มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 35 เรียนวิชาของจักรพรรดิแห่งหมิง
คนผู้นั้นรับรู้ได้ถึงการมาของจิ๋งจิ่ว เขาวางกระบวยที่ใช้สำหรับรดน้ำต้นไม้ลง ก่อนจะหมุนตัวมองมาที่เขา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เมื่อเทียบกับที่อื่นในคุกสะกดมารแล้ว ที่แห่งนี้เหมือนดินแดนเซียนก็มิปาน”
“สำหรับพวกข้าแล้ว โลกมนุษย์เดิมทีก็เป็นดินแดนเซียนอยู่แล้ว คุกสะกดมารแห่งนี้ก็อยู่ในโลกมนุษย์เช่นกัน”
ผิวหนังของคนผู้นั้นขาวซีด คล้ายกับไม่เคยถูกแสงแดดเลยตลอดทั้งปี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด บนใบหน้าเขาจึงไม่มีขนคิ้วและขนตา ดูเป็นมันวาว อีกทั้งยังขาวซีดเป็นอย่างมาก คล้ายโปร่งแสงเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
ดวงตาของเขาใหญ่มาก พื้นที่ส่วนใหญ่ของดวงตาคือตาดำ ดูไปคล้ายเมล็ดอัลมอนด์สีดำ แล้วก็คล้ายกับหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
ในตอนที่สายลมพัดผ่านดอกไม้และใบหญ้าแล้วส่งเสียง ใบหูของเขาหมุนตามสายลม เวลานี้ถึงได้เห็นว่าที่แท้มันก็ใหญ่มากเช่นกัน
ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือร่างกายของคนผู้นี้คล้ายจะมีแสงจำนวนมากแอบซ่อนอยู่ภายใน ส่องประกายออกมาจากเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยสีสันและคอเสื้อของเขาอยู่เป็นระยะ
นี่คือลักษณะอันพิเศษที่สุดของมารเผ่าหมิง
มิน่าเมื่อครู่เขาถึงพูดว่าโลกมนุษย์ก็คือดินแดนเซียน
เวลามารเผ่าหมิงมาปรากฏตัวบนพื้นโลก พวกเขาจะทำการปลอมตัว แต่ในคุกสะกดมารท่ไม่มีคนมาคอยดู เขาย่อมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
เขามองดูจิ๋งจิ่วที่เดินเข้ามาหาตัวเอง บนใบหน้าที่ขาวซีดเผยให้เห็นรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
จิ๋งจิ่วเดินผ่านพุ่มดอกไม้มายืนอยู่ตรงหน้าเขา
คนผู้นั้นตัวค่อนข้างเตี้ย ศีรษะสูงเพียงแค่หัวไหล่ของจิ๋งจิ่ว แต่กลับดูสุขุมเป็นอย่างมาก ราวกับราชาอย่างไรอย่างนั้น
“นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหกร้อยปีที่ท่านได้เห็นมนุษย์ เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับมนุษย์ ในสถานการณ์แบบนี้ กลับยังพูดภาษาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ออกมาอีก…”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับคนผู้นั้น “สภาวะจิตใจเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ในชีวิตนี้ของข้าน้อยครั้งนักที่จะนับถือใคร ท่านถือเป็นหนึ่งในนั้น”
คนผู้นั้นกล่าว “สภาวะของเจ้าต่ำต้อยเพียงนี้ แต่กลับหาที่นี่พบ อีกทั้งยังไม่ถูกมังกรตัวนั้นพบเข้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นความยอดเยี่ยมที่แท้จริง”
ด้วยสภาวะและประสบการณ์ของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้การทักทายหรือการชมเชยมาหยั่งเชิงกันและกันอีก ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ
จิ๋งจิ่วกล่าว “ต่อให้เป็นมังกรตัวนั้นก็น่าจะมองไม่เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่”
คนผู้นั้นกล่าว “ถูกต้อง ดังนั้นเจ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาได้เลย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่ได้มาช่วยท่าน”
คนผู้นั้นกล่าว “เจ้าไม่ใช่คนของเผ่าหมิง ย่อมไม่ได้มาช่วยข้าพเจ้าออกไป”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
คนผู้นั้นมองใบหูที่กางของจิ๋งจิ่ว ก่อนกล่าวเยาะเย้ยตัวเองว่า “ตอนแรกที่มองเห็นใบหูของเจ้า ข้าพเจ้านึกว่าในที่สุดขุนนางที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นคิดวิธีอะไรออกแล้ว สุดท้ายเมื่อเจ้าเดินมาใกล้ๆ ข้าพเจ้าถึงได้พบว่าเจ้าหน้าตางดงามเช่นนี้ ดูแล้วน่าจะเป็นภูติเหล่านั้นของดินแดนประหลาด พวกนางไม่ชอบเผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ได้ยินท่านเรียกตัวเองว่าข้าพเจ้า[1] รู้สึกแปลกเล็กน้อย”
