มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 44 จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร?
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเองก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านนอก จึงเดินออกมาจากห้องภาวนาแล้วกล่าวถามว่า “เหตุใดนักพรตจึงหัวเราะ?”
อินซานโบกมือพลาวกล่าว “ไม่มีอะไร เพียงแต่คิดถึงว่าถึงแม้วัดนั้นจะมิใช่วัดนี้ แต่ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ยังคาดหวังให้ในวัดแก้ไขปัญหา จึงรู้สึกว่าน่าสนใจ”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร จึงเตรียมจะถามต่อ ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นมาอีกครั้ง ภายในท้องพลันรู้สึกหิวขึ้นมา จึงลืมเรื่องนี้ไป
ตามกฎของวัดกั่วเฉิง ทุกวันช่วงเช้าตรู่หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จแล้วจึงจะทานอาหารได้
อินซานปฏิเสธคำเชิญของปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน จากนั้นถือคัมภีร์เดินเข้าไปในห้องภาวนาแล้วเริ่มครุ่นคิดปัญหาของเขา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเดินผ่านป่าสนและป่าเจดีย์ ผ่านโบสถ์และทางแคบๆ มาถึงห้องครัวใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าวัด เตรียมจะกินอาหารเช้า
ทางอารามหลี่ว์ถังก็มีห้องครัวของตัวเองอยู่ แต่อาจจะเพราะเคยผัดกับข้าวอยู่ในห้องครัวใหญ่นี้ ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินจึงชินกับการกลับมากินข้าวที่นี่
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมทุกวันถึงต้องกินข้าว แถมบางครั้งยังอยากจะกินคน หากใช้คำอธิบายที่เขาอธิบายต่ออินซานมาอธิบายล่ะก็ นั่นก็คือความสุข
เขาถูกข่ายพลังชิงซานบีบให้ต้องทนทุกข์อยู่ใต้ดินเป็นเวลาหลายร้อยปี สภาวะได้รับความเสียหาย หน่อมารค่อยๆ แข็งตัว ชีวิตนี้หมดหวังที่จะบรรลุกลายเป็นเซียนแล้ว คิดเพียงแต่ว่าจะใช้ชีวิตนี้ให้มีความสุขอย่างไร
ในห้องครัวด้านหน้ามีคนกำลังทะเลาะกัน
พระอ้วนรูปหนึ่งถือหมั่นโถวอยู่ในมือ กล่าวกับพระที่รับผิดชอบหน้าที่เข้าครัวในวันนี้อย่างโมโหว่า “ข้ากินหมั่นโถวกับใบงานิดหน่อย ผิดตรงไหน! ข้างในก็ไม่มีเนื้อเสียหน่อย!”
การทะเลาะนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ทะเลาะอยู่ครู่ใหญ่
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินเข้าไปตักโจ๊กมาชามหนึ่งแล้วนั่งลงที่โต๊ะยาว ยิ้มกรุ้มกริ่มฟังเสียงทะเลาะกันอยู่ครู่ใหญ่ ดื่มโจ๊กข้าวฟ่างหางม้าไปสามชามแล้วจึงจากไป
ในตอนที่กลับมายังห้องภาวนาไป๋ซาน อินซานยืนอยู่หน้าพระพุทธรูป เหม่อมองดูคัมภีร์ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินสีหน้าไม่เปลี่ยน ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงกล่าวถามว่า “ทำไมหรือ?”
อินซานกล่าวว่า “เดิมข้าคิดว่าหากอ่านคัมภีร์เหล่านี้จนจำขึ้นใจแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอาติดตัวไปด้วยอีก แต่ในตอนที่เตรียมจะโยนทิ้งกลับพบว่าเหมือนยังขาดอะไรบางอย่างไป”
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินไม่ได้สนใจประเด็นสำคัญในคำพูดประโยคนี้ หากแต่กล่าวถามอย่างตกใจว่า “เอาไป? ไปไหน?”
อินซานกล่าวว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากทำมาโดยตลอด คิดมาหลายปีแล้ว แต่ว่าไม่มีโอกาสเสียที ตอนนี้เหมือนโอกาสจะมาถึงแล้ว”
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินกล่าว “เรื่องที่นักพรตอยากจะทำแต่ยังทำไม่สำเร็จจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ คัมภีร์เหล่านี้เมื่อเทียบกับมันแล้วไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลย อย่างนั้นก็ทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วกัน”
อินซานมองดูคัมภีร์ที่กองอยู่บนพื้นเหล่านั้น นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “คัมภีร์เหล่านี้พูดกับข้า”
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินไม่ได้ด่าว่าเขาบ้า หากแต่กล่าวถามด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดว่าอะไร?”
อินซานกล่าว “คัมภีร์พวกนี้บอกว่าเมื่อเห็นการเกิดดับ จะไม่สามารถหลุดพ้นได้อีก”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าว “นักพรตก็รู้ว่าข้าโง่เขลา คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?”
