มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 195 เหตุมากมาย
พลังที่สดชื่นและบริสุทธิ์เสียยิ่งกว่าฤดูใบไม้ผลิ นุ่มนวลเสียยิ่งกว่าสุราชั้นดีเหล่านั้นล้วนแต่คือพลังเซียน
พลังเซียนส่วนใหญ่ถูกกรอกเข้าไปในร่างกายของกั้วตง แล้วก็มีบางส่วนที่ไหลออกไปนอกห้องฌาน
ดอกไม้ทั้งหมดที่อยู่สำนักแม่ชีล้วนผลิบาน หมู่มัจฉาที่อยู่ในทะเลสาบเริ่มแหวกว่าย
ข่ายพลังของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยทำงาน ผ้าแพรทรงกลมขนาดใหญ่ประมาณหลายสิบจ้างลอยพลิ้วไหวอยู่บนท้องฟ้า มองดูคล้ายผ้าเช็ดหน้าขนาดใหญ่ หากเหอจานได้มาเห็นภาพนี้ เขาน่าจะคิดโยงไปถึงผ้าธารชำระของตนเอง เพียงแต่อานุภาพของข่ายพลังแห่งนี้ย่อมต้องร้ายกาจกว่าผ้าธารชำระไม่รู้กี่เท่า
พลังเซียนทั้งบริสุทธิ์และเบาบาง ถึงแม้จะมีข่ายพลังขวางกั้นเอาไว้ แต่มันก็ยังเล็ดรอดออกไปภายนอกอยู่
เนินเขาที่อยู่ใกล้ๆ สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยกลายเป็นสีเขียว ดอกไม้ค่อยๆ ผลิบาน ขยายตัวออกไปด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มองดูคล้ายปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง
พลังเซียนเหล่านั้นมาถึงริมบ่อผ่านฟ้าที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ เบาบางจนยากจะสัมผัสได้แล้ว แต่มันก็ยังกระตุ้นอักขระอาคมที่ได้สลักเอาไว้บนภูเขาที่อยู่รอบๆ ให้เปล่งแสงสีทองออกมา อานุภาพแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า ในหลุมที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นมีเสียงวัตถุบางอย่างถูกเผาไหม้และเสียงร้องโหยหวนที่อ่อนแรงจำนวนนับไม่ถ้วน
ดวงวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ในบ่อผ่านฟ้าล้วนตายอย่างน่าอนาถ ส่งเสียงร้องอย่างน่าหวาดกลัว จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ จางหายไป ไม่กล้าโผล่มาแอบดูโลกมนุษย์อีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แสงสีทองในห้องภาวนาของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็ค่อยๆ หายไป ทุกอย่างกลับเป็นปกติ
กั้วตงยังคงนอนหลับตา แต่สีหน้ามิได้ขาวซีดเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว มีเลือดฝาดปรากฏขึ้นมาไม่น้อย
จิ๋งจิ่วรู้ว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
เมื่อหลายปีก่อนในใต้ทะเลตะวันตก นางถูกเทพกระบี่ฟันใส่ เส้นปราณและพลังชีวิตขาดสะบั้นจนหมด ตามหลักแล้วไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่ความมุ่งมั่นและพลังใจของนางนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และด้วยความช่วยเหลือของจิ๋งจิ่วจึงทำให้นางมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้
จิตเซียนที่อยู่ในยันต์เซียนวัฒนะได้ถูกหลอมละลายไปหมดแล้ว เหลือแค่เพียงพลังเซียนที่บริสุทธิ์
พลังเซียนปริมาณมากขนาดนี้กรอกเข้าไปในร่างกายของนาง ต่อให้บาดเจ็บสาหัสแค่ไหนก็สามารถรักษาได้
เขาเดินออกมาจากห้องภาวนา บอกลาเจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเป็นเหมือนหญิงสาวธรรมดา ความคิดเองก็มิได้ต่างอะไรกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป
เมื่อเห็นเขาช่วยชีวิตศิษย์พี่เอาไว้ได้ นางจึงรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย แต่ในเวลานี้เมื่อเห็นเขากำลังจะจากไป นางกลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร
ศิษย์พี่ยังไม่ตื่นขึ้นมา เจ้าก็จะไปแล้ว นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เจ้าทำอะไรผิดเอาไว้อย่างนั้นหรือ ถึงได้ไม่กล้าพบหน้านาง?
