มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 36 พูดถึงเรื่องเก่า
“มีผีกระบี่แบบนี้ด้วยหรือนี่? ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “เรียกผีกระบี่ของเจ้าออกมาดูหน่อย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ายังฝึกไม่ถึงขั้นกลายเป็นผีกระบี่”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ฝึกไม่ถึงขั้นกลายเป็นผีกระบี่ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผีกระบี่ของเจ้าไม่เหมือนคนอื่น ได้แต่ต้องฝึกฝนด้วยตัวมันเอง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่มีทางใช้เหตุผลที่น่าขันเช่นนี้มาหลอกเอาวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณ”
แต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะบอกความจริงเช่นกัน
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “หากเจ้าไม่บอก ข้าก็ไม่มีทางช่วยเจ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากฝ่าบาทยินดีช่วยข้า เช่นนั้นย่อมมิได้เป็นเพราะความลับที่ข้าจะพูด หากแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น”
“เหตุผลอื่น? หรือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในอดีตของข้ากับอาจารย์ของเจ้า?”
จักรพรรดิแห่งหมิงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แสงสว่างที่อยู่ในร่างกายเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว
จิ๋งจิ่วรู้ว่านั่นหมายความว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ
เสียงหัวเราะหยุดลง
จักรพรรดิแห่งหมิงเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “หรือเจ้าไม่รู้ว่าที่ข้ามาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะอาจารย์ที่ปลิ้นปล้อนของเจ้าผู้นั้น?”
เมื่อสองพันปีก่อน นักพรตฉุนหยางของสำนักชิงซานและเสินหวงในเวลานั้นได้ร่วมมือกันบดขยี้กองทัพเผ่าหมิงจนได้รับชัยชนะที่ต้าเจ๋อ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีการทำสงครามใหญ่ๆ อีก แต่ไม่มีสงครามไม่ได้หมายถึงความสงบสุข มนุษย์และเผ่าหมิงยังคงมีความขัดแย้งระหว่างกันเรื่อยมา โดยเฉพาะเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่มักจะมียอดฝีมือของเผ่าหมิงขึ้นมาก่อความวุ่นวายบนโลกมนุษย์
ในเวลานั้นเอง เจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานที่ทรยศต่อสำนักผู้หนึ่งเดินทางมาถึงดินแดงหมิง และประสบความสำเร็จในการทำให้จักรพรรดิแห่งหมิงไว้วางใจ
เจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานผู้นั้นมิได้ขอให้เผ่าหมิงช่วยเขาแก้แค้น แล้วก็ไม่ได้ขออะไรมากมายใดๆ เพียงแต่เป็นเพื่อนสนิทกับตัวเขาที่ในเวลานั้นยังเป็นหนุ่มอยู่
หลังจักรพรรดิแห่งหมิงตายไป เดิมเขาควรจะสืบทอดบัลลังก์ แต่กลับถูกเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานผู้นั้นเกลี้ยกล่อม เพื่อความสงบสุขตลอดไป เพื่อทางออกสุดท้ายของผู้แข็งแกร่งของเผ่าหมิง เขาจึงมายังโลกมนุษย์
ท่องอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยกันยี่สิบปี การเจรจาดำเนินไปเป็นระยะๆ ดูแล้วใกล้จะประสบความสำเร็จ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์กลับหักหลัง ใช้วิธีการบางอย่างจับเขามาขังเอาไว้ที่คุกสะกดมาร
เจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานผู้นั้นก็คือคนที่ต้องการให้โลกสงบสุข…นักพรตไท่ผิง
……
……
จิ๋งจิ่วทราบเรื่องนี้
การจับจักรพรรดิแห่งหมิงคือหนึ่งในความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงที่ศิษย์พี่ได้กระทำในตอนนั้น เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยทำมิอาจเทียบได้เลย
