มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 34 เจอคนหลากสี
ผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในชั้นสองของคุกสะกดมารมิใช่เจ้าหน้าที่หรือมือสังหารเหล่านั้นอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
อย่างเช่นเจ้าสำนักของพรรคมารเหล่านั้นหรือว่าปีศาจของเผ่าหมิง ว่ากันว่ามีปีศาจที่หลงเหลือมาจากอดีตกาลอยู่ด้วย
ด้านล่างเท้าของจิ๋งจิ่วมิได้แตะลงไปบนพื้น มิเช่นนั้นจะต้องเกิดเสียงอย่างแน่นอน
แต่จากการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของอากาศที่อยู่ใต้รองเท้า เขาสามารถรับรู้ได้ว่าก้อนกรวดที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นมีความอ่อนนุ่มลง เหมือนกับลูกอมที่ตากแดดเป็นเวลานาน
ที่นี่อยู่ในส่วนลึกของคุกสะกดมารแล้ว ดังนั้นย่อมไม่มีพระอาทิตย์ แต่มันยังคงร้อนระอุอย่างมาก เรียกได้ว่าร้อนกว่าบนพื้นโลกที่มีพระอาทิตย์หลายเท่านัก
ชั้นสองของคุกสะกดมารถูกเรียกว่าคุกจงรื่อ[1] นอกจากหมายความว่าไม่มีวันได้เห็นแสงอาทิตย์และไม่มีทางหนีออกไปได้ชั่วนิจนิรันดร์แล้ว มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับความร้อนอันน่ากลัวนี้ก็เป็นได้
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เหมือนเปลวไฟ คล้ายกับมีใครเอาผงพริกป่นจำนวนนับไม่ถ้วนมาโปรยเอาไว้ ขอเพียงสูดหายใจเข้าไป ก็จะปวดแสบปวดร้อนไปถึงลำคอ
จิ๋งจิ่วไม่ชอบความหนาวเย็นของยอดเขาซั่งเต๋อและที่ราบหิมะ แต่เขากลับไม่สนใจเรื่องความร้อนมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้เขาก็ไม่ได้หายใจ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะสำลักออกมา
เขาเดินหน้าต่อ อากาศยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ความมืดก็ยิ่งมืดขึ้นเรื่อยๆ
ในสายตาเขา เขาสามารถมองเห็นลายเส้นที่เป็นเหมือนลวดลายต่างๆ จำนวนมากอยู่บนผิวผนังหินที่เปลือยเปล่าเหล่านั้น
นั่นมิใช่การเปลี่ยนแปลงเพราะสภาพอากาศ หากแต่เป็นร่องรอยการอ่อนตัวจากคลื่นความร้อน
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไร ในที่สุดความร้อนก็ค่อยๆ หดหายไป อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า ยื่นมือออกไปในอากาศ
ตรงตำแหน่งที่ความร้อนและความเย็นบรรจบกันย่อมต้องมีลม เขาไม่กังวลว่าลมที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของตนจะทำให้ใครรู้ตัว
หลังจากนั้น เขาเอามือคว้าจับไปในอากาศ
เขาถูนิ้วมือตัวเอง รับรู้ได้ถึงความมันเล็กน้อย คล้ายในอากาศมีอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา
เขาเดินหน้าต่อไปอีกสักพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็มองเห็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในอากาศที่ว่านั้น มันคือหมอกสีเขียว มีกลิ่นคาวฉุนจมูก น่าจะมีพิษที่รุนแรงอย่างมาก
