มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 46 หรือเพื่อตัวเองจึงมิสนใจ
จักรพรรดิแห่งหมิงย่อมต้องอยากจะหนีไปจากคุกสะกดมาร อยากจะออกไป อยากจะกลับไป
เพียงแต่เขารู้ดีว่าหากไม่มีคนช่วย ตัวเขาที่เดินเข้าไปในความมืดที่ขมุกขมัวแห่งนี้จะต้องลอยล่องอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลานี้ไปตลอดกาล
เมฆดำก้อนนั้นลอยตามเขามาถึงผาขาด เสียงกระดิ่งยังคงดังเป็นระยะ ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง มีสายฟ้าที่ดูน่ารักสายหนึ่งผ่าลงมา
ยุงในคุกสะกดมารเองก็ตามมายังละแวกใกล้เคียง เพียงแต่พวกมันหวาดกลัวเสียงสายฟ้า จึงไม่กล้าเข้ามาใกล้
จักรพรรดิแห่งหมิงดึงสายตากลับมา มองไปยังยุงตัวเล็กๆ ที่ยากจะมองเห็นเหล่านั้น นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
หลังจากเขาทำการตัดสินใจออกมา แสงสว่างในร่างกายเขาก็หมุนเวียนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็หนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม
……
……
ในช่วงปลายฤดูหนาว เมืองเจาเกอมีหิมะตกหนัก
เนื่องจากมีข่ายพลังปกป้องอยู่ หิมะที่ตกลงมาในเมืองเจาเกอจึงไม่ถือว่ารุนแรงมากนัก แล้วก็ไม่มีบ้านเรือนที่ถูกหิมะทับถมจนพังถล่มลงมา แต่นี่ยังคงไม่อาจหยุดเหล่าบัณฑิตยากจนดื้อรั้นที่ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผู้บำเพ็ญพรตอยู่จริงเหล่านั้นได้ พวกเขาสวมเสื้อคลุมตัวเดียว ออกมาตะโกนอะไรบางอย่างใส่กลุ่มคนด้วยสีหน้าจริงจัง เหล่าชาวนาที่เจอภัยพิบัตินอกเมืองและชาวบ้านที่อพยพมาจากทางเหนือกลายเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดของพวกเขา
คนที่อยู่ภายในวังหลวงย่อมไม่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะและผู้อพยพ ใช้ชีวิตอย่างอบอุ่นและสุขสบาย เพียงแต่ช่วงนี้พระสนมหูที่แต่ไหนแต่ไรมาได้รับความรักการดูแล และชื่นชอบที่จะขดตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ กลับไม่มีความสุขเช่นนั้น เพราะตอนนี้จิ่งเหยาลูกชายของนาง ทุกวันต้องถูกปลุกขึ้นมาจากเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จากนั้นไปยืนม้าฝึกหมัด
ต่อให้นางใจเย็นแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะมานอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงได้
เมื่อมองดูจิ่งเหยาที่ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อยยืนอยู่บนพื้นหิมะด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า ขาทั้งสองข้างสั่นไหวไม่หยุด ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจของพระสนมหูรู้สึกคล้ายจะแตกสลาย มือขวากำปลายแขนเสื้อเอาไว้แน่น ถึงจะสะกดตัวเองไม่ให้ตะโกนบอกนางกำนัลให้ไปอุ้มเขากลับมาได้ แต่ในใจกลับด่าทอกู้ชิงไม่มีชิ้นดี เด็กอายุไม่ถึงสี่ขวบคนหนึ่งจำเป็นต้องมาทุกข์ทรมานเช่นนี้ทุกวันด้วยหรือ?
“อาจารย์กู้มาแล้วเพคะ”
เมื่อได้ยินเสียงรายงานของนางกำนัล ความโกรธบนใบหน้าพระสนมหูพลันหายไปจนหมด นางเดินเข้าไปหากู้ชิง ยิ้มเล็กน้อยพลางคารวะ
กู้ชิงคารวะกลับ “พระสนมไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
ด้านนอกหน้าต่างพลันมีเสียงโพล้งเพล้งดังขึ้นมา จากนั้นมีเสียงร้องตกใจของนางกำนัลอาวุโส น่าจะเป็นเสียงจิ่งเหยาล้มลงไปกับพื้น
พระสนมหูใจสั่นขึ้นมา นางสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ได้อีก จึงฝืนยิ้มพลางกล่าว “ตอนนั้นอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วบอกว่าช่วงสองสามปีแรกไม่บำเพ็ญเพียร ให้เรียนหนังสือก่อน แต่ท่านดู….”