อินซานกล่าวว่า “มันบอกว่าอย่าไป…ก็จริง ด้วยสภาวะของข้าในตอนนี้ ถึงไปก็ไม่มีประโยชน์ บางทีการดูอยู่ไกลๆ หรือว่าไม่ดูอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า”
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินครุ่นคิด บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มถ่อมตัว จากนั้นกล่าวว่า “ถ้าไงให้ข้าช่วยพาท่านนักพรตไปส่งไหม?”
อินซานเงยหน้าขึ้นมามองเขา พลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าไปที่นั่นมีแต่จะตายเปล่าๆ”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมีวิชามารที่สูงส่งลึกล้ำ เทียบได้กับยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ เมื่อมีเขาอยู่ข้างกาย อินซานจึงกล้าเดินไปไหนมาไหนบนโลกมนุษย์ได้ตามอำเภอใจ ถึงขนาดกล้ามาอยู่ในวัดกั่วเฉิง
มีสถานที่ใดที่อันตรายถึงขนาดนั้น ถึงขนาดที่ว่ากระทั่งปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเข้าไปแล้วก็ยังต้องตายอย่างแน่นอน?
แต่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกลับฟังเข้าใจ คำพูดประโยคนี้ของนักพรตดูคล้ายเป็นห่วง แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการเตือน
เป็นหมาก็ต้องเป็นหมาเฝ้าบ้าน ส่งเสียงเห่าได้บางครั้ง แต่อย่าได้คิดที่จะจากบ้านไปไกล
……
……
กวางตุ้งก้านแดงภายในสำนักฌานเป่าทงถูกเอาไปขายจนหมดแล้ว ผักและแตงต่างๆ ก็ถูกเด็ดออกไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ผักที่เหลืออยู่มากที่สุดในวัดก็คือผักกวางตุ้งที่มีให้กินตลอดทั้งปี
เหอจานที่ไม่มีเต้าหู้ยี้รสเผ็ดให้กิน การใช้ชีวิตในแต่ละวันน่ารันทดกว่าหลิ่วสือซุ่ยมากนัก เขากินผักจนหน้าจะกลายเป็นสีเขียวแล้ว หลายครั้งที่หวนคิดถึงซูจึเย่ผู้เป็นสหายที่ใบหน้าเป็นสีเขียวเหมือนผัก
ป้าเล็กยังไม่อนุญาตให้เขาออกไปจากที่นี่ แต่ถงเหยียนกลับจะออกไปแล้ว
ถงเหยียนเตรียมจะออกไปจากสำนักฌานเป่าทง ย่อมเป็นเพราะเขาเตรียมแผนการที่กั้วตงมอบหมายให้เขาทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แผนการสังหารเทพกระบี่ซีไห่
เหอจานขอดูแผนการของเขาอย่างไม่เกรงใจ
ถงเหยียนมองดูเขาอย่างไม่เกรงใจ
แผนการแบบนี้ย่อมต้องอยู่ในหัวเขา จะเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างไร?
เหอจานคว้าแขนเสื้อของถงเหยียนเอาไว้ ไม่ให้เขาไป นอกเสียจากเขาจะบอกตัวเอง
เขาย่อมไม่ลืมที่จะสาบานว่าจะไม่แพร่งพรายแผนการนี้ให้คนอื่นล่วงรู้ ถึงแม้จะเป็นสาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นยังจะเกี่ยวก้อยสัญญากับถงเหยียนด้วย
ถงเหยียนถูกเขารบเร้าจนหมดปัญญา อีกทั้งไม่อยากจะเกี่ยวก้อยสัญญากับเขา จึงบอกเล่าแผนการของตัวเองออกมา
เหอจานรู้สึกผิดหวังอย่างมากหลังฟังจบ เพราะแผนการนี้ธรรมดาเป็นอย่างมาก ไม่มีอะไรพิเศษแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่อาจทำให้รู้สึกอยากตบโต๊ะร้องว่ายอดเยี่ยมได้ เขากล่าวว่า “แผนการที่ตอนนั้นพวกเจ้าใช้สังหารลั่วไหวหนานยอดเยี่ยมอย่างมาก เจี้ยนซีไหลฝีมือสูงส่งกว่าลั่วไหวหนานตั้งเท่าไร เหตุใดแผนการกลับเรียบง่ายเช่นนี้?”
