มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 22 มีพิษ
ถงเหยียนเองก็ตอบโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา “ไม่ว่าจะเป็นใคร การจะสังหารอาจารย์ของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เขาจะกระอักกระอ่วน กระวนกระวาย แต่อารมณ์เช่นนี้มันก็ดีอย่างมาก มันจะทำให้เจี้ยนซีไหลเข้าใจว่าเขาคือศิษย์ผู้น่าสงสารที่พบเจอเรื่องราวเลวร้ายบนโลก จนในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดเพ้อฝันและกลับมายังสำนักใหม่อีกครั้งผู้นั้น เขาเหมือนกับหลิ่วสือซุ่ย เป็นคนจริงใจ เก็บซ่อนไม่เป็น ดังนั้นเขากลับเป็นคนที่เหมาะที่จะเป็นสายมากที่สุด ไม่อย่างนั้นป้าของเจ้าก็คงไม่พาเขาส่งมาที่นี่”
เหอจานกล่าวว่า “หาก…ถงหลูกลับคำจะทำอย่างไร?”
ถงเหยียนวางหมากที่อยู่ในมือ นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “คนอย่างพวกเรา ปกติจะทำเรื่องราวจนเสร็จแล้วค่อยนึกเสียใจภายหลัง”
กลับคำกับนึกเสียใจภายหลังนั้นเป็นสองคำที่แตกต่างกันโดยสินเชิง
“ถูกต้อง เหมือนอย่างลั่วไหวหนานนั่นแหละ”
ซูจึเย่กล่าวเย้ยหยันประโยคนี้จบ สีหน้าพลันขาวซีดขึ้นมา
เขารีบหยิบเอาของบางสิ่งจากในกล่องมากำเอาไว้ในมือ ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งสั่นยิ่งรุนแรง ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว คล้ายกำลังแบกรับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความสุข ทว่าในส่วนลึกของดวงตากลับมองเห็นถึงความเย็นชาจนถึงขีดสุด
นั่นเป็นกล่องที่กั้วตงทิ้งเอาไว้ให้ซูจึเย่ เหอจานนึกว่าเป็นยาถอนพิษ เขาเคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งแต่ก็มิได้ใส่ใจ จนกระทั่งวันนี้เขาพลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเดินเข้าไปด้วยความสงสัย คิดอยากจะดูว่าในกล่องมันมีอะไรอยู่กันแน่
“อย่าจับ”
ถงเหยียนกล่าวเตือน “ในนั้นมีพิษตาน”
เหอจานสีหน้าแปรเปลี่ยน รีบหดมือกลับมาทันที
ในหมู่เกาะทางใต้มีนกกระเรียนปีศาจชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ บนหัวของมันมีหงอนสีแดง ในหงอนมีพิษร้ายแรง หากไม่ถูกพิษตาย จิตที่ถูกพิษกัดกร่อนก็จะแปรเปลี่ยนเป็นมีความแน่วแน่อย่างมาก สามารถต้านทานความเจ็บปวดที่รุนแรงมากกว่านั้นได้ แต่หากพิษตานค่อยๆ สลายไปแล้ว ความสามารถในการต้านทานนั้นก็จะกลายเป็นความเจ็บปวดอันรุนแรงเสียเอง
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะแล้ว พิษตานมิได้มีประโยชน์อะไรต่อการบำเพ็ญเพียรเลย จึงย่อมไม่มีใครลองใช้มัน แต่สำหรับผู้บำเพ็ญพรตพรรคมารแล้ว การที่ขาดแคลนสายแร่วิญญาณทำให้พวกเขาได้แต่ต้องเลือกใช้วิธีอื่น อย่างเช่น การบูชายัณเลือด อย่างเช่นการปลูกหน่อมาร ซึ่งวิธีการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ล้วนแต่มีปัญหา ทำให้เกิดเรื่องได้ง่าย ทำให้ตัวผู้บำเพ็ญเพียรเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทำให้สติเลอะเลือน พวกการไล่สังหารผู้บริสุทธิ์หรือการกระทำความชั่วต่างๆ ก็มักจะเกิดมาจากเหตุนี้ หากพวกเขาอยากจะรักษาสติของตัวเองเอาไว้ พิษตานจึงมักจะกลายเป็นตัวเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารมักจะมีแรงใจและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถต้านทานความเย้ายวนของพิษตานและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ ทันทีที่ปนเปื้อนก็จะไม่สามารถสลัดหลุดได้อีก ปริมาณพิษตานที่้ต้องใช้ก็จะมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ พิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็จะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นร่างกายก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตายไปในที่สุด มีคนเคยคำนวณเอาไว้ว่าจำนวนผู้บำเพ็ญพรตพรรคมารที่ตายลงเพราะพิษตานในช่วงเวลาหลายร้อยปีก่อนหน้านี้มีมากกว่าจำนวนผู้บำเพ็ญพรตพรรคมารที่ตายด้วยกระบี่ของสำนักฝ่ายธรรมะเสียอีก
ในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา เมื่อสำนักฝ่ายอธรรมเสื่อมอำนาจ ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารน้อยคนนักที่จะยินดียอมจ่ายค่าตอบแทนที่เจ็บปวดขนาดนี้เพื่อแลกกับการมีสติและความก้าวหน้าในสภาวะ เรื่องแบบนี้ึจึงลดน้อยลงกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานั้นแทบจะมิได้ยินข่าวเกี่ยวกับพิษตานเลย เหอจานไม่เคยเห็นมันกับตาตัวเองมาก่อน จนกระทั่งวันนี้
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” เมื่อซูจึเย่ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติแล้ว เหอจานจ้องมองเขาพลางตะโกนอย่างโมโห “เจ้าจะตายเอาได้นะ!”