คนที่ลงมือในตอนนั้นก็คือเขาอวิ๋นเมิ่งและเรือนอี้เหมา และอาจจะมีคนที่อยู่สูงกว่านั้นด้วย
จักรพรรดิแห่งหมิงถูกขังอยู่ในคุกสะกดมาร เผ่าหมิงย่อมต้องปิดเป็นความลับ แต่พวกเขากลับไม่รู้จะทำเช่นไร ทั้งสองฝั่งจึงได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริง
นอกจากตอนที่หมิงซือลอบเข้ามาในชิงซานครั้งนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นอีก
เรื่องนี้ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ทำไม่ถูก อีกทั้งสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นจักรพรรดิแห่งหมิง เผ่าพันธุ์มนุษย์ควรจะให้ความเคารพที่เหมาะสมแก่ฐานะ เขาถึงได้มีชีวิตที่ดีอยู่ในคุกสะกดมารเช่นนี้
แต่ชีวิตที่ดีนี้หาใช่ชีวิตที่ดีอย่างแท้จริงไม่
สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว นักพรตไท่ผิงได้ทำความดีความชอบอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ แต่สำหรับจักรพรรดิแห่งหมิงแล้ว นี่ย่อมต้องเป็นการหักหลังที่โหดร้ายที่สุด
จักรพรรดิแห่งหมิงจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “เจ้าเป็นศิษย์ของนักพรตไท่ผิง เจ้าคิดว่าข้าจะช่วยเจ้าไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความจริงตอนนั้นเขาไม่มีความคิดที่จะจับท่าน เพียงแต่สถานการณ์มันเปลี่ยนอย่างกะทันหัน เขาจึงได้แต่ต้องตามน้ำไป”
ตอนที่ศิษย์พี่ถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ครั้งแรก เขากับซือโก่วเข้าไปเยี่ยม แล้วก็ได้ยินศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้จริงๆ
ในตอนนั้น สิ่งที่เขาพูดย่อมต้องเป็นความจริง
แสงสว่างในร่างกายจักรพรรดิแห่งหมิงขยับเร็วขึ้น สีหน้ายิ่งซีดขาว เขากล่าวว่า “….ตามน้ำได้ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากท่านรู้ว่าหลายปีมานี้เขาเป็นอย่างไร บางทีท่านอาจจะใจเย็นขึ้นบ้าง”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวเย้ยหยัน “เขาคงจะกลายเป็นเจ้าสำนักชิงซาน เป็นผู้นำที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แล้วก็รู้สึกผิดบ้างเป็นบางครั้งกระมัง?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
จักรพรรดิแห่งหมิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “หรือเขาบรรลุเป็นเซียนไปแล้ว?”
“ไม่ เขาก็เหมือนอย่างท่าน ถูกขังเอาไว้ในคุกกระบี่ มิได้เห็นเดือนเห็นตะวัน”
จิ๋งจิ่วมองภาพทิวทัศน์งดงามที่อยู่รอบๆ พลางกล่าวว่า “ถึงแม้จะถูกขังไว้น้อยกว่าท่านสามร้อยปี แต่ถ้าว่ากันจากสิ่งที่เขาต้องเผชิญแล้ว ความจริงแล้วนับว่าน่ารันทดกว่าท่านนัก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิแห่งหมิงจึงตกตะลึง กล่าวถามว่า “ใครจับเขาไปขังไว้ได้นานขนาดนี้?”
ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อนักพรตไท่ผิง หากยอดฝีมือบนโลกด้านบนร่วมมือกัน เตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า แล้วก็ยอมสังเวยอาวุธวิเศษของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่น่ากลัวเหล่านั้น บางทีอาจจะสังหารนักพรตไท่ผิงได้
แต่การจะจับนักพรตไท่ผิงแล้วขังเขาเอาไว้นานขนาดนี้นั้นแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ด้วยไหวพริบและความอดทนของเขา ต่อให้คุกกระบี่จะแน่นหนาเพียงใด เขาก็ต้องหาวิธีที่จะหนีออกมาได้อย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ที่เขาถูกจับไปขังเอาไว้ เพราะเขาก็ถูกทรยศเหมือนอย่างท่าน”
จักรพรรดิแห่งหมิงยิ่งรู้สึกสนใจ เขากล่าวถามว่า “ใครทรยศเขา?”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้า”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูเขา ก่อนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ “อาศัยเพียงเจ้า?”
