มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 47 ดินแดงหิมะขาว มาหาเรื่องเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตของสำนักไหน การที่สามารถกลายเป็นอาจารย์ขององค์ชายได้ ถือเป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างมาก
ที่บอกว่าไม่สนใจฝุ่นแดง[1] มันก็ต้องดูว่าฝุ่นแดงนั้นแดงพอหรือเปล่า
สำหรับศิษย์สำนักใหญ่อย่างกู้ชิงและเซี่ยงหว่านซูแล้ว การเอาเวลาหลายปีที่ใช้บำเพ็ญเพียรมาแลกกับเกียรติยศเช่นนี้ไม่ถือว่ามีอะไรน่าดึงดูดนัก
แต่ถ้าหากเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ เช่นนั้นมันย่อมแตกต่างกัน
สิ่งที่สำคัญก็คือ เซี่ยงหว่านซูมิได้ถามเรื่องนี้เพราะตัวเองอยากรู้
ในเวลานี้กู้ชิงถึงได้รู้ว่าเขาเข้าไปยังเรือนขององค์ชายจิ่งซิน — ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีการคาดเดาไปต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเรื่องที่จู่ๆ สำนักชิงซานก็เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชวงศ์ แต่สำนักจงโจวที่ตามหลักแล้วควรจะระแวงมากที่สุดกลับนิ่งเงียบมาโดยตลอด ทว่าในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็อยู่เฉยไม่ได้แล้ว
“ยอดเขาเสินม่อติดค้างพระสนมหู ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น ศิษย์พี่ถงเหยียนของเจ้าทราบดี”
กู้ชิงให้คำตอบ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เซี่ยงหว่านซูย่อมไม่มีทางเชื่อ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
ผลไม้ไม่กี่ลูก ต่อให้ล้ำค่าแค่ไหนก็กินไม่ได้นาน หลังหยั่งเชิงไม่ได้ผล การสนทนาก็ย่อมไม่จำเป็นต้องดำเนินต่อไป ทั้งสองคนกล่าวลากันและกัน
กู้ชิงกลับมายังเรือนตระกูลจิ๋ง ทักทายจิ๋งซางและคนอื่นๆ ในครอบครัว จากนั้นกลับห้องของตัวเอง
เขามองดูหิมะที่กองทับถมอยู่ด้านนอก ทันใดนั้นพลันคิดถึงภาพตนเองต้มชาอยู่บนยอดเขาเสินม่อเมื่อในอดีตขึ้นมา จึงเดินไปยังสวนด้านหลัง
ภายในสวนด้านหลังตระกูลจิ๋งเวลานี้มีแมวจรอยู่มากมาย นั่นย่อมเป็นเพราะไป๋กุ่ยชื่นชอบ
เมื่อมีมันอยู่ที่นี่ จิ๋งหลีที่ชอบมาเล่นที่นี่เป็นประจำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแมวจรกัดหรือว่าข่วน
กู้ชิงกำลังกังวลถึงปัญหาอื่น อย่างเช่นหลานของอาจารย์คนนี้จะถูกท่านไป๋กุ่ยสอนให้กลายเป็นผีพนันหรือเปล่า
“ท่านคงกำลังรู้สึกโกรธอาจารย์อยู่ในใจ”
เขามองดูกำแพงที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์และมีหิมะเกาะเล็กน้อย จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “แต่เด็กเขาไม่รู้เรื่องอะไรนะขอรับ”
เถาวัลย์ขยับเล็กน้อย เศษหิมะร่วงตกลงมา หลิวอาต้าเดินออกมาจากด้านใน บนร่างกายมีหิมะเกาะอยู่เล็กน้อย ทำให้มันดูอ้วนขึ้น
มันมองกู้ชิงโดยไม่ได้กล่าวกระไร ในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาหยอกล้อ
“มีมี มีมี ข้ากลับมาแล้ว เมื่อคืนหิมะตกหนักไปหน่อย อาจารย์กังวลว่าหลังคาจะถล่มลงมา เลยให้เลิกเรียนก่อนเวลา”
เสียงที่ดีใจของจิ๋งหลีดังมากจากด้านนอกสวน
กู้ชิงหัวเราะแห้งๆ โดยไม่มีเสียง จากนั้นประสานมือคารวะไปทางหลิวอาต้า ร่างกายโฉบออกไปทางหัวกำแพง
จิ๋งหลีวิ่งเข้ามาในสวนด้านหลัง บนรองเท้ามีหิมะเกาะอยู่เต็มไปหมด ใบหน้าแดงเรื่อ
กู้ชิงกำลังเตรียมจะจากไป ทันใดนั้นพลันรู้สึกแปลกๆ จึงมองดูจิ๋งหลีอย่างตั้งใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้จะวิ่งเร็วขนาดนี้ แต่ลมหายใจของจิ๋งหลีไม่ปั่นป่วนแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างลมหายใจที่ทอดยาวก็มีจังหวะของมันอยู่ คล้ายสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ธรรมชาติอะไรบางอย่าง
“ลมหายใจประตูหยก?”