จิ๋งจิ่วไม่สนใจ เขามั่นใจว่าชุดสีขาวบนร่างกายสามารถทนทานต่อหมอกสีเขียวได้ จึงรู้สึกวางใจ ในขณะที่เตรียมจะเดินหน้าต่อ เขาพลันรู้สึกเบาขึ้นมาตรงหัวไหล่
ในชั่วพริบตาที่กระบี่เหล็กใกล้จะตกถึงพื้น เขาพลิกมือไปคว้าจับตัวกระบี่เอาไว้ จากนั้นหยิบเอามาดู ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ผ้าที่ห่อหุ้มกระบี่เหล็กเอาไว้ถูกหมอกสีเขียวกัดกร่อนจนเสียหายอย่างหนัก ในเวลานี้ยังคงเปื่อยยุ่ยด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จิ๋งจิ่วตัดแขนเสื้อของตนเองมาท่อนหนึ่ง ก่อนจะมัดกระบี่เอาไว้ที่หลังตนอีกครั้ง จากนั้นเดินหน้าต่อ
หมอกเขียวหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเมื่อมีลมพัดมา ก็จะสามารถมองเห็นร่องรอยบนผิวภูเขาหิน แล้วก็จะมองเห็นสีชมพูที่ดูคล้ายชิ้นเนื้อหลังจากเน่าเปื่อยได้ลางๆ
แล้วก็มีเพียงยอดฝีมือของพรรคมารที่แท้จริงและปีศาจเท่านั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้
เขาเดินตามหมอกสีเขียวเข้าไปถึงลำธารแห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุด ทุกที่บนผนังที่เปียกชื้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ตรงกลางมีบึงอยู่แห่งหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแหนหรือเป็นเพราะสีน้ำ น้ำในบึงจึงมีสีเขียวคล้ำ ผิวน้ำมีฟองอากาศสีเขียวลอยปุดๆ ขึ้นมาตลอดเวลา
หมอกสีเขียวเหล่านั้นมาจากที่นี่
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมบึงรอให้ลมพัดมา
แหนขยับ จากนั้นมีลมพัดขึ้นมา
ภายในบึงคล้ายมองเห็นโครงกระดูกสีขาวขนาดใหญ่ได้ลางๆ ดูแปลกประหลาดและน่ากลัวเป็นอย่างมาก
กระดูกสีขาวน่าจะเป็นเศษซากของปีศาจตนใดตนหนึ่ง เมื่อดูจากลักษณะและขนาดแล้ว เกรงว่าสภาวะของปีศาจตนนี้น่าจะพอๆ กับปีศาจภูเขาที่เป็นพ่อบุญธรรมของฉานจึตนนั้น
ปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงถูกจับมาขังไว้ในคุกสะกดมารได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงหนีออกจากห้องขังมาอยู่ในบึงแห่งนี้ได้
น้ำในบึงลึกพันฉื่อ พิษที่อยู่ในน้ำล้วนแต่เป็นพิษที่น่ากลัวที่สุดในโลก
ปีศาจตนนั้นบำเพ็ญเพียรจนกระดูกแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าอาวุธวิเศษ ถึงได้ไม่ถูกพิษในบึงหลอมละลาย แต่สุดท้ายก็ยังต้องตาย
ในเมื่อปีศาจตนนั้นหนีจากที่อื่นจนมาถึงที่นี่ อย่างนั้นเส้นทางที่ลงไปยังชั้นต่อไป ดูเหมือนจะอยู่ในบึงแห่งนี้จริงๆ
จิ๋งจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ค่อยชอบ แต่กลับไม่มีวิธีอื่น
เมื่ออยากจะเจอผู้นั้น ยังไงก็ต้องพบเจอกับเรื่องบางเรื่อง
เขาเดินลงไปในบึงสีเขียวคล้ำ ไม่มีเสียงใดๆ ดูคล้ายกระบี่ร้อนๆ ที่จมลงไปในเนย
