มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 29 มาเมืองเจาเกออีกครั้ง
ในคืนวันเดียวกัน
ยอดเขาซั่งเต๋อที่หนาวเย็นพลันมีความแห้งปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
แสงดาวสาดลงไปยังก้นบ่อน้ำ ส่องสว่างหมาดำ
ซือโก่วลืมตามองไปบนท้องฟ้า
สิ่งที่ร่วงลงมาตามแสงดาวมิใช่จิ๋งจิ่ว หากแต่เป็นไม้สีดำที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังของสายฟ้าจำนวนห้าท่อน
นี่ก็คือของวิเศษของชิงซาน — ไม้วิญญาณอัศนี
เวลานี้สำนักชิงซานมีไม้วิญญาณอัศนีเพียงแค่หกท่อน ในนั้นมีอยู่ท่อนหนึ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ ยังคงรับการชำระจากสายฟ้าบนยอดเขาปี้หูอยู่
ในตอนที่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยไปอุ้มไป๋กุ่ยมาจากยอดเขาปี้หู พวกเขาได้เอาไม้วิญญาณอัศนีกลับมาด้วยห้าท่อน
นอกจากเจ้าสำนักและหยวนฉีจิงแล้วก็ไม่มีใครทราบเรื่องนี้ กระทั่งคนของยอดเขาปี้หูก็ไม่ทราบ
ซือโก่วก้มหน้าดมไม้วิญญาณอัศนีห้าท่อนที่ตกลงมาข้างกาย หลังนิ่งเงียบไปครู่ก็ใช้เท้ากวาดไม้ทั้งห้าท่อนมาไว้ด้านล่างร่างกาย แอบเอาไว้คล้ายกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
……
……
รุ่งเช้าวันที่สอง บนยอดเขาเสินม่อ
กู้ชิงกล่าวว่า “รถม้าคันนั้นยังอยู่ที่วัดกั่วเฉิง ให้ข้าเรียกคนส่งมันกลับมาไหมขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ต้อง แบบนั้นช้าเกินไป”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็ยื่นมือไปจับแมวมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก จากนั้นขึ้นไปนั่งบนกระบี่เหล็ก
กระบี่พาร่างกายเขาบินโคลงเคลงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูร่างที่บินออกไปไกล ในใจรู้สึกแปลกๆ นางรู้สึกเหมือนเขาค่อนข้างรีบร้อน ไม่คล้ายเมื่อก่อนที่ดูใจเย็นเฉยชา หรือพูดอีกอย่างก็คือขี้เกียจ
กู้ชิงกล่าวชมเชย “นี่สิถึงจะเป็นการขี่กระบี่อย่างแท้จริง…นี่ต่างหากถึงจะเป็นวิถีแห่งเซียน”
หยวนฉวี่งุนงง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างลังเลว่า “มันก็แค่การขี่ลามิใช่หรือ?”
……
……
เมื่อมองเห็นเมืองเจาเกอที่อยู่ไกลๆ จิ๋งจิ่วก็บินลงไปข้างล่าง ก่อนจะเอากระบี่เหล็กห่อผ้าเอาไว้อย่างดีแล้วสะพายไว้ด้านหลัง จากนั้นหิ้วแมวขาวเดินไปข้างหน้า
เขาเป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเสินม่อแล้ว เวลาจะออกมาจากชิงซานก็เพียงแค่ทำการแจ้งให้สำนักรับทราบเท่านั้น แต่เขารู้ว่าการออกมาจากสำนักของตัวเองจะต้องทำให้เกิดถกเถียงพูดคุยเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
เขาไม่ได้ให้เจ้าล่าเยวี่ยปิดบังความจริงเรื่องที่เขาไม่สามารถบรรลุสภาวะได้
ไม่นานก็มาถึงเมืองเจาเกอ เมื่อมีใบผ่านทางที่เจ้าล่าเยวี่ยเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อก่อน การเข้าเมืองก็ราบรื่นเป็นอย่างมาก
บนท้องฟ้ามีหิมะตกโปรยปรายลงมาเบาๆ ตกลงบนหมวกลี่เม่าที่เขาสวมใส่ ค่อยๆ จับตัวกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
หิมะจำนวนมากตกลงบนถนน ถูกผู้คนที่สัญจรไปมาเหยียบย่ำจนกลายเป็นโคลน
ช่วงปลายฤดูหนาว เมืองเจาเกอยังคงมีนักท่องเที่ยวคับคั่ง โดยเฉพาะแถบทะเลสาบไป๋หม่าที่เดิมทีก็เจริญรุ่งเรืองอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งคึกคักมากขึ้นเนื่องจากมีคนเดินทางมาชมหิมะเป็นจำนวนมาก
คอเสื้อของจิ๋งจิ่วขยับเล็กน้อย แมวขาวโผล่ศีรษะออกมา ดวงตาสีดำที่ใส่กระจ่างกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มันชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบขยับ เดิมทีมันไม่ได้อยากออกมาจากชิงซานเลย เพียงแต่เรื่องราวในอดีตบางเรื่องทำให้มันเกิดความรู้สึกบางอย่าง ถึงได้เดินทางออกมา
ในเวลานี้เมื่อเห็นภาพทิวทัศน์ที่คึกคักซึ่งแตกต่างจากในชิงซานอย่างสิ้นเชิง มันพลันรู้สึกว่าการออกมาเดินเที่ยวมันก็ไม่เลวเหมือนกัน
ไม่ได้เห็นมาหลายปี เมืองเจาเกอคล้ายจะสะอาดขึ้นกว่าเดิมมาก
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ระวังหน่อย อย่าให้คนอื่นเห็นเจ้า”
แมวขาวคิดในใจ ข้าเป็นสิ่งมีชีวิต มิใช่ของวิเศษ ถ้าไม่ให้ข้าดูทิวทัศน์ แบบนั้นมันจะน่าเบื่อขนาดไหน? ต่อให้ถูกคนเห็น แล้วมันจะเป็นอะไร?
