อย เข้าไปยุ่งกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้
หมากกระดานนี้เป็นหมากที่เขาเคยเล่นกับศิษย์พี่
นับแต่เกิดขึ้นมาใหม่ นี่เป็นการปะทะกันซึ่งๆ หน้าครั้งแรกระหว่างเขากับศิษย์พี่
ศิษย์พี่ใช้ผู้หลบหนีกระบี่สองคนกับคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่อยู่ในวัดกั่วเฉิง
สิ่งที่เขาใช้ก็เป็นเรื่องราวเก่าๆ เมื่อในอดีต อย่างเช่นฮ่องเต้กับข่ายพลังกระบี่ชิงซาน
ทั้งสองคนล้วนทำผิดพลาด
จิ๋งจิ่วคิดไม่ถึงว่าคนรู้จักที่อยู่ในวัดกั่วเฉิงของเขาจะเป็นสมณะตู้ไห่
อินซานเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าใช้เจ้าล่าเยวี่ยเป็นอาวุธสังหารสุดท้าย
จิ๋งจิ่วมองดูเม็ดหมากที่วางกระจัดกระจายอยู่บนกระดานหมากล้อม นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นลุกขึ้นเดินไปด้านนอกห้องฌาน มองดูเจดีย์องค์เล็กองค์นั้น ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่อีกครั้ง
ร่างกายเขายังอ่อนแอ ยืนอยู่ท่ามกลางลมฤดูหนาวอันหนาวเย็น เสื้อผ้าพลิ้วไหว ดูแล้วค่อนข้างน่าเป็นห่วง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมาข้างกายเขา พยุงมือซ้ายของเขาเอาไว้
มือขวาของจิ๋งจิ่วบิดเบี้ยวจนน่ากลัว ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
“ข้านึกว่าท่านจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้ว”
เสียงของเจ้าล่าเยวี่ยสงบนิ่ง แต่อารมณ์ของนางกลับมิได้เป็นเช่นนี้
จิ๋งจิ่วมองดูนาง ถึงได้สังเกตเห็นว่าผมของนางได้ถูกตัดออกไป ยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ารู้สึกว่าตัวเองไว้ผมสั้นจะเหมาะกว่า”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางเข้าใจเจตนาของตนแล้ว จึงใช้มือขวาที่ได้รับบาดเจ็บลูบศีรษะของนางเพื่อแสดงความชื่นชม
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวต่อว่า “เพียงแต่รู้สึกน่าเสียดาย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ผมสั้นก็จำเป็นต้องคอยดูแล เอาไว้มือข้าหายดีแล้วค่อยหวีให้เจ้า”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เช่นนั้นก็ดี”
หลิ่วสือซุ่ยกับเสี่ยวเหอถือกาต้มยามายังห้องฌาน
จิ๋งจิ่วรู้ว่ายาล้ำค่าเหล่านั้นมิได้มีประโยชน์อะไรต่ออาการบาดเจ็บของตน แต่เขาก็ไม่อยากจะทำลายความหวังดีของทั้งสองคน หลักๆ แล้วเป็นเพราะว่าถ้าอธิบายมันจะยิ่งยุ่งยาก เขาจึงยกกายาดื่มรวดเดียวไปจนหมด
เสี่ยวเหอตกใจจนเกือบจะตะโกนออกมา มิใช่เป็นเพราะว่ายาร้อนเกินไป หากแต่ตามสัดส่วนยาที่สมณะภายในวัดกั่วเฉิงให้มา นี่เป็นประมาณยาที่ดื่มได้สามวัน แล้วทำไมท่านถึงดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด?
หลิ่วสือซุ่ยรู้จักนิสัยของคุณชาย รู้ว่าเขากลัวความยุ่งยาก จึงมิได้ใส่ใจ แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง ตัวเองกลับรู้สึกค่อนข้างกระอักกระอ่วน
ผู้อาวุโสที่เคยสอนธรรมะให้เขาคือปรมาจารย์ไท่ผิง แต่เขากลับไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคุณชาย ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของคุณชาย….
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ใจของเขาก็ยิ่งสับสนจนไอออกมา
จิ๋งจิ่วมองดูเขา กล่าวว่า “ปัญหาปราณก่อกำเนิดขัดแย้งกันรุนแรงขึ้นหรือ?”
หลิ่วสือซุ่ยมิกล้าโกหก จึงกล่าวว่า “ขอรับ”
เสี่ยวเหอรู้สึกเป็นห่วง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไปเรือนอี้เหมา อย่างไรปัญหานี้ก็ต้องแก้ไขให้ได้ ส่วนเรื่องที่เจ้ากังวล ขอเพียงเจ้าไม่ก่อเรื่อง ปู้ชิวเซียวก็ไม่กล้าทำอะไร”
หลิ่วสือซุ่ยเคยเล่าเรื่องบัณฑิตเหยียนกับพู่กันครองเมือง ตอนนั้นเขาคิดว่าถ้าไม่ได้จริงๆ ก็จะให้สือซุ่ยกลับไปชิงซานใหม่ ดูว่าความคิดของหมาดำเปลี่ยนไปหรือไป แต่เมื่อเกิดเรื่องที่วัดกั่วเฉิงครั้งนี้ขึ้น เขาก็เปลี่ยนแปลงความคิด หมาดำตัวนั้นคือหมาของศิษย์พี่ ให้สือซุ่ยติดต่อกับมันน้อยหน่อยจะดีกว่า”
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไป จึงอดอตกตะลึงไม่ได้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ถามอย่างระมัดระวังขึ้นมาว่า “นี่ถือว่า…ไล่ออกจากสำนักหรือเปล่าขอรับ?”
