มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 27 เวลาไหลผ่านไป
ในส่วนลึกของสวนด้านหลังวัดกั่วเฉิง ด้านนอกห้องภาวนาที่เงียบสงบถูกหิมะปกคลุม ด้านในมีเตาดินเผาเล็กๆ อยู่เตาหนึ่ง ในหม้อกำลังต้มหัวเผือกอยู่ ส่งกลิ่นหอมของอาหารออกมาจางๆ
ฉานจึนั่งอยู่บนอาสนะ อาศัยแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันอ่านหนังสืออยู่
ในมือของเขาถือม้วนหนังสืออยู่สองม้วน ม้วนหนึ่งคือรวมกลอนของราชวงศ์ก่อน อีกม้วนคือตำราอาหาร
ไม่รู้ว่าเขาสามารถอ่านหนังสือที่เนื้อหาแตกต่างกันในเวลาเดียวกันได้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาต้องอาศัยแสงไฟในการให้ความสว่างด้วย
ในใจฉานจึพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมามองตะเกียงน้ำมัน
ทันใดนั้น ไส้ตะเกียงที่ฟั่นเป็นเส้นเอาไว้อย่างสวยงามไม่สั้นไม่ยาวเกินไปพลันขมวดเป็นปมคล้ายดอกไม้ดอกเล็กๆ ดอกหนึ่ง
ถึงแม้จะเล็ก แต่ยังคงสวยงาม ทำให้คนรู้สึกหวั่นไหว
“เทพธิดาโปรยดอกไม้?”
ฉานจึครุ่นคิด หรือจะเป็นอาจารย์อาท่านไหนจากในป่าเจดีย์มาอธิบายธรรมะให้ศิษย์ฟัง?
สถานะในสำนักฌานของเขาสูงส่ง อย่าว่าแต่วัดกั่วเฉิงเลย ต่อให้เป็นวัดโบราณเจ็ดสิบสองแห่งบนแผ่นดินเฉาเทียนก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์อาของเขาได้
เขาพลันคิดถึงจดหมายที่เจ้าล่าเยวี่ยเขียนมาฉบับนั้น แล้วก็รับรู้ได้ว่าน่าจะเป็นทางสวนผัก สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะเรียกสมณะตู้ไห่เข้ามาในห้องภาวนา
ในวัดกั่วเฉิงนอกจากเขาแล้วก็มีเพียงสมณะตู้ไห่แห่งอารามหลี่ว์ถังที่รู้ความเป็นมาของหลิ่วสือซุ่ย
“เจ้าไปดูที่สวนผักหน่อย….”
ฉานจึครุ่นคิดพลางกล่าว “อย่าให้เด็กนั่นรู้ตัวล่ะ”
……
……
หลิ่วสือซุ่ยเดินออกมานอกกระท่อม มองดูเสี่ยวเหอที่สวมชุดชั้นเดียวยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ เหม่อมองดูกองผักกาดขาวที่กองอยู่ตรงมุมกำแพง จึงถามว่า “ทำไมหรือ?”
เสี่ยวเหอเห็นว่าเขาตื่นแล้ว จึงกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “อินฝูไม่มาเอาผักสามวันแล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยถามอย่างงุนงงเล็กน้อย “ข้าเข้าสมาธิไปกี่วันแล้ว?”
เสี่ยวเหอกล่าว “สามวัน”
สำหรับสมณะที่มีตบะสูงส่งของสำนักฌานแล้ว เวลาในการเข้าสมาธิมีสั้นมียาว ล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
หลายวันก่อนเขาทุ่มสมาธิอยู่กับการทำความเข้าใจคัมภีร์ จึงมิได้สนใจเรื่องอื่น ในเวลานี้เมื่อมาย้อนคิดดูแล้ว ย่อมต้องรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นวัดกั่วเฉิง แต่คนงานในห้องครัวก็ไม่มีทางที่จะมีความรู้ทางธรรมะที่ลึกซึ้งขนาดนี้ได้
อินฝูย่อมไม่มีทางเป็นคนงานจริงๆ อย่างนั้นเขาเป็นใครกันแน่?
