มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 39 ยุงในคุกสะกดมาร
สูญเสียทุกอย่างไป ก็ไม่มีอะไรให้สูญเสียอีก
เมื่อไม่มีอะไรให้สูญเสีย ก็ย่อมไม่มีความหวาดกลัว
จักรพรรดิแห่งหมิงมองจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ ในม่านตาสีดำที่ดูคล้ายหุบเหวลึกมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางอารมณ์
เห็นใจหรือว่าเคารพ?
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวถาม “เจ้าบอกว่าจะลงไปที่ดินแดนหมิงเพื่อช่วยข้าเรื่องการตั้งผู้สืบทอด ยังไม่ต้องพูดถึงความยากในเรื่องนี้ ต่อให้เจ้าทำเรื่องนี้สำเร็จจริงๆ แต่ถ้าเกิดอีกหลายปีหลังจากนี้สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง บางทีโลกด้านบนอาจจะพยายามข่มเหงเผ่าพันธุ์ของข้าอีก หรือเจ้าไม่กลัวว่าเมื่อถึงตอนนั้น ผู้สืบทอดของข้าจะกลายเป็นหายนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แต่ไหนแต่ไรมา เผ่าพันธุ์หมิงมิใช่ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่ควรจะเป็นหายนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็เหมือนกับที่เผ่าพันธุ์มนุษย์แต่ไหนแต่ไรก็มิใช่หายนะของดินแดนเซียน”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ตอนนั้นไท่ผิงเองก็พูดกับข้าเช่นนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “จริงอยู่ที่หลักการเหล่านี้มาจากเขา เพราะข้าไม่ค่อยคิดเรื่องเหล่านี้เท่าไรนัก แต่ข้าคิดว่าสิ่งที่เขาพูดมามีเหตุผล อย่างน้อยก็ในส่วนนี้”
สิ่งที่ประชากรในดินแดนหมิง โดยเฉพาะมารที่แข็งแกร่งเหล่านั้นอยากจะทำมากที่สุดในชีวิตของพวกเขาก็คือการขึ้นมายังโลกมนุษย์ผ่านทางหุบเหวลึกหรือไม่ก็บ่อผ่านฟ้า
เพราะโลกมนุษย์มีแสงแดดมีพลังวิญญาณ มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิต แล้วก็มีท้องฟ้าที่แท้จริง
ก็เหมือนกับที่ผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์อยากบรรลุกลายเป็นเซียน ทุกชีวิตล้วนแต่ปรารถนาจะมุ่งขึ้นไปยังโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม สูงกว่าเดิม ไกลกว่าเดิม
นี่ไม่ได้มีอะไรผิด
ก็เหมือนกับสำนักวิถีมารที่อยากจะมีสายแร่วิญญาณเป็นของตัวเอง นี่ก็มิได้มีอะไรผิด
เพียงแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ที่นี่พอดี
เพียงแต่สายแร่วิญญาณสายนั้นตกเป็นของสำนักชิงซานไปนานแล้ว
สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์และสำนักชิงซานแล้ว เจ้าจะมาแย่งของของข้า นั่นย่อมต้องเป็นเรื่องที่ผิด
จุดยืนไม่เหมือนกันก็ช่าง เพียงแต่เจ้ายืนอยู่ฝั่งไหน
จิ๋งจิ่วได้แต่ต้องครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ในจุดยืนของมนุษย์
ในอดีตตอนที่อยู่ในเมืองเจาเกอ เขาเคยพูดถึงปัญหาในด้านนี้กับเจ้าล่าเยวี่ยไปครั้งหนึ่งแล้ว
ผู้บำเพ็ญพรตมิใช่คนธรรมดา แต่ความสัมพันธ์ของผู้บำเพ็ญพรตกับคนธรรมดาก็มิใช่ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับแพะเช่นกัน
มาจากจุดกำเนิดเดียวกัน ย่อมต้องเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน
……
……
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ข้าไม่มีปัญหาอะไรอื่นอีก หากเจ้าสามารถช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งได้ ข้าก็จะสอนเจ้า”