ซูจึเย่มองเขาเงียบๆ ก่อนถามว่า “ข้าเป็นคนพรรคมาร ทำไมถึงกลายเป็นเพื่อนของเจ้าได้?”
เหอจานพูดไม่ออก ที่กลายเป็นเพื่อนกับซูจึเย่ได้ ย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายมีประโยชน์ แล้วก็…มือไม่ค่อยเปื้อนเลือดมากเท่าไร
ซูจึเย่เป็นนายน้อยของพรรคมาร แต่กลับไม่ไปเที่ยวทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าสังหารคนส่งเดช ย่อมต้องเป็นเพราะเขาใจเย็นมากพอ
ในฐานะที่เป็นหน่อมารแต่กำเนิด ทุกวันต้องทนรับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่ยังใจเย็นได้ขนาดนี้ นี่ย่อมต้องเป็นเพราะมีพิษตานคอยช่วยเหลือ
“สำหรับข้าแล้ว การมีสติสำคัญอย่างมาก เพราะข้าไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนอย่างพ่อข้าในอดีต”
ซูจึเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นย่อมต้องเป็นเพราะอยากแข็งแกร่งขึ้น ได้เกิดมาบนโลกทั้งที ยังไงก็ต้องมีอะไรบางอย่างให้ไล่ตาม”
เหอจานมองเขา ก่อนกล่าวอย่างเศร้าใจ “แต่แบบนี้มันเจ็บปวดมากนะ อีกทั้งเจ้ายังจะตายเร็วด้วย”
ซูจึเย่มองเขา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “อย่างนั้นเจ้ามีวิธีอะไรที่จะช่วยข้าแก้ไขปัญหานี้ได้ไหมล่ะ?”
ปัญหานี้ย่อมแก้ไขไม่ได้ ไม่อย่างนั้นในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตไหนเลยจะมีการแบ่งเป็นธรรมะกับอธรรม?
ปริมาณสายแร่วิญญาณบนแผ่นดินเฉาเทียนมีจำกัด อีกทั้งส่วนใหญ่ก็เป็นของสำนักบำเพ็ญพรตใหญ่ๆ….หรือพูดอีกอย่างก็คือถูกยึดเอาไป
ถงเหยียนพลันกล่าวขึ้นมา “ข้อเสนอของข้าครั้งที่แล้ว เจ้าลองคิดดูอีกที”
ซูจึเย่ยิ้มกรุ้มกริ่มชั่วร้าย ในใจครุ่นคิดว่าต่อให้เจ้ายินดีแบ่งสายแร่วิญญาณมาจากสำนักฝ่ายธรรมะอย่างสำนักคุนหลุนมาจริงๆ แต่อาศัยเพียงเจ้าจะทำสำเร็จได้อย่างไร?