กู้ชิงตกใจเป็นอย่างมาก มองไปทางแมวขาวที่พาจิ๋งหลีเดินเข้าไปในเถาวัลย์ ในใจครุ่นคิดว่านี่ท่านกำลังสอนเด็กคนนี้บำเพ็ญเพียรอย่างนั้นหรือ?
……
……
เซี่ยงหว่านซูกลับมายังตำหนักขององค์ชายจิ่งซิน บอกกล่าวกับพระอาจารย์เหลียงเรื่องที่ไปเจอกับกู้ชิง ก่อนจะกลับไปบำเพ็ญเพียร
พระอาจารย์เหลียงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ มองดูหิมะที่ตกลงมาด้านนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่ยังคงไม่เข้าใจว่าสำนักชิงซานคิดจะทำอะไรกันแน่
ทันใดนั้นพลันมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถือแผ่นป้ายสำหรับขอเข้าเฝ้าเดินเข้ามา บอกว่ามีคนต้องการเข้าเฝ้าองค์ชาย
พระอาจารย์เหลียงรับเอาแผ่นป้ายสำหรับขอเข้าเฝ้ามาดู ก่อนจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
มิได้เป็นเพราะหิมะที่ตกหนัก หากแต่เป็นเพราะบนแผ่นป้ายนั้นสะอาดสะอ้านยิ่งกว่าหิมะเสียอีก ไม่มีตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดียว กระทั่งลายเซ็นก็ไม่มี
ขุนนางหรือผู้บำเพ็ญพรตที่ต้องการเข้าเฝ้าองค์ชายจิ่งซินนั้นไม่รู้ว่ามีมากน้อยเท่าไร กว่าป้ายเข้าเฝ้าแผ่นนี้จะถูกส่งมาถึงตรงหน้าเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องผ่านถึงสามด่าน
การที่สามารถส่งแผ่นป้ายเข้าเฝ้าเปล่าๆ ผ่านด่านสามด่านมาถึงตรงหน้าตัวเองได้ คนผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
พระอาจารย์เหลียงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “พาคนผู้นั้นเข้ามา”
คนที่มาเป็นชายรูปร่างอ้วนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ บนรองเท้านอกจากมีเศษหิมะติดอยู่แล้ว ยังมีคราบน้ำมันค้างปีติดอยู่
การที่สามารถมายืนยิ้มหรี่ตาอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์เหลียง ว่างท่าทีเหมือนไม่หวาดกลัวใดๆ แสดงให้เห็นว่าชายอ้วนผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่พระอาจารย์เหลียงคิดเอาไว้อย่างแน่นอน
แม้นชายอ้วนจะมิใช่ผู้บำเพ็ญพรต แต่ในตำหนักองค์ชายก็มิได้ลดความระมัดระวังลง ภายในห้องหนังสือเห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ ด้านหลังฉากกั้นก็มีเงาคนอยู่
การจัดวางกำลังคนเหล่านี้มิได้มีการจงใจปิดบังใดๆ ชายอ้วนยังคงยิ้มเล็กน้อยมิกล่าวกระไร แสร้งทำเหมือนว่าไม่รู้เรื่อง เขาเพียงแต่กล่าวเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ถ้าท่านคิดว่าให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ได้ ข้าก็ไม่ว่ากระไร”
พระอาจารย์เหลียงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอะไร?”
ชายอ้วนผู้นั้นกล่าวว่า “ข้าเป็นเจ้าของและเป็นพ่อครัวของเหลาสุราแห่งหนึ่งในเมืองเจอเกอ เมื่อเก้าปีก่อนท่านซือเฟิงเฉินแห่งกรมชิงเทียนไปหาข้า เพื่อให้ข้าจัดการเรื่องหนึ่งให้”
พระอาจารย์เหลียงเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “แล้ว?”
สำหรับเขาแล้ว เวลาที่ว่านี้มันนึกออกได้ง่ายมาก
ในหุบเขาหมิงชุ่ยนอกเมืองเจาเกอเมื่อเก้าปีก่อน เจ้าล่าเยวี่ยผู้เป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อของชิงซานถูกนักฆ่าของปู้เหล่าหลินลอบสังหารจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ชายอ้วนกล่าว “นายท่านของข้ากังวลว่าองค์ชายจะทรงลืมเรื่องนี้ ก็เลยให้ข้ามาย้ำเตือนเล็กน้อย”
พระอาจารย์เหลียงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “หลักฐาน?”