หลังมั่นใจแล้วว่าการฆ่าจิ๋งจิ่วนั้นเป็นเรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ฆ่าเขาตายแล้วก็หาลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงไม่พบอยู่ดี ความหวังก็จะลดลงกลายเป็นความคาดหวัง จึงกลับไปยังการเจรจาเหมือนอย่างในตอนแรกสุด
คำพูดประโยคนี้ของจักรพรรดิหมิงเท่ากับเป็นการยอมรับเงื่อนไขของจิ๋งจิ่ว เพียงแค่ต้องการหาข้ออ้างเพื่อทำให้ตนไม่เสียหน้าเท่านั้น เช่นนั้นดูแล้วเรื่องนี้ก็น่าจะจัดการได้ไม่ยาก
จริงอยู่ที่เรื่องนี้จัดการไม่ยาก แต่ว่ามันช่างน่าขันยิ่งนัก
แม้แต่จิ๋งจิ่วผู้ซึ่งต่อให้ทุกสรรพสิ่งมลายหายไปตรงหน้าก็ยังไม่กระพริบตาก็ยังต้องตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่
“เจ้าอย่ามองข้าแบบนี้สิ”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลาหกร้อยปีเหมือนอย่างข้า เจ้าก็จะรู้เองว่าการที่มียุงฝูงหนึ่งมาวนเวียนอยู่ข้างกายทุกวันนั้นมันน่ารำคาญแค่ไหน”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “หากมียุงก็ควรจะตีให้ตาย ตีตายแล้วก็ไม่มียุง”
นี่เป็นคำพูดเหลวไหล
เมื่อนานมาแล้วก็เคยได้บอกไปแล้ว คำพูดเหลวไหลมักจะเป็นเรื่องจริง
เช่นนั้นสาเหตุที่จักรพรรดิแห่งหมิงจัดการปัญหายุ่งยากนี้ไม่ได้ก็ย่อมเป็นเพราะว่าปัญหานี้มันได้ก้าวข้ามขอบเขตแห่งความจริงไปแล้ว
ยุงในคุกสะกดมาร ตีไม่ตาย
จิ๋งจิ่วฟังไม่เข้าใจ
จักรพรรดิแห่งหมิงบอกเล่าถึงการคาดเดาที่ตัวเองครุ่นคิดอย่างยากลำบากหลังอยู่ในนี้มาเป็นเวลาหกร้อยปี
—-วัดไท่ฉางตัดขาดจากฟ้าดิน ไม่มีนิยามของคำว่าเวลาและความว่างเปล่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดกาล ยุงเป็นส่วนหนึ่งของวัดไท่ฉาง เช่นนั้นก็ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่มีวันตาย
เมื่อได้ยินการคาดเดานี้ จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เขายังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไร้สาระเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงได้
ต่อให้ยุงเหล่านั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของวัดไท่ฉาง แต่เมื่อเข้ามาในโลกใบเล็กของจักรพรรดิแห่งหมิงแล้ว ตามหลักมันก็น่าจะกลับไปเป็นยุงตามปกติ
หากใช้คำของสำนักฌาน นี่ก็คือกรรมที่เชื่อมต่อกัน
“ทุกวันยุงเหล่านั้นมันจะบินวนเวียนอยู่ข้างหูเจ้าไม่หยุด ส่งเสียงร้องหึ่งๆ ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก ตีอย่างไรก็ตีไม่ตาย ข้าพเจ้าหงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว”
สีหน้าของจักรพรรดิแห่งหมิงสีหน้าค่อนข้างขาวซีด คล้ายรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
จิ๋งจิ่วพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
เขาเตรียมจะพาอาต้าเข้ามาในคุกสะกดมารด้วย แต่ผลสุดท้ายถูกอาต้าปฏิเสธ
เหตุผลข้อสุดท้ายที่อาต้าให้ก็คือในคุกสะกดมารมียุงเยอะเกินไป
ในตอนนั้นเขามิได้สนใจ ตอนนี้มาคิดดูแล้วเหมือนจะมีปัญหานี้อยู่จริงๆ
สภาพแวดล้อมภายในคุกสะกดมารโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมียุงเยอะขนาดนี้ได้
ต่อให้ยุงเยอะแค่ไหน แต่สัตว์เทพเหมือนอย่างอาต้าจะหวาดกลัวได้อย่างไร?