“องค์ชายสองเฉลียวฉลาด รู้ว่าควรจะล้มเวลาไหน”
กู้ชิงใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้พระสนมหูสงบลง จากนั้นพูดต่อว่า “คำสั่งของอาจารย์ข้าย่อมต้องทราบดี ตอนนี้ยังไม่มีการบำเพ็ญเพียร เป็นเพียงการเตรียมตัวเล็กน้อยเท่านั้น ในอดีตตอนที่อาจารย์อาเจ้าล่าเยวี่ยอยู่ที่เมืองเจาเกอ ได้ยินว่านางฝึกร่างกายตั้งแต่อายุสองขวบ เมื่อเทียบกันแล้ว องค์ชายสองนั้นช้าไปกว่าปีครึ่ง”
พระสนมหูไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ภายในใจกลับคิด สัตว์ประหลาดแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างเจ้าล่าเยวี่ย ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนจะมีสักกี่คน?
สิ่งที่กู้ชิงพูดล้วนเป็นความจริง องค์ชายสองอายุยังน้อย ยังไม่ถึงเวลาที่จะบำเพ็ญเพียร สิ่งที่เขาสอนในทุกวันคือเรียนหนังสือและควบคุมตัวเอง
การควบคุมตัวเองในที่นี้หมายถึงการควบคุมอารมณ์ กิเลสและสิ่งที่สำคัญที่สุด….การควบคุมสติปัญญา
จิ่งเหยายังเล็ก ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าการควบคุมอันสุดท้ายมีความสำคัญต่อการบำเพ็ญเพียรอย่างไร
พระสนมหูยังมีสติปัญญาไม่มากพอ ย่อมไม่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของมันได้
ทุกวันกู้ชิงจะเข้าวังตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ออกจากวังในตอนที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก จึงไม่มีแรงที่จะมานั่งอธิบายเรื่องเหล่านี้
โชคดีที่เด็กที่เฉลียวฉลาดก็มีข้อดีอยู่ นั่นก็คือเขารู้ว่าใครคือคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ดังนั้นภายหลังเมื่ออยู่ต่อหน้ากู้ชิง จิ่งเหยาจะแสดงท่าทีเชื่อฟังโดยตลอด
ตกเย็นวันนั้น กู้ชิงเดินออกไปนอกวังเมืองอย่างปกติ ระหว่างทางเจอขันทีและนางกำนัลที่คุ้นหน้าจึงพยักหน้าทักทาย
ผู้คนภายในวังเคยชินกับการที่อาจารย์เซียนชิงซานท่านนี้เข้ามาในวังแล้ว อย่างน้อยเหล่าขุนนางที่เคยมีทีท่าหวาดระแวงการทำตัวเรียบง่ายของกู้ชิงกลายจะเป็นการบอกพวกเขาว่าสำนักชิงซานไม่ได้จะมาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้
เมื่อเดินออกมาจากประตูวัง ก็ไม่มีข่ายพลังคอยปกป้องอีก ลมหนาวอันเย็นยะเยือกกระแทกเข้ามาที่ใบหน้าเขาเหมือนค้อนหนักๆ
กู้ชิงย่อมไม่หวาดกลัวความหนาวเย็น เพียงแต่คิดว่าขนาดในเมืองเจาเกอยังหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าสภาพที่ด้านนอกเมืองจะโหดร้ายแค่ไหน
ระหว่างทางจากวังหลวงมายังวัดไท่ฉาง กู้ชิงยังคงคิดถึงปัญหานี้ หากตนเองเป็นขุนนางในราชสำนักจะทำอย่างไร จะขอความช่วยเหลือจากชิงซานหรือไม่?
พลังของฟ้าดินนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตจะสามารถต้านทานได้ แต่อย่างพายุหิมะที่เกิดขึ้นนอกเมืองเจาเกอในปีนี้ หากผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลจำนวนมากร่วมมือกันก็น่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
ไม่ได้ครุ่นคิดนานนัก กู้ชิงได้ข้อสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว
ต่อให้เขาไปขอความช่วยเหลือ เหล่าผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลในชิงซานเหล่านั้นก็ไม่มีทางยื่นมือช่วยเหลือ ท่านเจ้าสำนักและกฎกระบี่ก็ไม่มีทางบีบให้พวกเขายื่นมือช่วยเหลือ
เรื่องของความเป็นความตายเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ได้ตลอดเวลา การจะให้ผู้บำเพ็ญพรตเสียเวลาในการบำเพ็ญเพียรไปเพื่อเรื่องแบบนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้วถือเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล
มิเช่นนั้นเหตุใดขุนนางในราชสำนักที่ในอดีตเคยเป็นศิษย์สำนักจงโจวเหล่านั้นถึงยังนิ่งเงียบอยู่เช่นนี้?
กระทั่งวัดกั่วเฉิงและเรือนอี้เหมาก็มิได้ส่งสมณะแพทย์และบัณฑิตไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติที่ด้านนอกเมือง แล้วก็ไม่ได้เตรียมการอะไรก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติขึ้นด้วย
แต่แน่นอน เหล่าผู้บำเพ็ญพรตก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นกัน นั่นก็คือการพยายามเข้าไปแทรกแซงฟ้าดิน ก็จะต้องถูกฟ้าดินลงทัณฑ์
ปัญหาก็คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตทำก็เป็นเรื่องที่ฝืนฟ้าดินเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นในตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียนจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นได้อย่างไร?