น้ำในบึงท่วมศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว แหนสีเขียวลอยกลับมาใหม่ ปกปิดช่องว่างที่เปิดออก คล้ายว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
……
……
การกัดกร่อนและพิษของน้ำในบึงรุนแรงกว่าหมอกสีเขียวไม่รู้กี่เท่า
จิ๋งจิ่วเพิ่งจะลงในบึง ชุดสีขาวบนร่างกายก็มีรอยขาดปรากฏขึ้นมา จากนั้นก็ฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะแตกกระจายไปตามการเคลื่อนไหวของเขา จากนั้นสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในเวลานี้หากมีแสงสว่างส่องลงมาเหมือนบ่อน้ำที่อยู่ในคุกกระบี่บ่อนั้น ภาพในเวลานี้คงจะงดงามเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วแหวกว่ายไปในน้ำ
ไม่นานเขาก็มาถึงส่วนลึกสุดของบึง หลังลอดผ่านซอกหินแคบๆ ซอกหนึ่ง เขาก็มาถึงโลกที่อยู่ด้านล่าง
ที่นี่ืคือชั้นที่สามของคุกสะกดมาร
คนที่เขาต้องการหาน่าจะอยู่ที่นี่
ที่นี่ไม่เหมือนกับสองชั้นก่อนหน้า ชั้นที่สามของคุกสะกดมารดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะยังไม่มีแสงไฟ ทุกอย่างอยู่ในความมืด แต่ก็ไม่มีความร้อน แล้วก็ไม่มีพิษอีก อากาศไหลเวียนตามธรรมชาติ พัดผ่านใบหน้าเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เหมือนกับจิ๋งจิ่วอยู่ในน้ำ ให้ความรู้สึกสบายอย่างหนึ่ง
ที่นี่มีอุโมงค์อยู่เพียงเส้นเดียว อุโมงค์เส้นนี้ดูแล้วลึกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าทอดยาวไปที่ใด
จิ๋งจิ่วรวมจิตจำแนกของตนให้เป็นเส้นที่เล็กอย่างมากเส้นหนึ่งแล้วส่งออกไปในอุโมงค์เส้นนั้น
ด้วยความเร็วของจิตจำแนก มันยังคงใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะกลับมายังทะเลแห่งการรับรู้ของเขา นี่แสดงให้เห็นว่าอุโมงค์เส้นนี้ยาวแค่ไหน
ภายในอุโมงค์เต็มไปด้วยลมพายุอันรุนแรงจำนวนมหาศาลอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ ยิ่งลึกเข้าไป ลมพายุก็ยิ่งรุนแรง จนเมื่อมาถึงปลายสุดของอุโมงค์ ลมพายุก็ได้กลายเป็นข่ายพลังปิดกั้นที่ทรงอานุภาพอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
ถึงแม้จะเป็นช่วงที่แข็งแกร่งที่สุด จิ๋งจิ่วก็ไม่ยินดีที่จะเข้าไปในอุโมงค์เส้นนี้เช่นกัน เนื่องเพราะการคลายข่ายพลังปิดกั้นอันนั้นยุ่งยาก นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเหตุผลอื่นอีก
เขารู้ดีว่าเหตุใดลมพายุในอุโมงค์เส้นนี้ถึงได้รุนแรงขนาดนี้ และเหตุใดข่ายพลังปิดกั้นที่อยู่ปลายสุดของอุโมงค์นี้ถึงได้น่ากลัวขนาดนี้
—– ทางด้านนั้นคือหุบเหวลึก
หุบเหวลึกสามารถทะลุไปยังดินแดนหมิงได้
จิ๋งจิ่วไม่อยากไปดินแดนหมิง แล้วก็ไม่อยากเหยียบเข้าไปในอุโมงค์นั้นแม้แต่ก้าวเดียว
อย่างนั้นในเวลานี้เขาจะไปที่ใด?