เรื่องที่ถูกไล่ออกจากสำนักเช่นนี้ เขาเคยมีประสบการณ์มาแล้วสองครั้ง
หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ก็มีเพียงแค่นักพรตไท่ผิงกับเขาเท่านั้นที่มีประสบการณ์แบบนี้
หากต้องถูกไล่ออกจากสำนักอีกครั้ง เขาคงจะรับไม่ไหวแล้ว
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าได้คิดมาก”
จิ๋งจิ่วมองดูดวงตาที่ใสกระจ่างของเขา คิดถึงเรื่องราวในอดีต อารมณ์ค่อนข้างสับสน
เขาไม่อยากให้หลิ่วสือซุ่ยกลายเป็นศิษย์พี่คนที่สอง ดังนั้นจึงไม่อยากให้หลิ่วสือซุ่ยกับหมาดำอยู่ใกล้ชิดกันมากไป แต่ในอีกแง่หนึ่งแล้ว สือซุ่ยกับศิษย์พี่ตอนเป็นหนุ่มก็คล้ายกันอย่างมาก ต่างดื้อรั้นกันทั้งคู่
ข่ายพลังของวัดกั่วเฉิงพลันเกิดการตอบสนอง
ลมอันหนาวเย็นของฤดูหนาวพัดผ่านระหว่างป่าสนกับป่าเจดีย์ เกิดเป็นฝุ่นบางๆ
เกี้ยวเล็กม่านสีเขียวหลังหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า
เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยเคยเห็นเกี้ยวหลังนี้มาแล้ว รู้ว่าเป็นเกี้ยวของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย จึงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายมาวัดกั่วเฉิงทำไม?
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นยิ่งทำให้พวกเขาตกใจ
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยประโยคหนึ่ง จากนั้นเดินไปตรงหน้าเกี้ยว เลิกผ้าม่านขึ้น
ภายในม่านไม่มีใคร เป็นเกี้ยวว่างเปล่า
เขานั่งลงไป
เกี้ยวเล็กแหวกอากาศลอยขึ้นมา มุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยอยู่ทางนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวหายไปในหมู่เมฆ นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
ในตอนที่จิ๋งจิ่วหลอมยันต์เซียน นางก็รู้สึกได้ถึงปัญหาอะไรบางอย่าง เพราะเขาดูค่อนข้างร้อนใจ
ในเวลานี้เขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมา ร่างกายยังอ่อนแออย่างมาก แต่กลับรีบเดินทางจากวัดกั่วเฉิงไปยังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยทันที ยังคงดูรีบร้อนอย่างมาก
เจ้ากำลังรีบไปทำอะไรกันแน่? ทำไมถึงไม่ยอมหยุดพักแม้เพียงครู่?
แล้วก็ทำไมถึงกลายเป็นเจ้าที่รอข้าอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ แต่มิใช่ข้ารอเจ้าอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ? หรือเจ้าจะกลับไปถึงนั้นก่อนข้า?
……
……
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเองก็อยู่ริมทะเลตะวันออก ห่างจากวัดกั่วเฉิงไม่ไกล
ผ่านไปไม่นานเท่าไร จิ๋งจิ่วที่นั่งอยู่ในเกี้ยวก็ได้กลิ่นเค็มของลมทะเล หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา
เกี้ยวเล็กบินลงไปยังส่วนลึกของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
เขาเลิกผ้าม่านแล้วเดินออกมา
เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยกำลังรอเขาอยู่
เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้นี้หน้าตางดงาม แต่เมื่ออยู่ในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามแล้วกลับมิได้ดูโดดเด่นอะไร
สายตาของนางสงบนิ่งและอ่อนโยน ให้ความรู้สึกเหมือนหญิงสาวธรรมดาที่อยู่บ้านข้างๆ
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย สถานะในโลกแห่งความบำเพ็ญพรตสูงส่ง หากมีคนคิดว่าเจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยผู้นี้เป็นหญิงสาวธรรมดาล่ะก็ เช่นนั้นเขาผู้นั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย
จิ๋งจิ่วคารวะด้วยมือข้างเดียว
เจ้าสำนักมองเห็นแขนที่บิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปร่างของเขา กล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรจะทำอยู่แล้ว”
เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่พาเขาเดินเลียบทะเลสาบไปยังห้องภาวนาห้องนั้น
นางรู้ว่าหลายปีมานี้ศิษย์พี่ลำบากเพียงใด จึงมิได้รู้สึกดีต่อชิงซานและจิ๋งจิ่วเท่าไรนัก
เมื่อเทียบกับตอนแรกแล้ว ต้นไม้ที่อยู่ริมบึงมีจำนวนลดลงไปกว่าเดิมไม่น้อย จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับคำแนะนำของตนเองหรือไม่
เขาไม่ชอบกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา แต่ภาพกิ่งกุ้ยฮวาที่ยื่นไปบนผิวทะเลสาบนั้นช่างงดงามจริงๆ
บนผนังของห้องภาวนาเจาะเปิดเป็นหน้าต่างทรงกลมเอาไว้บานหนึ่ง
หากมองจากด้านในห้องออกไปด้านนอก ทิวทัศน์ทะเลสาบจะกลายเป็นเหมือนภาพที่อยู่บนพัด แต่หากมองจากด้านนอกห้องเข้าไปด้านใน ก็จะเห็นถึงความหมายทางธรรมที่หมายถึงความกลมกลืน
แต่จิ๋งจิ่วมองเห็นเพียงกั้วตงที่กำลังนอนหลับอยู่
ประตูของห้องภาวนาอยู่ทางด้านนั้น เขาเดินเข้าไปจากทางหน้าต่างทรงกลม
หลังจากนั้น ภายในห้องภาวหน้าก็มีลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายออกมา ช่วงชิงสีสันจากทะเลสาบและภูเขาไปจนหมด
สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
………………………………………………………………