จิ๋งจิ่วกล่าว “มิใช่กลัวคนจะรู้ว่าเจ้าเป็นใคร หากแต่การพาแมวออกมาเดินเล่นมันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมาก ข้าไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาคนอื่น”
แมวขาวส่งเสียงร้องออกมาทีหนึ่ง เพื่อบอกว่าหากเจ้ารู้สึกไม่สะดวก เหตุใดถึงไม่พาหมาตัวนั้นออกมาล่ะ?
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในโรงหมอที่อยู่ข้างถนน
แผ่นป้ายที่แขวนอยู่ด้านหน้าโรงหมอคือดอกไห่ถัง ที่นี่ก็คือเจวี่ยนเหลียนเหริน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เดินออกมาจากในโรงหมอ ไม่รู้ว่าเขาไปถามอะไร
ความรู้สึกของเจ้าล่าเยวี่ยไม่ผิด
เวลานี้เขาค่อนข้างร้อนใจจริงๆ
บนโลกมีเพียงศิษย์พี่เท่านั้นที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้
เขากับศิษย์พี่ต่างก็เหมือนกลับมาเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง และช่วงเวลาที่ศิษย์พี่หนีออกไปจากคุกกระบี่ก็เร็วกว่าตอนที่เขากลับมายังชิงซานหนึ่งปี
ก่อนหน้านี้เขามั่นใจว่าตนเองจะไล่ตามช่วงเวลาที่ต่างกันหนึ่งปีนี้กลับมาได้อย่างง่ายดาย
นี่มีความเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์อยู่ แต่สิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงก็คือวิธีที่พวกเขาทั้งสองคนใช้นั้นไม่เหมือนกัน
วิธีของจิ๋งจิ่วมีต้นกำเนิดมาจากวัดกั่วเฉิงและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
ในอดีตเขาได้คุยธรรมะกับฉานจึอยู่บนยอดเขาเสินม่อเป็นเวลาร้อยวัน เรื่องที่คุยกันก็คือวิถีแห่งกงล้อการเกิดใหม่ — ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉานจึจึงเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนี้ลึกซึ้งที่สุดบนโลก
ก่อนหน้านั้นหลายปี เขาเคยทำการศึกษาอยู่กับเหลียนซานเยวี่ยชั่วระยะเวลาหนึ่ง คัมภีร์โบราณมุกแดงที่เขาสอนให้แก่ไป๋เจ่าตอนที่อยู่ในที่ราบหิมะก็คือผลสำเร็จจากการศึกษาในอดีต
หลังปรับตัวเข้ากับร่างกายนี้ได้แล้ว จิ๋งจิ่วก็รู้สึกว่าวิธีนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าในเวลานี้เขากลับเจอปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้
นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จากนั้นก็คิดถึงวิธีของศิษย์พี่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
วิธีของศิษย์พี่มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าหมิง มีข้อเสียและอันตรายแอบแฝงอยู่มากมาย — อย่างเช่นยากที่จะหาร่างที่เข้ากับดวงจิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต่อให้หาเจอ มันก็ยากจะแก้ปัญหาเรื่องร่างกายเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วได้
จิ๋งจิ่วไม่มีทางลองใช้วิธีนี้ใหม่อีกครั้ง แต่เขากลับคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขปัญหาผีกระบี่ด้วยแนวคิดนี้
คนที่เขาจะไปขอความช่วยเหลือก็คือยอดฝีมือของเผ่าหมิงผู้หนึ่ง
ในคุกกระบี่ของชิงซานเองก็คุมขังยอดฝีมือของเผ่าหมิงเอาไว้หลายคน แต่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ
สิ่งที่เขาจะเรียนก็คือวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณซึ่งเป็นวิชาระดับสูงสุดของเผ่าหมิง
