มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 38 ฟ้าดินเดียวกัน
ศิษย์ชิงซานที่ัยังเยาว์วัยผู้หนึ่งวางท่าทีประหนึ่งว่า ‘เชิญท่านโจมตีเข้ามาตามสบาย’ ต่อหน้าจักรพรรดิแห่งหมิงเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกน่าขัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวจักรพรรดิแห่งหมิงเลย
“ท่านถูกขังเอาไว้นานเกินไป”
นอกจากคำพูดประโยคนี้ จิ๋งจิ่วก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก
ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกสะกดมารมาเป็นเวลาหกร้อยกว่าปี สภาวะที่เคยได้บำเพ็ญเพียรมาจะต้องได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ฟ้าดินและหุบเขาที่ดูงดงามแห่งนี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัดไท่ฉาง ที่นี่ตัดขาดจากฟ้าดิน แล้วก็ไม่มีเพลิงและแม่น้ำแห่งหมิง ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรที่นี่ได้ ได้แต่ต้องปล่อยให้พลังวิญญาณที่อยู่ภายในร่างกายหรือไม่ก็ดวงจิตค่อยๆ แตกสลายไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ หายไปในความว่างเปล่าอันมืดมิดแห่งนั้น
จากการคำนวณของจิ๋งจิ่ว ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิแห่งหมิงในเวลานี้อย่างมากก็มีเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนของเมื่อในอดีต
แต่ถึงแม้จะเป็นจักรพรรดิแห่งหมิงที่อ่อนแอแค่ไหน แต่นั่นยังคงเป็นจักรพรรดิแห่งหมิงอยู่
ผู้ฝึกกระบี่ขั้นมิประจักษ์ระดับกลางผู้หนึ่งไม่มีทางที่จะเอาชนะเขาได้
จักรพรรดิแห่งหมิงมองจิ๋งจิ่ว ในดวงตาไม่มีอารมณ์ใดๆ เขากล่าวว่า “แต่ก็เพียงพอที่จะฆ่ามดปลวกอย่างเจ้าได้”
คำตอบของจิ๋งจิ่วยังคงเรียบง่าย มีเพียงแค่คำเดียว
เชิญ
เพลิงวิญญาณไร้สีไร้รูป แล้วก็ย่อมต้องยากที่จะคาดการณ์ใดๆ ได้
ภายในใจจิ๋งจิ่วพลันเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง เพลิงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาในโลกแห่งนี้
จากนั้นเพลิงวิญญาณที่ไร้สีไร้รูปเหล่านั้นก็พุ่งออกมาจากหญ้าสีเขียว ดอกไม้สีม่วง ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ดูไปคล้ายกับว่าดอกไม้ใบหญ้าและท้องฟ้าเหล่านั้นถูกฉาบเอาไว้ด้วยสีที่เจือจางอย่างมากชั้นหนึ่ง
ในสายตาของเขาพลันเต็มไปด้วยก้อนสีที่ดูจางอย่างมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ล้วนแต่มีก้อนสีนี้อยู่
ที่แปลกอย่างมากก็คือ เพลิงวิญญาณที่มีสีจางๆ เหล่านี้ไม่เหมือนกับเพลิงวิญญาณของหมิงซือที่เขาเคยเจอมา มันให้ความรู้สึกที่มีชีวิตชีวาอย่างมาก
นี่น่าจะเป็นบัญชาเพลิงวิญญาณที่เขาอยากเรียน
“มอบลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงมา หรือไม่ก็ตาย”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองเขาพลางกล่าว “เจ้ารู้ว่าข้าสังหารเจ้าได้โดยไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ท่านไม่กลัวว่าจะทำให้มังกรตัวนั้นรู้ตัว?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ตอนนั้นพวกเขาเคยรับปากข้าว่าที่นี่คือโลกของข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงจะปลิดชีพตัวเองไปนานแล้ว มีหรือที่ข้าจะปล่อยให้พวกเขาใช้ข้าไปข่มขู่โลกด้านล่าง?”
จิ๋งจิ่วมองเขาเงียบๆ ไม่ได้กล่าวกระไร แต่ความหมายกลับชัดเจน
เมื่อหกร้อยปีก่อน เผ่าพันธุ์มนุษย์ใช้ประโยชน์จากความเชื่อใจของเขา จับเขามาขังไว้ในคุกสะกดมารแห่งนี้ หรือว่าผ่านมาหกร้อยปีแล้ว ท่านยังเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่อีก?
“หากมังกรตัวนั้นรู้ตัว เจ้าก็จะตายเหมือนกัน แต่ไม่ว่าข้าจะทำอะไรที่นี่ อย่างเช่นฆ่าเจ้า พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ข้าตาย”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หากมีหวังที่จะได้หนีรอดออกไปจากที่นี่ ทำไมข้าต้องกลัวที่จะเสี่ยงด้วย?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สำหรับผู้ที่อยู่ในความสิ้นหวังแล้ว ความหวังมักจะเป็นยาพิษ หาใช่ยาถอนพิษไม่”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ขอเพียงเอาลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงกลับมาได้ เจ้าคิดว่าฟ้าดินปลอมๆ แห่งนี้จะขังข้าพเจ้าเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ?”