เขาหมุนตัวเดินไปทางซ้ายสองก้าว
ความรู้สึกที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสมองของเขา
เขาไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน
พูดให้ถูกก็คือเขาสูญเสียการรับรู้ทิศทางในพื้นที่ว่างไป
จากนั้นเขารู้สึกเหมือนเวลาก็หยุดนิ่งลงเช่นกัน ไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาในคุกสะกดมารนานเท่าไรแล้ว
คุกสะกดมารชั้นที่สามมีชื่อว่าไท่ฉาง[2]
ว่ากันว่ามันมีความหมายตรงข้ามกับคำว่าอนิจจังของสำนักฌาน นี่ย่อมเป็นเรื่องที่น่าขันอย่างมาก
จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่คือการบิดเบือนความจริง
ไท่ฉางนั้นเป็นแค่เพียงเสียงอ่าน ความจริงแล้วมิใช่ฉาง[3]ตัวนั้น
เพียงแต่เมื่อถูกคนพูดถึงมากเข้า ตอนนี้ทุกคนจึงคิดว่าคุกไท่ฉางนั้นเขียนด้วยตัวอักษรตัวนี้
กระทั่งวัดไท่ฉางก็ยังได้ชื่อนี้มาด้วยเหตุนี้
……
……
คุกไท่ฉางตัดขาดจากฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง ไม่มีพลังใดๆ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่มีพลังวิญญาณจากฟ้าดินใดๆ ที่จะเข้ามาที่นี่ได้ แล้วก็ไม่มีพลังหรือพลังงานใดๆ ที่จะออกไปจากที่นี่ได้
สภาพที่หยุดนิ่งทำให้เวลาไร้ความหมาย ความว่างเปล่าก็เช่นกัน
แต่เมื่อไม่มีการรับรู้ทิศทาง ก็จะไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ แล้วจิ๋งจิ่วต้องทำอย่างไรถึงจะหาคนผู้นั้นพบ?
จิ๋งจิ่วหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองลอยไปในความว่างเปล่าแปลกๆ ที่อยู่ในความมืดมิด ไร้ซึ่งทิศทาง แล้วก็ไร้ซึ่งเป้าหมาย
เมื่ออยู่ในโลกที่ไม่มีนิยามของความว่างเปล่า ทิศทางและเป้าหมายใดๆ ล้วนแต่จะทำให้หลงได้
เขาลอยอยู่ในความมืด ดูเหมือนสบายๆ แต่ความจริงแล้วตึงเครียดเป็นอย่างมาก
หากหลงทางอยู่ที่นี่จริงๆ การออกไปจากที่นี่จะกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก
เขากล้ามาหาคนที่นี่ เพราะเขามั่นใจว่าสิ่งของที่ตนเองเอามาด้วยจะต้องเกิดเป็นความสัมพันธ์อันลี้ลับบางอย่างระหว่างอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าลอยอยู่ในความมืดมาแล้วกี่วัน ในที่สุดเขาก็หยุดลง
ความจริงเขารับรู้ไม่ได้ว่าตนเองหยุดลงแล้ว เพียงแต่ใจแห่งเต๋าของเขาขยับเล็กน้อย เขาจึงลืมตาขึ้นมา
เบื้องหน้าของเขาเป็นเงาแถบหนึ่ง สีขาวและสีดำผสมเข้าด้วยกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้
ในชั่วพริบตาที่เขามองดูเงานั้น เงาแถบนั้นพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง มันแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นรวมตัวกันใหม่อีกครั้ง กลายเป็นภาพภาพใหม่
ภูเขาสีเขียว ดินโคลนสีแดง ทะเลสาบใสกระจ่าง ท่องฟ้าสีคราม ดอกไม้สีม่วง นกสีน้ำตาล
ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยสีสัน ไม่มีสีขาวดำอีกต่อไป
มีคนผู้หนึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่
เสื้อผ้าบนร่างกายเขาเต็มไปด้วยสีสันจนไม่อาจนิยามได้ ราวกับว่าเอาทุกสีสันบนโลกมาแต่งแต้มเอาไว้บนนั้น
………………………………………………………………….
[1]จงรื่อ (终日) หมายความว่า ตลอดทั้งวัน
[2]ไท่ฉาง (太常) คือชื่อตำแหน่งของขุนนางในสมัยก่อน ในอีกแง่หนึ่งสามารถแปลว่าคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้ แต่ในที่นี่น่าจะพ้องเสียงกับคำว่า(肠)ที่แปลว่าลำไส้
[3]ฉาง ในที่นี้คือตัวอักษร常