“หลักฐานย่อมต้องมี ซือเฟิงเฉินเป็นคนมีความรับผิดชอบ ก่อนตายไม่ลืมที่จะจัดการเรื่องนี้จนเสร็จเรียบร้อย”
ชายอ้วนมองดูสีหน้าของพระอาจารย์เหลียง รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “หลักฐานเหล่านั้นไม่แน่ว่าจะทำให้สำนักจงโจวเลิกสนับสนุนพวกท่านได้ แต่ถ้าเป็นเรือนอี้เหมาล่ะ?”
สีหน้าของพระอาจารย์เหลียงดูแย่ขึ้นมา
ตอนนี้ชื่อเสียงบารมีขององค์ชายจิ่งซินภายในราชสำนักค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการสนับสนุนจากสำนักจงโจวแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือเรือนอี้เหมาที่คัดค้านเรื่องที่จะให้องค์ชายสองขึ้นครองราชย์อย่างชัดเจน
ด้วยนิสัยของเหล่าบัณฑิตแห่งเรือนอี้เหมา ทันทีที่รู้ว่าองค์ชายจิ่งซินเคยติดต่อกับปู้เหล่าหลิน…เกรงว่าพวกเขาคงยอมรับเรื่องที่จะให้จิ้งจอกขึ้นครองราชย์ แต่ไม่ยอมสนับสนุนองค์ชายจิ่งซินเป็นแน่!
สุดท้ายชายอ้วนยิ้มๆ พลางกล่าวปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดออกมา
“ท่านน่าจะทราบถึงนิสัยของสำนักชิงซานดี ขอเพียงพวกเขาเชื่อในเรื่องนี้ องค์ชายอย่าว่าแต่จะขึ้นครองราชย์เลย กระทั่งชีวิตจะรักษาเอาไว้ได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่”
พระอาจารย์เหลียงจ้องมองใบหน้าของชายอ้วน กล่าวว่า “พวกเจ้าถูกทำลายไปแล้ว ผีเร่ร่อนเหมือนอย่างเจ้าจะไปมีประโยชน์อะไร?”
ชายอ้วนมิได้มีอาการโกรธแม้แต่น้อย เขากล่าวว่า “ยอดภูเขาน้ำแข็งที่อยู่เหนือน้ำทะเลนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ เรื่องนี้ท่านน่าจะทราบดี”
พระอาจารย์เหลียงพลันหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าอยากรู้นัก ตอนนี้เจ้าฟังคำสั่งใครอยู่กันแน่? ซีไห่? หรือว่าสำนักไหนที่ถือข้อมูลอยู่?”
ชายอ้วนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกข้าเพียงเชื่อฟังเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็นซีไห่หรือว่าใคร อย่างไรก็ล้วนแต่เป็นเบื้องบน”
เบื้องบนและเบื้องล่างรวมเข้าด้วยกันถึงจะครบถ้วนสมบูรณ์ ปู้เหล่านั้นจะคงอยู่ตลอดไป
พระอาจารย์เหลียงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “พวกเจ้าอยากทำอะไร?”
ชายอ้วนกล่าว “ถึงเวลาแล้วจะแจ้งให้ท่านทราบ”
พระอาจารย์เหลียงกล่าว “หนึ่งเรื่อง”
ชายอ้วนกล่าว “หายกัน”
พระอาจารย์เหลียงกล่าว “ไม่ส่ง”
……
……
เงาคนที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นขยับเล็กน้อย องค์ชายจิ่งซินเดินออกมา
ภายในห้องหนังสือไม่มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ มีเขาแค่เพียงคนเดียว
เทียบกับตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยเก่าเมื่อตอนนั้นแล้ว สีหน้าของเขาดูค่อนข้างขาวซีด ความสูงศักดิ์และความหยิ่งทะนงถูกเก็บเอาไว้ในร่างกายจนหมด ดูค่อนข้างสุขุม
จิ่งซินเดินมานั่งลงตรงหน้าพระอาจารย์เหลียง
ทั้งสองคนมองหน้ากันมิกล่าวกระไร
หิมะที่ตกอยู่ด้านนอกหน้าต่างไร้ซุ่มเสียง
ความหนาวเย็นค่อยๆ ปกคลุมห้องหนังสือ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ่งซินถอนใจพลางกล่าวว่า “ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยทำผิดพลาดอะไร มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว”
พระอาจารย์เหลียงกล่าว “เวลาคือแม่น้ำสายหนึ่ง ผ่านไปแล้วก็คือผ่านไป ทำได้เพียงมองไปข้างหน้า”
เมื่อเก้าปีก่อน เหลียงซิงเฉิงที่เป็นญาติห่างๆ ของเขาได้ตายลงไปเพราะป่วยหนัก กลายเป็นน้ำหยดหนึ่งในสายธารแห่งกาลเวลา
ใครจะไปคิดถึงว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบ
…………………………………………………………………
[1]ฝุ่นแดง หมายถึง โลกปุถุชน