“ตอนเด็กๆ ข้ามักจะตามยายไปฟังไต้ซือเล่านิทานธรรมะให้ฟังบ่อยๆ ในนิทานเหล่านั้นมักจะเล่าถึงเรื่องที่สมณะสูงศักดิ์แปลงกายมาเป็นหญิงแก่คอยชี้ทางให้แก่ชาวโลกที่หลงทาง”
เสี่ยวเหอกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “คนผู้นั้น…เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นสมณะสูงศักดิ์ในวัด?”
หลิ่วสือซุ่ยเองก็เคยอ่านนิทานธรรมะทำนองนี้มามาก ในใจครุ่นคิดว่าหากเป็นเช่นนี้จริง ฉานจึก็ถือว่าดูแลเขาดีเกินไปแล้ว จึงรู้สึกซาบซึ้งใจ
เพื่อจะพิสูจน์เรื่องนี้ เขาเดินออกจากสวนผักเข้าไปในวัด
ตำหนักในสวนด้านหน้าวัดมักจะมีการติดต่อกับโลกภายนอกอยู่บ่อยๆ มิได้มีการหวงห้ามไม่ให้คนจากภายนอกเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นสมณะที่คอยทำหน้าที่รับแขกก็รู้ว่าเขาเป็นชาวนาที่อยู่ในสวนผัก จึงย่อมมิได้ขัดขวางเขา
หลิ่วสือซุ่ยเดินทะลุผ่านตำหนักเข้าไปยังหน้าห้องครัว ก่อนจะพบว่าที่นี่ซึ่งปกติจะมีเปลวไฟร้อนแรงลุกโชนตลอดทั้งวัน ในวันนี้กลับเงียบเป็นพิเศษ จึงกล่าวพึมพำว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
สมณะอ้วนรูปหนึ่งที่กำลังกวาดพื้นกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันปีใหม่ไง”
หลิ่วสือซุ่ยงุนงงเล็กน้อย กล่าวถามว่า “พระก็ฉลองปีใหม่อย่างนั้นหรือ?”
สมณะอ้วนรูปนั้นกล่าวอย่างหงุดหงิด “พวกข้าย่อมไม่ได้ฉลอง แต่พวกคนงานในครัวเหล่านั้นต้องฉลอง!”
ไกลออกไปด้านนอกวัดคล้ายมีเสียงประทัดดังขึ้นมา ดูแล้วพวกชาวนาที่มาเช่าที่นาทำกินคงกำลังดื่มสุรากันอยู่
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่าตนเองกับเสี่ยวเหอคิดไปไกลแล้ว อินฝูเพียงแค่กลับไปฉลองปีใหม่ จึงกล่าวถามไปอีกเล็กน้อย
สมณะอ้วนรูปนั้นถือไม้กวาดเตรียมจะไล่เขา กล่าวว่า “ไปๆๆ! ที่นี่ไม่มีคนชื่อนี้ เจ้ามาล้ออะไรข้าเล่นเนี่ย!”
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย
เมื่อคิดถึงว่าสมณะสูงศักดิ์ภายในวัดกั่วเฉิงคอยแอบดูแลตนอย่างเงียบๆ เขาจึงย่อมไม่รู้สึกโกรธที่สมณะอ้วนรูปนี้เสียมารยาท หากแต่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ไต้ซืออย่าเพิ่งโมโห”
สมณะอ้วนรูปนั้นกล่าวอย่างโมโหว่า “คนขายเนื้อแซจางตายไป พวกเจ้ายังมีเนื้อหมูให้กิน แต่พวกข้าล่ะ? ได้แต่ต้องกินหมั่นโถวค้างคืน! แล้วจะไม่ให้เศร้าใจได้อย่างไร!”