กลัวถูกฟ้าดินลงโทษแล้วจะบำเพ็ญเพียรไปทำไม?
กู้ชิงมิใช่ว่าเป็นห่วงชาวโลก เพียงแต่ออกมาจากชิงซานครึ่งปี การที่อยู่เมืองเจาเกอทำให้เขาถูกได้รับผลกระทบจากโลกปุถุชนไปไม่น้อย บางครั้งจึงอดคิดขึ้นมาไม่ได้
เพียงแค่คิดๆ เท่านั้น
เขากล่าวกับตัวเอง
ไม่อย่างนั้นการที่ต้องเดินกลับจากวังหลวงมายังวัดไท่ฉาง อีกทั้งยังไม่สามารถขี่กระบี่บินได้ หากไม่คิดอะไรเลย แบบนั้นมันจะน่าเบื่อเกินไป
เขาเดินครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้จนมาถึงปากทางเข้าตรอกที่อยู่ด้านนอกเรือนตระกูลจิ๋ง จากนั้นก็ถูกคนผู้หนึ่งขวางทางเอาไว้
คนที่ขวางทางเขาเอาไว้ก็คือเซี่ยงหว่านซูแห่งสำนักจงโจว
กู้ชิงและเซี่ยงหว่านซูเคยพบกันหลายครั้งแล้ว อีกทั้งยังเคยร่วมทางกันในที่ราบหิมะด้วย ถือว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันดี คล้ายจำได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจงโจว เมื่อเห็นเขาจู่ๆ มาปรากฏตัวที่นี่ ในใจจึงอดเกิดความระแวงขึ้นมาไม่ได้ กล่าวถามว่า “สหายเซี่ยงมาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
เซี่ยงหว่านซูรู้ว่าความระแวงในสายตาของเขามาจากไหน จึงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ข้ารู้ว่านี่เป็นบ้านของอาจารย์เจ้า ควรจะหลีกเลี่ยง แต่เจ้าอยู่ในวังทั้งวัน ข้าจึงได้แต่ต้องมารอเจ้าที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะได้เจอเจ้าเมื่อไร”
กู้ชิงกล่าว “สหายเซี่ยงมาหาข้าด้วยเรื่องใด?”
เซี่ยงหว่านซูกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าขึงขัง “เชิญเจ้ากินข้าว”
สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตศึกษาคือการชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส หลังจากที่ฝึกฝนจดอดธัญพืชทั้งห้าได้แล้ว พวกเขาก็แทบจะไม่แตะอาหารอีก ยกเว้นก็แต่พวกพรรคมารที่ปลดปล่อยกิเลสของตนออกมาเหล่านั้น
เชิญกินข้าวก็ย่อมต้องมีธุระ
ริมทะเลสาบไป๋หม่ามีที่พักเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ทั้งสองคนเดินขึ้นไปยังห้องที่อยู่ติดทะเลสาบชั้นบนสุด ก่อนจะนั่งลง
อาจารย์เซียนไม่กินหม้อไฟ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารอะไร อย่างมากแค่กินผลไม้เข้าไปนิดหน่อยก็ถือว่าเป็นการกินอาหารแล้ว
เพียงแต่ผลไม้เหล่านั้นล้วนแต่เป็นผลไม้ที่เติบโตอยู่บนเส้นปราณวิญญาณ มูลค่ามิใช่ถูกๆ
เซี่ยงหว่านซูคิดถึงเรื่องก่อนหน้า จึงกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ “ตระกูลกู้แห่งมณฑลหนานโจวถือได้ว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยของแผ่นดิน ในเมืองเจาเกอจะต้องมีเรือนของตัวเองอยู่แน่ เหตุใดเจ้าถึงไปพักที่นั่น?”
กู้ชิงกล่าว “ต่อให้ตระกูลกู้จะมีเงินแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในภาคกลางก็ไม่อาจเทียบกับตระกูลเซี่ยงของเจ้าได้ ดังนั้นมื้อนี้เจ้าเป็นคนเลี้ยง”
เซี่ยงหว่านซูหลุดหัวเราะออกมา “ได้ยินว่าตอนนี้ทุกเรื่องบนยอดเขาเสินม่อล้วนแต่เจ้าเป็นคนจัดการ เดิมข้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องจริง”
กู้ชิงยิ้มๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าอยากจะบอกว่าข้าเหมือนพ่อค้ามากกว่าผู้บำเพ็ญพรตใช่ไหมล่ะ”
เซี่ยงหว่านซูส่ายศีรษะพลางกล่าว “ตอนนี้เจ้าเป็นอาจารย์ขององค์ชายสอง ไม่แน่ในอนาคตอาจจะกลายเป็นพระอาจารย์ของฮ่องเต้
นี่คือการเข้าสู่ประเด็น