……
……
เสาหินที่อยู่ระหว่างยอดเขาซื่อเยวี่ยและยอดเขาซีไหลยังคงแอบซ่อนอยู่ในม่านหมอกอันเย้ายวน
ฟางจิ่งเทียนลอยลงมาบนเสาหิน คิ้วสีเงินพลิ้วไหว ดูไปคล้ายเซียน
เมฆหมอกขยับเล็กน้อย เงาดำที่อยู่ในส่วนลึกเงานั้นดูชัดเจนขึ้น นั่นคืออินเฟิ่ง หนึ่งในผู้พิทักษ์ชิงซาน
ฟางจิ่งเทียนกล่าวว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองไม่อาจข้ามด่านความตายได้ พวกเขาก็น่าจะเข้าใจความทุกข์ของอาจารย์ในตอนนั้น ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่รู้สึกเสียใจ”
อินเฟิ่งกล่าว “เรื่องเหล่านี้พูดไปก็ไร้ความหมาย นอกเสียจากเจ้าจะพาหยวนฉีจิงมาคุกเข่าสาบานต่อหน้าป้ายบรรพจารย์ได้”
ฟางจิ่งเทียนกล่าว “นี่ไม่สำคัญ ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้าน่าจะเชื่อว่าแล้วว่าเขามิใช่จิ่งหยาง”
อินเฟิ่งกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าที่เจ้าบอกว่าน่าจะ มันหมายความว่าอย่างไร”
ฟางจิ่งเทียนกล่าว “ในอดีตเขาอาศัยอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อมานานขนาดนั้น ต่อให้ตอนนี้สภาวะจะต่ำต้อย แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่จะเข้าไปในคุกกระบี่ไม่ได้?”
อินเฟิ่งแค่นหัวเราะ พลางกล่าว “เด็กสองคนนั้นเป็นแค่วิธีเบี่ยงเบนความสนใจ เจ้าถูกหลอกแล้ว”
ฟางจิ่งเทียนสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ยอมเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยตัวตนเพื่อเข้าไปช่วยหลิ่วสือซุ่ย นี่เป็นเรื่องที่จิ่งหยางจะทำอย่างนั้นหรือ?”
อินเฟิ่งยิ้มเย็นยะเยือก กล่าวว่า “นับแต่วันแรกที่เข้ามาในชิงซาน เขาเคยคิดที่จะปิดบังตัวเองไหมล่ะ?”
ฟางจิ่งเทียนกล่าว “หรือเจ้าไม่คิดว่านี่มันกลับมีปัญหา?”
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ศาลาหนานซงจนมาถึงธารสี่เจี้ยน จากยอดเขากระบี่มาจนถึงยอดเขาเสินม่อ จากหลิ่วสือซุ่ยมาถึงเจ้าล่าเยวี่ย จากการสืบทอดกระบี่มาจนถึงการทดสอบกระบี่…ไม่ว่าในเวลาปกติจะเกียจคร้านแค่ไหน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างไร สุดท้ายจิ๋งจิ่วก็ยังเป็นคนที่ถูกจับตามองมากที่สุด คล้ายกับพระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าที่ไม่มีวันที่จะถูกคนเห็น
หากเขาเป็นคนที่นำเอาความลับกลับมายังชิงซานจริงๆ เหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนี้?
……
……
จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ มองดูทะเลเมฆที่อยู่ด้านนอกหน้าผา ไม่ยอมละสายตาไปไหนอยู่เป็นเวลานาน
จานกระเบื้องวางอยู่ใต้มือเขา เม็ดทรายอยู่ระหว่างนิ้วของเขา เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้เขาไม่มีใจจะมานั่งเล่นเม็ดทราย
เขากำลังครุ่นคิด อีกทั้งเป็นการครุ่นคิดที่ทั้งจริงจังและสามารถมองออกได้อย่างที่เวลาปกติยากจะได้เห็น
“ปล่อยไปแบบนี้อย่างนั้นหรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมาหาเขาพลางกล่าว
นางเริ่มเตรียมตัวบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่เด็ก แทบจะไม่ข้องเกี่ยวกับผู้คน หลังมายังชิงซานแล้วก็ยังเป็นเช่นนี้ เคยตามจิ๋งจิ่วออกไปข้างนอกเพียงแค่สองครั้ง
นางที่มิใช่สาวน้อยอีกแล้วยังคงเป็นสาวน้อยอยู่
ความจริงสถานการณ์เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยๆ ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต อย่างเช่นเหล่าหญิงสาวบนยอดเขาชิงหรง หรือไม่ก็ศิษย์วัยเยาว์ของสำนักอื่น
ผู้บำเพ็ญพรตมีอายุยืนยาว ถ้าไม่เกินครึ่งร้อยล้วนเรียกได้ว่าวัยเยาว์
หญิงสาวมักจะนิสัยแง่งอน ถึงแม้ตอนนี้นางจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แล้วก็ตาม