……
……
เมื่อกลับมาถึงสวนผัก หลิ่วสือซุ่ยเตรียมจะบอกเสี่ยวเหอว่าวันนี้เป็นวันปีใหม่ ให้ทำอะไรอร่อยๆ มากิน แต่ก็พบว่านางได้เตรียมอาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
จานหนึ่งเป็นผักลวกที่ไม่ใส่อะไรเลย กระทั่งซีอิ๊วสักหยดก็ไม่ได้ใส่ ด้านข้างมีเพียงเต้าหู้ยี้รสเผ็ดชามเล็กๆ วางเอาไว้ชามหนึ่ง
มีขาหมูตุ๋นน้ำแดงที่เป็นมันวาวชามใหญ่ชามหนึ่ง น่าจะใช้ซีอิ๊วที่ดีที่สุด น้ำตาลเองก็เคี่ยวมาเป็นอย่างดี สีสันสวยงาม ดูแล้วคงน่าอร่อยอย่างมาก
แล้วยังมีน้ำแกงวุ้นเส้นผักกาดดองใส่เนื้อแพะ ส่วนที่เป็นสีเหลืองก็เป็นสีเหลือง สวนที่เป็นสีขาวก็เป็นสีขาว
ที่ดูน่ากินที่สุดก็คือกระเพาะหมูผัดพริก ด้านบนโรยต้นหอมเอาไว้ ดูน่ากินเป็นอย่างมาก
หลิ่วสือซุ่ยชอบกินต้นหอม สิ่งที่เขาชอบกินมากที่สุดก็คือเต้าหู้นึ่งซีอิ๊วใส่ต้นหอม
ผู้บำเพ็ญพรตชอบกินของจืดๆ มากที่สุด
คุณชายไม่ได้พูดประโยคนี้กับเขา เขาแอบเรียนรู้มันมา
เสี่ยวเหอเป็นเพื่อนร่วมกินข้าวกับเขาก่อนหน้าที่จะมาใช้ชีวิตกับเขา นางย่อมต้องรู้ว่าเขาชอบกินอะไร เมื่อเห็นเขานั่งลงตรงหน้าเต้าหู้ก็ไม่ผิดหวัง จากนั้นนางม้วนแขนเสื้อขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เตรียมจะใช้มือจับเอาขาหมูทั้งขาขึ้นมากัดให้หนำใจ
หลิ่วสือซุ่ยส่งสายตาบอกนางว่ารอประเดี๋ยว ก่อนจะหมุนตัวเดินไปในห้องครัว
เสี่ยวเหอรู้สึกแปลกใจ มือที่ยกขึ้นมาทั้งสองข้างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน จึงรอคอยอยู่แบบนี้
จากนั้นครู่หนึ่งหลิ่วสือซุ่ยเดินออกมาจากในห้องครัว ถือชามและตะเกียบสองชุดมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะยกเหยือกสุราเทสุราลงในถ้วยเล็กสองใบจนเต็ม
เสี่ยวเหอเข้าใจความหมายของเขา จึงรีบช่วยจัดวางตะเกียบให้ตรง แล้วถามเขาว่าจะให้ตักข้าวหรือไม่
หลิ่วสือซุ่ยบอกว่าให้พวกเขาสักดื่มสองถ้วยก่อนค่อยกินข้าว
เสี่ยวเหอตอบว่าได้ พร้อมทั้งจงใจใช้เสียงที่ฟังดูสดใสและน่ารัก ด้วยคิดอยากจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นหน่อย
จากนั้นจึงเริ่มกินข้าวดื่มสุรา หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอคอยคีบอาหารใส่ในชามทั้งสองใบเป็นระยะ
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเสี่ยวเหอก็ทนไม่ไหว จึงถามว่า “ข้ารู้ว่าท่านนี้จะต้องเป็นท่านเหยียนอย่างแน่นอน แต่ว่าท่านนั้น…”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “เขาคือซีหวังซุน”
บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม
ทั้งสองคนก้มหน้ากินข้าวต่อ
ภายในกระท่อมเงียบไปเป็นเวลานาน
ไม่รู้ว่าท่านเหยียนกับซีหวังซุนได้กินอาหารเหล่านี้หรือไม่
เสี่ยวเหอกินอย่างเรียบร้อย กระทั่งขาหมูก็มิได้ใช้มือจับขึ้นมา หากแต่ใช้ตะเกียบค่อยๆ ฉีกเนื้อออกมา
บรรยากาศมีแรงกดดัน มิได้คล้ายวันปีใหม่เลย
นางเงยหน้าขึ้นมามองหลิ่วสือซุ่ย ครุ่นคิดว่าจะหยอกล้อให้เขามีความสุขอย่างไร
ทุกเทศกาล จะต้องคิดถึงคนที่บ้าน
เสี่ยวเหอมองว่าหลิ่วสือซุ่ยน่าจะคิดถึงจิ๋งจิ่วบ้าง จึงจงใจกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าวันนี้ยอดเขาเสินม่อจะฉลองปีใหม่หรือเปล่า”
“อืม…คุณชายไม่ฉลองปีใหม่”
หลิ่วสือซุ่ยจำได้แม่น ตอนนั้นในหมู่บ้านมีการฉลองปีใหม่ จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขาอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่านั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับเรื่องแบบนี้