ดูเหมือนยุงภายในคุกสะกดมารจะเป็นปัญหายุ่งยากจริงๆ
เพียงแต่เขายังคงไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าด้วยสภาวะของจักรพรรดิแห่งหมิง ต่อให้ตีมันไม่ตาย แต่ก็ปิดการรับรู้ของตนเองก็ได้มิใช่หรือ เหตุใดต้องหงุดหงิดด้วย?
เมื่อเห็นสีหน้าเขา จักรพรรดิแห่งหมิงก็คาดเดาความคิดของเขาได้ จึงกล่าวว่า “ถึงแม้เจ้าจะรับรู้ถึงมันไม่ได้ แต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้น”
จิ๋งจิ่วเคยสนทนาธรรมะกับฉานจึเป็นเวลาร้อยวัน จึงฟังคำพูดประโยคนี้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย จากนั้นกล่าวว่า “ข้าสามารถถ่ายทอดการมองสัจธรรมที่แท้จริงให้ท่านได้”
“ไม่เอา”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล “อาจารย์ของเจ้าเคยพาข้าไปเยี่ยมชมวัดกั่วเฉิงมาแล้ว การมองอสุภะยังพอยอมรับได้ แต่ถ้ายึดถือการมองสัจธรรมจริงๆ อยู่ไปมันยังจะมีความหมายอันใด?
จิ๋งจิ่วคิดในใจ มีชีวิตอยู่ก็ย่อมต้องมีความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพียงแต่มิใช่ความหมายเหล่านั้น
ในเวลานี้แบบนี้เขาย่อมไม่มานั่งคุยเรื่องนี้กับอีกฝ่าย จึงกล่าวว่า “ยุงอยู่ที่ไหน?”
เข้ามาในคุกสะกดมารเป็นเวลาสิบกว่าวัน นอกจากตอนที่ลอยไปลอยมาอยู่ในความว่างเปล่าอันมืดมิดโดยไม่รู้วันเวลาแล้ว เวลาส่วนใหญ่เขาล้วนแต่อยู่ในหุบเขาที่เขียวขจีแห่งนี้
แต่เหตุใดเขาถึงไม่เห็นยุงที่ทำให้จักรพรรดิแห่งหมิงต้องหวาดกลัวเหล่านั้นเลย?
“ในระหว่างที่เจ้ากับข้าพูดคุยกันอยู่นี้ ข้าได้ใช้เพลิงวิญญาณไล่พวกมันไปหลายครั้งแล้ว ยุงเหล่านั้นไม่ได้ไปหาเจ้า นั่นสิ…”
จักรพรรดิแห่งหมิงเผยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ กล่าวว่า “เหตุใดยุงเหล่านั้นจึงไม่ไปกวนเจ้า? หรือว่าเลือดของเจ้าเหม็น?”
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจเขา หากแต่กล่าวว่า “ในเมื่อท่านใช้เพลิงวิญญาณขับไล่ยุงไปได้ เหตุใดยังต้องหวาดกลัวอีก?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย “หรือว่าทุกๆ วันในชีวิตข้าต้องมาทำเรื่องแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด?”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดในใจ เช่นนั้นมันก็ลำบากเกินไปจริงๆ จึงกล่าวแนะนำว่า “ท่านสามารถทำมุ้งขึ้นมาได้ หรือไม่ก็สร้างบ้านขึ้นมาหลังนึง”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ไม่มีประโยชน์ กันไม่อยู่”
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ กล่าวว่า “ให้ข้าดูหน่อย”
จักรพรรดิแห่งหมิงเดินเข้าไปหาเขา
จิ๋งจิ่วได้ยินเสียงดังหึ่งๆ แต่กลับมองไม่เห็นอะไร ดวงตาทั้งสองข้างส่องประกายมองไปรอบด้าน ในที่สุดก็มองเห็นยุงเหล่านั้น
ยุงเหล่านั้นมีขนาดเล็กมากจริงๆ ถึงแม้เขาจะใช้เนตรกระบี่แล้ว แต่ก็ยังมองเห็นเพียงจุดดำที่มีขนาดเล็กมาก
เขายกมือเหวี่ยงไปทางยุงเหล่านั้น แต่กลับสัมผัสไม่ถูกพวกมัน
การที่สามารถหลบการเหวี่ยงของเขาได้ ยุงเหล่านี้มิใช่ธรรมดาจริงๆ ด้วย
ขนาดร่างกายของยุงเหล่านี้อยู่เหนือหลักเหตุผลในโลกแห่งธรรมชาติ เรียกได้ว่าเหนือไปจากขอบเขตแห่งจินตนาการ
ไม่ว่าเจตน์กระบี่จะรุนแรงเพียงใด ไม่ว่าพลังจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน พวกมันก็เป็นเหมือนเศษฝุ่นเล็กๆ หรืออาจจะเล็กกว่าเศษฝุ่นเสียอีก แล้วจะบดขยี้พวกมันได้อย่างไร?