สายตาของคนผู้นั้นขยับเล็กน้อย คล้ายอัญมณีสีดำที่เปล่งแสงสว่าง เขากล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากในตอนนั้นท่านไม่ได้ออกมาจากเผ่าหมิงแล้วถูกจับ ท่านย่อมสามารถเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิแห่งหมิงได้ แต่สุดท้ายท่านก็ยังไม่ทันได้ขึ้นครองบัลลังก์”
คนผู้นั้นได้ยินคำพูดนี้แล้วมิได้รู้สึกโกรธ เขากล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่โลกข้างล่างเป็นอย่างไร แต่ดูแล้วตำแหน่งจักรพรรดิของเผ่าหมิงในตอนนี้จะยังว่างอยู่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เท่าที่ข้าทราบมา น่าจะเป็นเช่นนั้น”
คนผู้นั้นกล่าว “นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีใครกล้าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิอีก? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะครองหรือไม่ได้ครองบัลลังก์ ข้าก็ยังเป็นจักรพรรดิแห่งหมิงอยู่ดี”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีเหตุผล”
ถูกต้อง คนสำคัญของเผ่าหมิงที่ถูกคุมขังอยู่ที่คุกสะกดมารผู้นี้ก็คือสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิแห่งหมิงองค์ก่อน
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว เขาก็คือจักรพรรดิแห่งหมิงองค์ปัจจุบัน
เพียงแต่เขายังไม่ทันได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ถูกจับเสียก่อน
ใครกันที่จับจักรพรรดิแห่งหมิงมาได้?
……
……
จักรพรรดิแห่งหมิงพลันกล่าวว่า “ต่อให้เป็นโลกใต้ดิน เจ้าก็ยังถือว่างดงามอย่างมากอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือว่าร่างกาย แต่ว่าเจ้าสวมเสื้อผ้าก่อนดีหรือไม่?”
ในเวลานี้จิ๋งจิ่วจึงคิดขึ้นมาได้ว่าชุดสีขาวของตนเองได้ถูกบึงน้ำแห่งนั้นกัดกร่อนไปจนหมดแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็เปลือยเปล่ามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เดินอยู่ในคุกสะกดมารหรือว่าตอนที่ลอยอยู่ในพื้นที่ว่างแห่งนั้น
หากเป็นคนอื่นบางทีอาจจะรู้สึกเขินอาย แต่เขากลับนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก เขาหยิบเอาชุดสีขาวชุดหนึ่งออกมาสวมใส่ เพียงแต่เมื่อคิดถึงว่ากระบี่เหล็กดำเล่มนั้นน่าจะจมอยู่ใต้บึง ไม่รู้ว่าอีกสองสามปีในตอนที่ออกไปจากคุกสะกดมาร กระบี่เหล็กดำเล่มนั้นจะยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ ในใจจึงรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ “ข้าไม่ชอบเสื้อผ้าสีขาว แต่ว่ามันก็ดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าใส่ แบบนั้นมันทำให้ข้านึกถึงขอทาน”
จิ๋งจิ่วมองเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยสีสันต่างๆ บนร่างกายเขา ก่อนกล่าวว่า “ในโลกมนุษย์มีเพียงพระกับขอทานเท่านั้นถึงจะใส่ชุดเหมือนอย่างท่าน”
“อย่างนั้นหรือ?”
จักรพรรดิแห่งหมิงแปลกใจเล็กน้อย เขากางแขนออก ปล่อยให้แขนเสื้อห้อยตกลง จากนั้นหมุนตัวรอบหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้จิ๋งจิ่วนึกถึงตอนที่อยู่เรือนตระกูลจิ๋งเมื่อปีที่แล้ว ไป๋เจ่าหมุนตัวเพื่อให้เขาเชยชม
โชคดีที่จักรพรรดิแห่งหมิงไม่ได้ถามเขาว่าตนเองเป็นอย่างไร ดูแล้วค่อนข้างพึงพอใจเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ทีเดียว
“เจ้าเป็นใคร?” จักรพรรดิแห่งหมิงถาม
“ศิษย์ชิงซาน จิ๋งจิ่ว” จิ๋งจิ่วกล่าว
“ที่แท้ก็ศิษย์ชิงซาน”
ดวงตาที่เหมือนอัญมณีสีดำของจักรพรรดิแห่งหมิงมีแววตาคิดถึงปรากฏขึ้นมา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
“รู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ สามารถหาที่นี่จนพบ เจ้าจะต้องมิใช่ศิษย์ชิงซานธรรมดาอย่างแน่นอน ไท่ผิงเป็นอะไรกับเจ้า?”