เขาไม่ค่อยคิดถึงจิ๋งจิ่วเท่าไร เพราะจิ๋งจิ่วจะต้องสบายดีอย่างแน่นอน ก็เหมือนกับที่เขาไม่ค่อยเป็นห่วงบิดามารดา เพราะสุขภาพของบิดามารดาแข็งแรง กินข้าวอร่อย
เสียงประทัดที่อยู่ไกลออกไปดังขึ้นอีกครั้ง เวลาค่ำคืนมาเยือน
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงผู้อาวุโสที่ใช้นามแฝงว่าอินฝูผู้นั้น ในใจพลันรู้สึกคิดถึง ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะมีวาสนาได้พบกันอีก
……
……
ในสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดของอารามหลี่ว์ถังในวัดกั่วเฉิงมีห้องภาวนาอยู่ห้องหนึ่งชื่อว่าไป๋ซาน
อินซานและปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสวมจีวร นั่งอยู่บนอาสนะ ครั้นได้ยินเสียงประทัดที่ดังมาจากนอกวัด จึงสบตากัน รู้สึกค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย
ไม่รู้เพราะเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่หนีออกไปจากวัดกั่วเฉิง หากแต่ปลอมเป็นพระหลบซ่อนตัวอยู่ในวัด
“เกือบถูกจับได้เพราะจะสอนเขาอ่านคัมภีร์ ท่านนักพรตเหตุใดท่านต้องลำบากเช่นนี้ด้วย”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองเขาพลางกล่าว
อินซานยิ้มๆ มิได้อธิบายอะไร
ชีวิตนี้เขาต้องเจ็บปวดกับการเป็นอาจารย์ให้ผู้อื่น
เขาเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต สั่งสอนศิษย์จนบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ไปสามคน แต่ผลสุดท้ายทุกคนกลับทรยศเขา
เขาไม่ได้สอนใครมาหลายปีแล้ว ยากที่จะไม่ให้หวนคิดถึง เป็นอีกครั้งที่หลักเหตุผลถูกความรู้สึกเอาชนะไปได้ จึงได้เกิดการสอนคัมภีร์ในช่วงหลายวันนี้
บางทีนี่อาจจะเป็นวาสนาระหว่างเขากับหลิ่วสือซุ่ย
แต่ที่น่าเสียดายก็คือคัมภีร์ที่หลิ่วสือซุ่ยเรียนอยู่พูดถึงเรื่องการมีอยู่และความว่างเปล่า แต่สิ่งที่เขาอยากเรียนคือการเกิดดับ
ในห้องภาวนาไป๋ซานมีพระพุทธรูปสำริดสีดำอยู่องค์หนึ่ง ในมือถืออาวุธวิเศษต่างๆ ท่าทางดูทรงอำนาจน่าเกรงขาม
หากคนทั่วไปได้มาเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ คงจะต้องเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงเป็นแน่ แต่อินซานและปรมาจารย์สำนักเสวียนอินย่อมไม่มีความรู้สึกเช่นนี้
ด้านหน้าพระพุทธรูปไม่มีของถวายบูชา มีเพียงชามใส่น้ำเปล่าอยู่สามใบ
ชามนั้นทำมาจากกระดูกหัวกะโหลกบางอย่างเคลือบด้วยเงิน ให้ความรู้สึกลี้ลับ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสนิท เสียงประทัดดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นมีเสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ
วัดกั่วเฉิงไม่ฉลองปีใหม่ แต่ทุกวันพระที่วัดจะต้องตีระฆัง เสียงระฆังนี้กำลังบอกว่าปีใหม่ได้มาถึงแล้ว
อินซานลืมตาขึ้น ลุกขึ้นเดินไปยังหน้าพระพุทธรูป
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินตามไป
เสียงระฆังดังต่อเนื่อง
นั่นคือเสียงของเวลา
อินซานกล่าวทอดถอนใจ “เวลาไหลไปเหมือนสายน้ำ”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างเศร้าใจ “มิแบ่งแยกวันคืน”
อินซานกล่าว “รู้ค่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็ยกชามใส่น้ำขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
น้ำหกเลอะปกเสื้อ
เหมือนสุรา