จิ๋งจิ่วย่อมไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ในอดีตตอนที่เขาตัดขาดกับเหลียนซานเยวี่ย สาวน้อยผู้นี้ยังบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักแม่ชี เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เขามิได้นั่งเกี้ยวกลับไปวัดกั่วเฉิง หากแต่ออกมาจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย มาถึงริมบ่อผ่านฟ้าที่อยู่ไม่ไกล
อักขระอาคมยังคงเปล่งแสงสีทองจางๆ อยู่ ภายในบ่อที่เงียบสงัดไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เขายืนอยู่ริมบ่อ มองดูภายในบ่อที่ลึกจนไม่เห็นก้น ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่าสำนักจงโจวยังมียันต์เซียนอยู่อีกกี่แผ่น?
ในอดีตยันต์เซียนแผ่นนั้นร่วงตกลงมาจากด้านนอกท้องฟ้า สยบจักรพรรดิแห่งหมิงเอาไว้ เขาใช้เวลาถึงหกปีเต็ม เสี่ยงอันตรายนับไม่ถ้วน ถึงจะหลอมยันต์เซียนวัฒนะแผ่นนี้ได้ หากสำนักจงโจวใช้ยันต์เซียนออกมาอีก ชิงซานจะรับมืออย่างไร?
กระแสจิตของเขาเดินทางไปยังจักรวาลที่ไกลโพ้น เย็นยะเยือกและกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้น มองดูลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงสีดำชิ้นนั้น คาดการณ์ว่าอีกสามปีตัวเองน่าจะรับมือยันต์เซียนได้อีกแผ่น
การที่เขาเรียนรู้บัญชาเพลิงวิญญาณจากจักรพรรดิแห่งหมิงในคุกสะกดมาร ก็เท่ากับว่าเขามีคุณสมบัติที่จะใช้ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิง เพียงแต่สภาวะของเขายังค่อนข้างต่ำต้อยอยู่
จากนั้นเขามองดูแขนขวาที่บิดเบี้ยวของตัวเองพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนตอนนี้จะยังไม่ถึงเวลาที่จะมอบกระบี่คมจักรวาลให้กู้ชิง
……
……
บ่อผ่านฟ้ามีลมพัดขึ้นมา
จิ๋งจิ่วลอยตามลมขึ้นไป เข้าไปสู่ดินแดนแห่งความว่างเปล่า
สภาวะคเนจรไม่สามารถอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าเป็นเวลานานได้ แต่เขาคือข้อยกเว้น ความเร็วในการขี่กระบี่ย่อมต้องเร็วกว่ารถม้าไม่รู้กี่เท่า ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการขี่กระบี่ของเขายังเร็วจนน่าตกใจ ในตอนที่ท้องฟ้ายามเย็นปกคลุมชิงซาน เขาเองก็ได้มาถึงบนยอดเขาทั้งเก้าแล้ว มองเห็นธารสี่เจี้ยนที่ดูเหมือนเส้นสีทอง
ข่ายพลังชิงซานเกิดการตอบสนอง เปิดออกเป็นทางขึ้นมาเส้นหนึ่ง
หลายคนมองเห็นลำแสงกระบี่สายนั้น รับรู้ได้ถึงพลังอันแหลมคมที่อยู่ในลำแสงกระบี่สายนั้น จึงพากันส่งเสียงอุทานตกใจออกมา ในใจครุ่นคิดว่านี่คือกระบี่คมจักรวาลที่ฟันฉีหลินจนได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?
เมื่อสองวันก่อน จัวหรูซุ่ยกลับมายังชิงซาน เขาได้ขึ้นไปรายงานสถานการณ์บนตำหนักใหญ่ของยอดเขาซีไหล
เหล่าศิษย์ของชิงซานต่างรู้ว่าภายในวัดกั่วเฉิงเกิดอะไรขึ้น จึงยิ่งเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใสในตัวอาจารย์อาเล็ก
เมื่อเห็นลำแสงกระบี่อันดุดันที่คล้ายจะผ่าแผ่นฟ้าออก เหล่าศิษย์จึงพากันคารวะ
ลำแสงกระบี่บินลงไปยังยอดเขาเสินม่อ
กู้ชิงและหยวนฉวี่เข้ามาต้อนรับ
จิ๋งจิ่วโยนกระบี่คมจักรวาลให้แก่กู้ชิง พลางกล่าวว่า “นี่คือกระบี่ของเจ้าในอนาคต เอาไปทำความคุ้นเคยก่อน แต่ว่าข้าอาจจะต้องยืมใช้ก่อนสักสามสี่ปี”
กู้ชิงมิได้รู้สึกดีใจ ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกสับสนและไม่สบายใจ ในใจคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
หยวนฉวี่รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าอาจารย์ของตนเองเอาของดีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาจากวัดกั่วเฉิงหรือเปล่า?