นอกจากการสนทนาสามสี่ประโยคที่พูดกับจิ๋งจิ่วในตอนแรกแล้ว เขาก็มิได้ใช้คำว่าข้าพเจ้าแทนตัวเองเลย จนกระทั่งในเวลานี้
ในตัวเขาในตอนนี้คือจักรพรรดิแห่งหมิงอย่างแท้จริง
เพลิงวิญญาณจำนวนมหาศาลถาโถมเข้ามา ไม่เหมือนพายุฝน หากแต่คล้ายพายุหิมะ ภายในนั้นคล้ายมีรอยแตกเล็กๆ บางอย่างแอบซ่อนอยู่ แต่กลับไม่สามารถลอดผ่านออกมาได้
จิ๋งจิ่วไม่มีความคิดที่จะหนีออกมา
เมื่อผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์เจอกับเพลิงวิญญาณ ถ้าไม่สังหารเจ้าของเพลิงวิญญาณ ก็ต้องหนีออกมาจากตาข่ายเพลิงวิญญาณนั้น มิเช่นนั้นก็มีแต่ต้องใช้อาวุธวิเศษหรือพายุกระบี่ต้านทานมันเอาไว้
วิธีที่เขาเลือกใช้ก็คือวิธีสุดท้าย แล้วก็เป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุด
เจตจำนงเคลื่อนตามจิตใจ
เจตน์กระบี่หมุนวน
สายลมที่พัดผ่านหุบเขาตัดขาดดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วน
เสียงตู้มดังสนั่น หุบเขาทั้งหุบเขาคล้ายพังถล่มลงมา
นี่เป็นเพียงภาพลวงตา
หุบเขาสีเขียวยังคงอยู่ในสภาพเหมือนเก่า พื้นดินก็มิได้สั่นสะเทือน ใบหญ้ามิได้ปลิวกระจาย
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จักรพรรดิแห่งหมิงจะกล่าวเช่นนั้น แต่หากเป็นไปได้ล่ะก็ เขาก็ย่อมไม่อยากให้มังกรตัวนั้นรู้ตัว
เพลิงวิญญาณตกลงมาบนตัวของจิ๋งจิ่ว สีเหล่านั้นก็ฉาบลงไปบนเสื้อผ้า ก่อนจะกลายเป็นเปลวเพลิงจริงๆ ลุกไหม้ขึ้นมาในพริบตา
เปลวเพลิงโหมกระหน่ำรุนแรง พวยพุ่งสูงขึ้นไปหลายสิบจ้าง ราวกับลาวาที่อยู่ใต้ดินระเบิดออกมา
เพลิงวิญญาณไม่มีอุณหภูมิ แม้นเปลวเพลิงจะโหมไหม้อย่างคุ้มคลั่งเช่นนี้ แต่ต้นไม้ใบหญ้ากลับไม่ลุกไหม้เลยแม้แต่นิดเดียว
เพลิงวิญญาณที่ลุกโชนค่อยๆ กลืนกินจิ๋งจิ่ว เหลือเพียงเงาร่างที่ดูเลือนราง โงนเงนไปมาคล้ายกำลังจะทรุดลง
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูร่างที่อยู่ในเปลวเพลิงอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเฉยชา
หุบเขาสีเขียวกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เปลวเพลิงที่ดูโชติช่วงมิได้ส่งเสียงใดๆ อีก
ยังคงเผาไหม้อย่างเงียบเชียบไปเช่นนี้
……
……
ในภูเขามิรู้คืนวัน
ในคุกก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ในหุบเขาก็ค่อยๆ มอดดับลง
เปลวเพลิงหายไปในอากาศ
เพลิงวิญญาณกลายเป็นสิ่งที่ไร้สีไร้รูป กลับเข้ามาในร่างกายของจักรพรรดิแห่งหมิง
เงาร่างนั้นปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
หลังถูกเพลิงวิญญาณแผดเผามาเป็นเวลานานขนาดนี้ จิ๋งจิ่วยังคงไม่ตาย มีเพียงรูเล็กๆ จำนวนมากที่ปรากฏขึ้นมาบนชุดสีขาว ใบหน้าขาวซีด สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด
ตัวเขาในเวลานี้ ดูแล้วเหมือนกับบัณฑิตป่วยหนักที่หลบหนีออกมาอย่างยากลำบากจากวัดร้างที่เกิดเพลิงไหม้
สีหน้าของจักรพรรดิแห่งหมิงยิ่งขาวซีด มองดูจิ๋งจิ่ว นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ตัวเขาที่ถูกสะกดเอาไว้หกร้อยปีนั้นอ่อนแอลงอย่างมากจริงๆ ด้วย เดิมเขาคิดว่าในเมื่อจิ๋งจิ่วเป็นศิษย์ของไท่ผิง ถึงแม้จะสภาวะจะยังต่ำต้อย แต่ก็น่าจะทนได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือจิ๋งจิ่วกลับทนได้จนถึงท้ายที่สุด แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงว่าวิชาที่ตัวเองเก็บซ่อนเอาไว้จะเปล่าประโยชน์
จักรพรรดิแห่งหมิงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงของตัวเองอยู่บนตัวจิ๋งจิ่ว
ในตอนที่จิ๋งจิ่วต่อสู้กับเพลิงวิญญาณ เขาได้ใช้หัตถ์แห่งยมโลกค้นตัวจิ๋งจิ่วรอบหนึ่ง แต่กลับหาไม่พบ แม้แต่ภาชนะแห่งความว่างเปล่าสักชิ้นก็หาไม่พบ
ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงแอบซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่?