ยอดฝีมือของเผ่าหมิงระดับนี้ ในแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงที่เดียวที่มี
หิมะยังคงโปรยปราย ตกลงบนชายหลังคาก่อนจะละลายหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นเหมือนเขามังกรชางหลงที่เปียกชื้น
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ตรงปากทางเข้าตรอก มองดูวัดไท่ฉางที่อยู่ไม่ไกล
ที่นั่นก็คือที่ที่เขาจะไป
แมวขาวมองดูที่นั่น แผ่จิตอาฆาตออกมา แต่ก็เก็บซ่อนมันเอาไว้อย่างรวดเร็ว คล้ายไม่อยากให้ใครรู้ตัว
……
……
จิ๋งจิ่วเดินขึ้นไปบนบันไดหิน กดอิฐก้อนนั้นลงไป จากนั้นเคาะประตู
ผ่านไปไม่ผ่านก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ใบหน้าหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
คนที่ถามคือเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เขามองดูจิ๋งจิ่วอย่างสงสัยใคร่รู้
จิ๋งจิ่วถอดหมวกลี่เม่าออก แต่เด็กหนุ่มตัวเตี้ยกว่าเขามาก อีกทั้งยังยืนอยู่ใกล้ จึงมองเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
บนใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นเผยให้เห็นสีหน้าตกตะลึง จากนั้นคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะตะโกนอย่างตื่นเต้น “ท่าน…ท่านคือท่านอาเล็กหรือ?”
จิ๋งจิ่วคิดขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นลูกชายของจิ๋งซาง หรือก็คือหลานในนามของเขา
ในอดีตตอนที่เขาเดินทางมายังเมืองเจาเกอ เด็กผู้นี้ต้องการให้เขาอุ้ม แต่ถูกเขาปฏิเสธจนร้องไห้เสียงดัง
คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยในวันนั้นจะเติบโตขนาดนี้แล้ว
หากเป็นคนปกติ ในเวลานี้น่าจะเกิดความรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา เกี่ยวกับเวลา ครอบครัวและชีวิต
อารมณ์ของจิ๋งจิ่วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เด็กหนุ่มรู้สึกสับสนเพราะความเฉยชาของเขา ทันใดนั้นพลันคิดถึงสิ่งที่ท่านพ่อสั่งกำชับเอาไว้ในช่วงหลายปีนี้ขึ้นมา —- ท่านอาเล็กมิใช่คนธรรมดา — เขาจึงรีบสงบสติอารมณ์แล้วพาจิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในบ้าน
เรือนตระกูลจิ๋งยังคงเงียบสงบเหมือนในอดีต ในสวนดอกไม้เล็กๆ ระหว่างเรือนด้านหน้าและเรือนด้านข้างมีการปลูกต้นไม้เอาไว้นิดหน่อย เมื่อมองไปทางขวามือก็พอจะมองเห็นต้นไห่ถังที่มีหิมะเกาะอยู่ ดูไปคล้ายกำลังผลิดอก
จิ๋งจิ่วเหลือบมองดูเล็กน้อย ยังคงมองไม่เห็นคนรับใช้ มองเห็นแค่เพียงกำแพงด้านตะวันตกเฉียงเหนือถูกทุบลงมาครึ่งหนึ่ง คล้ายเตรียมกำลังจะสร้างอะไรบางอย่าง
สองสามีภรรยาตระกูลจิ๋งออกมายืนอยู่นอกเรือนด้านหน้า ผู้เฒ่าคนนั้นยืนอยู่ในเรือนพลางถูมืออย่างกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม
จิ๋งจิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนถามว่า “กินหรือยัง?”
บนโต๊ะภายในเรือนด้านหน้ามีถ้วยชามวางอยู่ กับข้าวเหลืออยู่เล็กน้อย
บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน
จิ๋งซางรู้ว่าจิ๋งจิ่วอยากแสดงความหวังดี
ถึงแม้คำถามประโยคนี้จะดูอิหลักอิเหลื่อ แล้วก็ไม่น่าจะใช้พูดกับคนในครอบครัว
แต่เขาหรือจะกล้าถือจิ๋งจิ่วเป็นคนในครอบครัวจริงๆ
“กินแล้ว”
จิ๋งซางยิ้มพลางตอบกลับไป จากนั้นส่งสายตาบอกภรรยาและผู้เป็นพ่อว่าไม่ต้องตื่นเต้น ก่อนจะพาจิ๋งจิ่วเดินไปทางเรือนด้านข้าง