มิน่าจักรพรรดิแห่งหมิงจึงฆ่ายุงเหล่านี้ไม่ตาย
จักรพรรดิแห่งหมิงมองมือขวาของเขา
“ในเมื่อท่านเกียจคร้านขนาดนี้ ไม่ยอมใช้เพลิงวิญญาณคุ้มกัน เช่นนั้นก็ได้แต่ต้องใช้วัสดุที่มีความแข็งแกร่งที่สุดมาทำเป็นที่กำบัง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “บางทีฝ่าบาทอาจจะลองหลอมหินภูเขา จากนั้นเอาตัวเองไปฝังไว้ด้านใน”
หินภูเขาที่ถูกเพลิงวิญญาณหลอมละลาย จะหลงเหลือเพียงแค่ผลึกหินที่บริสุทธิ์ที่สุด หลังจากแข็งตัวแล้วจะมีความหนาแน่นเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีรอยแตกแม้แต่นิดเดียว
ดูแล้วต่อให้ร่างกายของยุงเหล่านั้นจะเล็กแค่ไหน ก็ยากที่จะทะลุลาวาที่จับตัวแข็งเหล่านั้นได้
“หากวิธีนี้ได้ผล เช่นนั้นข้าเอาลาวาที่ยังไม่แข็งตัวมาห่อหุ้มร่างกายไม่ดีกว่าหรือ? พวกข้าเล่นกันแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก!”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างโมโห
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนเป็นเหมือนหลานในตอนที่ยังเป็นเด็ก สื่อสารไม่รู้เรื่อง น่าหงุดหงิด ในใจครุ่นคิดว่าแล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?
พวกนั้นคือยุงของคุกสะกดมาร มิใช่ลิงของชิงซานเสียหน่อย
เขากล่าวว่า “ท่านน่าจะให้คนที่ขังท่านมาจัดการปัญหานี้”
“เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว ที่นี่นอกจากเจ้าแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองเขา พลางกล่าวเยาะเย้ยเล็กน้อย “เจ้าน่าจะรู้ดี ต่อให้เป็นมังกรตัวนั้นก็มาที่นี่ไม่ได้เช่นกัน”
นอกจากจิ๋งจิ่วแล้ว ไม่มีใครสามารถมาที่นี่ได้ กระทั่งหยาดพิรุณก็เข้ามาไม่ได้
ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงมีเพียงหนึ่ง
มหาสมุทรมิอาจเข้าไปในน้ำหยดหนึ่งได้
จิ๋งจิ่วไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ หากมหาสมุทรมีจิตสำนักที่ตระหนักรู้ได้ล่ะก็ มันก็สามารถส่งจิตสำนึกนั้นเข้าไปสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ภายในหยดน้ำแต่ละหยดได้เช่นกัน
เพียงแต่จิตสำนักนั้นจะถูกมองว่าเป็นตัวมหาสมุทรได้หรือไม่?
จิ๋งจิ่วไม่อยากครุ่นคิดถึงปัญหานี้อีก เขากล่าวถามว่า “ท่านอยู่กับพวกมันมาหกร้อยปี ท่านได้สังเกตเห็นไหมว่าพวกมันกลัวอะไร?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ไม่เห็นนะ แต่เมื่อก่อนเคยได้ยินอาจารย์ของเจ้าบอกว่าพวกมันกลัวสายฟ้า”
หุบเขาสีเขียวพลันเงียบลงอีกครั้ง
จิ๋งจิ่วมองดูเขาอย่างเงียบๆ มองดูอยู่เป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นเขาเคยบอกท่านหรือไม่ว่าที่ชิงซานมีไม้วิญญาณอัศนีอยู่?”
จักรพรรดิแห่งหมิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวว่า “อย่างนั้นหรือ?”