จักรพรรดิแห่งหมิงเพิ่มความเข้มข้นในการเชื่อมต่อระหว่างลัญจกรแห่งจักพรรดิหมิงและตัวเองอย่างไม่ลังเล ใช้หัตถ์แห่งยมโลกค้นหาต่อไปข้างหน้า ในที่สุดก็มาถึงพื้นที่ว่างที่ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงอยู่
แต่แม้นจะใช้เวลายาวนานขนาดนี้ หัตถ์แห่งยมโลกก็ยังไม่สามารถนำเอาลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงกลับมาได้ เพราะ..พื้นที่ว่างแห่งนั้นกว้างใหญ่เกินไป
พื้นที่ว่างในคุกสะกดมารนั้นใหญ่โตอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่ว่างแห่งนั้นก็ยังมิอาจเทียบได้
จักรพรรดิแห่งหมิงไม่เคยเห็นพื้นที่ว่างแบบนี้มาก่อน เรียกได้ว่าไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าจะมีพื้นที่ว่างเช่นนี้ด้วย
เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่านี่ต้องมิใช่ด้านในของภาชนะแห่งความว่างเปล่าบางอย่างแน่
เพราะกระทั่งฟ้าดินก็ยังไม่ใหญ่เท่านี้
พื้นที่ว่างนั้นมันคือที่ไหนกันแน่?
เจ้าเป็นอะไรกันแน่?
จักรพรรดิแห่งหมิงมองจิ๋งจิ่ว ในใจเกิดความคิดคาดเดานับไม่ถ้วน แสงสว่างภายในร่างกายค่อยๆ สงบลง จากนั้นกล่าวเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “เหตุใดจึงใหญ่เพียงนี้?”
เสียงของจิ๋งจิ่วเองก็แหบพร่าเล็กน้อย กล่าวว่า “เดิมฟ้าดินก็ควรใหญ่เช่นนี้”
จักรพรรดิแห่งหมิงนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
ในเวลานี้จิ๋งจิ่วรู้แล้วว่าเขาทำอะไร จึงกล่าวว่า “ท่านยังอยากลองอีกไหม?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ ต่อให้ปราณกระบี่ของเจ้าจะมหาศาลเพียงใด แต่ก็ไม่น่าจะทนได้นานขนาดนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากนานกว่านี้อีกหน่อยล่ะก็ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังทนต่อไปได้หรือไม่”
การต่อสู้ที่ดูเหมือนเรียบง่ายนี้ ความจริงแล้วเป็นอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดที่เขาได้เคยเจอมานับแต่ที่เกิดขึ้นมาใหม่
ในช่วงเวลานี้ การเผาผลาญของเขามิได้ด้อยไปกว่าช่วงเวลาหกปีที่อยู่ในที่ราบหิมะเลย สิ่งที่เผาผลาญไปในที่นี้มิได้หมายถึงปราณกระบี่ หากแต่เป็นจิต
เขามีความมั่นใจในร่างกายของตน ดังนั้นจึงเก็บพายุกระบี่ไว้ในร่างกาย เพียงแค่รักษาต้นไม้แห่งเต๋าและโอสถกระบี่เอาไว้เท่านั้น
พลังทำลายของเพลิงวิญญาณมีความคล้ายคลึงกับพลังจิต แต่ก็มีความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงที่รุนแรงอย่างมากเช่นกัน
ดังนั้นครั้งนี้จึงแตกต่างกับตอนที่เผชิญหน้ากับเทียนจิ้นเหรินในสวนดอกเหมยเก่าโดยสิ้นเชิง
ร่างกายของเขาต้องทนรับการชำระล้างจากเพลิงวิญญาณ
ความเจ็บปวดนี้เรียกได้ว่าฝังลงไปลึกที่สุด
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เมื่อต้องมาอยู่ในเพลิงวิญญาณของจักรพรรดิแห่งหมิงเป็นเวลานานขนาดนี้ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องเสียสติอย่างแน่นอน
แต่เขาคือจิ๋งจิ่ว
แต่ก็ยังเจ็บปวด
ยังคงได้รับบาดเจ็บ
จักรพรรดิแห่งหมิงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “อย่างนั้นทำไมเจ้าไม่หวาดกลัว?”
จิ๋งจิ่วมองดูท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม พลางกล่าวว่า “ขอเพียงสามารถรอดออกไปจากที่นี่ได้ มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง”
คำตอบของเขาเหมือนกับคำพูดของจักรพรรดิแห่งหมิงประโยคนั้น
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูเขาเงียบๆ มองดูเป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าเป็นคนที่สูญสิ้นทุกอย่างเช่นกัน”