จิ๋งจิ่วไม่ได้อธิบาย เขายังคงนิ่งเฉย
จักรพรรดิแห่งหมิงมั่นใจว่าเขาไม่ได้พูดโกหก หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ พลันหลุดหัวเราะออกมา
“ไท่ผิงเอ๋ยไท่ผิง ที่แท้เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันหรือนี่!”
เสียงหัวเราะหายไป
จักรพรรดิแห่งหมิงมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าความแค้นระหว่างข้ากับเขาไม่ควรจะมาลงที่เจ้า”
จิ๋งจิ่วกลาว “ถูกต้อง”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “แต่เจ้าทรยศอาจารย์ของตัวเอง มิใช่เพื่อจะล้างแค้นให้ข้า ดังนั้นข้าไม่แค้นเจ้าก็ได้ แต่ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะช่วยเจ้าเช่นกัน”
“เมื่อครู่ข้าได้พูดไปแล้วว่าหากท่านยินดีที่จะสอนวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณให้ข้า ย่อมมิได้เป็นเพราะสิ่งที่ข้าพูด หากแต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเอาเรื่องเหล่านี้มาบอกท่าน เพียงแค่หวังว่าท่านจะไม่เสียสติสัมปชัญญะไปเพราะความแค้น จนส่งผลกระทบต่อการเจรจาของพวกเราหลังจากนี้”
ดวงตาของจักรพรรดิแห่งหมิงยิ่งเย็นยะเยือก ยิ่งคล้ายหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น “คำว่าการเจรจานี่แหละที่จะทำให้ข้าเสียสติ”
ในอดีตเป็นเพราะเขารับคำเชิญของนักพรตไท่ผิงขึ้นมาเจรจายังโลกมนุษย์ เขาถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
จิ๋งจิ่วกล่าว “บางทีท่านอาจจะชอบเงื่อนไขที่ข้าจะเสนอก็ได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงบอกว่าความอิสระ
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะอีกครั้ง
จักรพรรดิแห่งหมิงจ้องมองดวงตาเขา “เจ้าทรยศอาจารย์ของตัวเอง เจ้ารู้ดีว่าการมาพบข้ามันเป็นผลเสียต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เจ้ากลับยังมา แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก ขอเพียงเจ้าได้รับผลประโยชน์ที่มากพอ เรื่องอะไรเจ้าก็ทำได้ทั้งนั้น เช่นนั้นการพาข้าหนีออกไปก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเจ้าเลยมิใช่หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มุมมองที่ท่านมีต่อข้านั้นมีเหตุผลอยู่ แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่จำเป็นต้องคิดคำนวณ สำหรับข้าแล้ว ไม่ว่าผลประโยชน์ใดๆ ก็ล้วนแต่ไม่มากพอ”
ความหมายของคำพูดประโยคนี้ชัดเจนอย่างมาก เป้าหมายที่เขาไล่ตามอยู่สูงเกินไป ความช่วยเหลือจากคนอื่นสุดท้ายแล้วก็ยังไม่สามารถช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายได้
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “นอกเสียจากจะพาข้าหนีออกไป มิเช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าเอาอะไรมากองตรงหน้าข้า ข้าก็ไม่มีวันรับปากเจ้าเช่นกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าสามารถรับปากท่านว่าจะจับไท่ผิงกลับมาใหม่ หรือไม่ก็ฆ่าเขาเสีย”
จักรพรรดิแห่งหมิงได้ยินประโยคนี้ก็มิได้รู้สึกตกใจอะไร ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกโล่งใจ กล่าวว่า “ไม่มีใครที่จะขังเขาเอาไว้ได้ตลอดชีวิตจริงๆ ด้วย”
จากนั้นเขายิ้มขึ้นมาพลางกล่าว “แต่นี่มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ท่านอยากจะให้การสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิแห่งหมิงต้องมาหยุดอยู่ที่ยุคสมัยของท่านหรือ?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “คนของหมิงซือล้วนแต่เป็นคนของเขา ท่านว่าต่อไปเขาจะทำอะไร?”