“ที่แผนการสังหารศิษย์พี่ซับซ้อน เป็นเพราะพวกเราต้องใช้คนที่อ่อนแอกว่าไปสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่า อีกทั้งยังต้องโจมตีให้สำเร็จด้วย ดังนั้นทุกๆ ด้านจึงต้องคิดให้รอบคอบ ห้ามให้เขามีทางหนีได้เด็ดขาด”
ถงเหยียนกล่าว “แต่เจี้ยนซีไหลนั้นไม่เหมือนกัน เขาเป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ แผนการหรือการลอบโจมตีทุกอย่างล้วนใช้กับเขาไม่ได้ผล”
เหอจานกล่าว “แล้วเจ้าจะไปมีประโยชน์อะไร? อีกทั้งเจ้ายังนั่งคิดอยู่ที่นี่มาครึ่งปี”
ถงเหยียนกล่าว “ข้ากำลังช่วยท่านเผยเลือกสนามต่อสู้”
การจะสังหารยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ อันดับแรกคือต้องมียอดคนขั้นทะลวงสวรรค์เสียก่อน นี่คือหน้าที่ของเผยไป๋ฟ่า อันดับต่อมาคือจำเป็นต้องพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบ และทำให้อีกฝ่ายเสียเปรียบ ทะเลตะวันตกเป็นถิ่นของเทพกระบี่ เผยไป๋ฟ่าต้องลงมือจากเขาว่านโซ่ว ย่อมต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สิ่งที่ถงเหยียนทำในครึ่งปีนี้ก็คือการเลือกสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกับทะเลตะวันตก ขณะเดียวกันก็คิดว่าควรจะใช้วิธีอะไรในการนำเอาเทพกระบี่ซีไห่และเผยไป๋ฟ่าส่งเข้าไปในสนามต่อสู้นั้น
เมื่อฟังคำอธิบายของถงเหยียนจบ แล้วครุ่นคิดถึงแผนการที่ได้ฟังเมื่อครู่นี้อีกครั้ง เหอจานก็เข้าใจขึ้นมากกว่าเดิม แต่เขายังคงรู้สึกแปลกๆ จึงถามว่า “มีผลมากไหม?”
ถงเหยียนกล่าว “สภาวะข้าต่ำต้อยเกินไป ไม่สามารถคาดการณ์ผลการต่อสู้นี้ได้ ได้แต่อาศัยความรู้สึกในการประมาณ โอกาสสำเร็จน่าจะขยับจากสี่ส่วนเป็นห้าส่วน”
เหอจานครุ่นคิดในใจ เจ้านั่งคิดอยากยากลำบากมาครึ่งปี กลับทำให้โอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นมาได้แค่หนึ่งส่วน นี่ช่าง….”
“สมแล้วที่เป็นถงเหยียนแห่งจงโจว”
กั้วตงเดินเข้ามาจากด้านนอกกระท่อม มองถงเหยียนพลางกล่าวชื่นชม “อายุเท่านี้กลับสามารถวางแผนการที่จะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ได้”
คำพูดที่เกือบจะหลุดปากออกมาถูกเหอจานกลืนกลับไปทันที จากนั้นกล่าวด้วยใบหน้าแดงเรื่อว่า “ป้าเล็ก ท่านอย่าโผล่มาแบบกะทันหันเช่นนี้ทุกครั้งได้หรือไม่”
กั้วตงมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนกล่าวว่า “ถงเหยียนจะไปแล้ว ข้าย่อมต้องมา กะทันหันตรงไหน?”
เหอจานถูกตอกกลับมาอีกครั้ง
ก็จริง พวกเขาถูกกั้วตงสั่งให้อยู่ที่สำนักฌานเป่าทงเป็นเวลาครึ่งปี สุดท้ายจะออกไปได้หรือไม่ ก็ต้องมาดูผลจากการตรวจงานที่นางมอบหมายให้
การตรวจงานที่มอบหมายให้เป็นไปอย่างราบรื่น กั้วตงไม่ค่อยถนัดในด้านนี้ จึงไม่มีความเห็นอะไร
สุดท้ายกลับกลายเป็นถงเหยียนที่ถามคำถามนาง หรือก็คือเชื้อเชิญ
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเป็นใคร แต่ถ้าเป็นคนที่ข้าคิดเอาไว้ผู้นั้นล่ะก็ เช่นนั้นถ้าหากท่านเข้าร่วมแผนการนี้ บางทีโอกาสสำเร็จอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นแปดส่วนหรือเก้าส่วน”
กั้วตงนิ่งเงียบไปครู่ “ ข้ายังต้องใช้เวลาอีกยี่สิบปีกว่าสภาวะจะฟื้นฟูกลับมา”
เหอจานกล่าว “เช่นนั้นอีกยี่สิบปีค่อยเริ่มแผนการ”
เทพกระบี่ซีไห่คือหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่เจ้าสำนักชิงซานก็ทำได้เพียงเสมอกับเขา
หากต้องการจะสังหารบุคคลเช่นนี้ การรอคอยเป็นเวลาหลายสิบปีนั้นถือเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
กั้วตงมองเขาพลางกล่าว “แต่ท่านเผยเหลือเวลาแค่สามปีเท่านั้น”