ในตอนที่เก็บตัวอยู่ที่ชิงซาน จิ๋งจิ่วครุ่นคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะคำถามนี้ ดังนั้นคำตอบของเขาจึงเป็นธรรมชาติอย่างมาก “นักพรตเป็นอาจารย์ของข้า”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ จักรพรรดิแห่งหมิงก็นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “อย่างนี้นี่เอง มิน่าเจ้าถึงหาที่นี่พบ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ข้ากับไท่ผิงท่องเที่ยวอยู่ด้วยกันยี่สิบกว่าปี อย่างน้อยตอนนั้นก็ถือว่าเป็นเพื่อนกัน เจ้าควรจะเรียกข้าว่าท่านอา ไม่ต้องเรียกฝ่าบาทหรอก”
“ขอรับ ท่านอา”
จิ๋งจิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าอยากขอให้ท่านอาช่วยสอนวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณให้ข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของจักรพรรดิแห่งหมิงหดลงเล็กน้อย คล้ายกับแมวที่อยู่ในความมืด
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณเป็นวิชาลับขั้นสูงสุดของเผ่าหมิงของข้า มีแต่จักรพรรดิแห่งหมิงรุ่นก่อนๆ ถึงจะมีสิทธิ์ร่ำเรียนได้?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “รู้”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองเขาอย่างเงียบๆ จากนั้นพลันถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงจะเรียนบัญชาเพลิงวิญญาณ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ผีกระบี่ของข้าไม่เหมือนกับคนอื่น มันไม่สามารถเติบโตไปพร้อมกับข้าได้ ได้แต่ต้องให้มันฝึกฝนด้วยตัวมันเอง”
ผู้บำเพ็ญพรตในสำนักกระบี่และสำนักพลังจักรวาลทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนแต่อาศัยการบำเพ็ญเพียรของตัวเองในการหล่อเลี้ยงผีกระบี่กับจิตทารก
ผีกระบี่กับจิตทารกจะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นตามสภาวะที่สูงขึ้นของผู้บำเพ็ญพรต
ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีผีกระบี่กับจิตทารกของสำนักไหนที่สามารถทำการบำเพ็ญเพียรด้วยตัวเองได้
ผีกระบี่และจิตทารกเป็นส่วนหนึ่งของผู้บำเพ็ญพรต มีแต่ตอนที่ผู้บำเพ็ญพรตตายอย่างกะทันหัน ผีกระบี่และจิตทารกรับเอาดวงจิตมา ถึงจะสามารถกลายเป็นร่างแยกที่สองได้
หากผีกระบี่และจิตทารกสามารถทำการบำเพ็ญเพียรได้ด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่ม เช่นนั้นไม่เท่ากับว่ามีตัวเองคนที่สองปรากฏขึ้นมาหรอกหรือ?
ตัวเองคนที่สอง…ยังจะเป็นตัวเองอยู่หรือเปล่า?
เรื่องแบบนี้มีความขัดแย้งกับกฎการบำเพ็ญเพียร ดังนั้นจึงไม่อาจสำเร็จได้
ในเมื่อไม่สามารถสำเร็จได้ ก็ย่อมไม่มีวิชาบำเพ็ญเพียรที่เกี่ยวข้อง
จิ๋งจิ่วเองก็คิดวิชาบำเพ็ญเพียรของผีกระบี่ไม่ออก
กระทั่งในตอนที่เก็บตัว ดวงจิตของเขาออกจากร่าง ตกลงไปบนกระบี่เหล็กดำ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาคิดถึงเพลิงวิญญาณของเผ่าหมิงขึ้นมา
มารเผ่าหมิงเองก็ไม่สามารถทำให้เพลิงวิญญาณของตัวเองฝึกฝนและเติบโตได้ด้วยตัวเอง
มีเพียงวิชาบัญชาเพลิงวิญณาณของจักรพรรดิแห่งหมิงที่เล่าลือกันเท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้ได้
คำว่าบัญชาในชื่อวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณมิได้มีความหมายเกี่ยวกับจักรพรรดิแห่งหมิง หากแต่หมายถึงการควบคุม
เมื่อฝึกวิชาลับนี้จนสำเร็จ เพลิงวิญญาณจะสามารถควบคุมตัวมันเองได้
หากเพลิงวิญญาณสามารถทำเช่นนี้ได้ เช่นนั้นผีกระบี่ล่ะ?
นี่คือวิธีบำเพ็ญเพียรผีกระบี่ที่จิ๋งจิ่วตามหามาโดยตลอด
…………………………………………………………………………
[1]ข้าพเจ้า ในนิยายตรงนี้ใช้คำว่า 朕 ซึ่งเป็นสรรพนามที่ฮ่องเต้ใช้แทนตัวเอง