ตกกลางคืน บนขอบฟ้ามีลำแสงกระบี่สีแดงปรากฏขึ้นมา เจ้าล่าเยวี่ยกลับมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ได้เอาของขึ้นชื่อของมั่วชิวกลับมาด้วย
มีเสียทีที่กระบี่มิคำนึงเป็นกระบี่ที่เร็วที่สุดชิงซาน
ต่างก็ออกเดินทางออกมาจากในวัดกั่วเฉิง แต่นางช้ากว่าจิ๋งจิ่วเพียงครึ่งวันเท่านั้น
แต่แน่นอน ระหว่างทางจิ๋งจิ่วยังแวะไปสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย แล้วก็ไปยืนเหม่อลอยอยู่ที่ริมบ่อผ่านฟ้าครู่หนึ่งด้วย
ในส่วนลึกของถ้ำ
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูมือซ้ายของเขา ก่อนจะมั่นใจว่ายันต์เซียนไม่อยู่แล้ว จากนั้นมองไปทางมือขวาที่เปลี่ยนรูปของเขา ก่อนกล่าวถามว่า “แล้วนี่จะทำอย่างไร?”
“ข้าจะเก็บตัวคิดหาวิธีสักหลายวัน”
จิ๋งจิ่วพูดอย่างเรียบเฉย คล้ายว่านี่เป็นเรื่องเล็ก
แต่กระทั่งเขาก็ยังคิดหาทางไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก
การที่ถูกสมณะตู้ไห่ใช้ฝ่ามือพุทธิปัญญาที่เป็นวิชาสละชีพลอบโจมตี ต่อให้ร่างกายของเขาจะพิเศษแค่ไหน สุดท้ายก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน ถ้าหากเขาใช้พลังเซียนที่อยู่ในยันต์เซียนรักษาอาการบาดเจ็บในทันทีหลังจากที่หลอมจิตเซียนสายนั้นไปแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาย่อมต้องสามารถรักษาให้หายได้ในพริบตา แต่เขาเอาพลังเซียนทั้งหมดให้กั้วตง มิได้เหลือไว้ให้แก่ตนเองแม้แต่นิดเดียว
เจ้าล่าเยวี่ย มองดูเขา มิได้กล่าวกระไร หมุนตัวเดินออกไปจากถ้ำ
จิ๋งจิ่วหลับตา เริ่มทำสมาธิ
คิด ก็คือครุ่นคิด
นอกจากมือขวาที่บาดเจ็บสาหัสและเปลี่ยนรูปอย่างรุนแรง เขายังคิดถึงปัญหาบางอย่าง
ยันต์เซียนของสำนักจงโจว ความวุ่นวายภายในแคว้นเสวี่ย ความพยายามของศิษย์พี่ สถานการณ์ภายในเมืองเจาเกอ ผีหรือว่าปีศาจสองสามตัวที่อยู่ในชิงซาน
แต่ไหนแต่ไรมาเขามิสนใจเรื่องราวทางโลก เพราะเรื่องราวทางโลกน่ารำคาญ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกปุุถุชน เพราะโลกปุถุชนนั้นวุ่นวายเกินไป
เดิมเข้าคิดว่าเมื่อตัวเองเกิดใหม่อีกครั้ง เรื่องที่จะทำในชีวิตนี้ก็คือตัดกรรมจากชีวิตที่แล้ว ตัดความผูกผันที่ผ่านมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันกลับยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดจริงๆ
เขาดีดนิ้วทีหนึ่ง ขับไล่ความคิดทั้งหมดออกไปจากหัว เข้าสู่สภาวะใจแห่งเต๋าใสกระจ่าง
ในเวลานี้เอง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาอีกครั้ง จึงลืมตาขึ้น
แมวเขาเดินออกมาจากในส่วนลึกของถ้ำ ฝีเท้าของมันแผ่วเบา สายตาค่อนข้างสับสน ไม่กล้าสบตาเขา
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ มันไม่ได้กลับไปยอดเขาปี้หู หากแต่ยังอยู่ที่นี่
แมวขาวเดินมาตรงหน้าเขา ยกอุ้งเท้าเขี่ยจักจั่นเหมันต์ลงมาจากหัวแล้ววางลงไปบนพื้นเบาๆ จากนั้นหันมาร้องเมี้ยวๆ ใส่เขา
เสียงร้องของมันมิได้ดุดัน แล้วก็มิได้อ้อมค้อม หากแต่สามารถฟังออกถึงความรู้สึกผิดและจนปัญญาได้อย่างชัดเจน
—- ข้าแก่แล้ว ข้ากลัวตายจริงๆ ตอนนั้นเลยไม่กล้าลงมือ
จิ๋งจิ่วแสดงความเข้าอกเข้าใจ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าเองก็กลัวตายเหมือนกัน”
แมวขาวปีนขึ้นไปนอนอยู่ตักเขา
จิ๋งจิ่วลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน