มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 5 ดั่งศัตรูถาโถม
เมื่อได้ยินเสียงทะเลาะดังออกมาจากด้านในถ้ำ กั้วหนานซานและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็ไม่เข้าใจ
ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งเป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นแหวกทะเล นิสัยเยือกเย็น ใจแห่งเต๋าสันโดษ หลิ่วสือซุ่ยไปพูดอะไรถึงทำให้เขาโมโหขนาดนี้?
สำหรับพวกเขาแล้ว จริงอยู่ที่ไป๋หรูจิ้งนั้นไม่ค่อยดีกับหลิ่วสือซุ่ยเท่าไร ถึงแม้ตอนนั้นหลิ่วสือซุ่ยจะแอบขโมยกินตานปีศาจจริงๆ แต่เหตุใดถึงต้องเย็นชาขนาดนี้ แต่ก็เหมือนอย่างที่กู้หานว่าไว้ อาจารย์ยังไงก็ยังเป็นอาจารย์….
เสียงแตกที่ดังชัดเจนเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ว่าของสิ่งใดถูกขว้างแตก ถ้ำเปิดออก หลิ่วสือซุ่ยเดินออกมา
กั้วหนานซานและกู้หานเดินเข้าไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวล
หลิ่วสือซุ่ยส่ายศีรษะ มิได้กล่าวกระไร
กู้หานตบบ่าเขา พาเขาเดินลงจากเขา
แสงอาทิตย์ถูกใบไผ่ตัดขาด ตกกระทบลงบนใบหน้าของหลิ่วสือซุ่ย เป็นดวงๆ และเฉยชา สีหน้าเขาเรียบเฉยเป็นอย่างมาก
ไผ่สีเขียวที่ไม่มีคนดูแล ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
……
……
ในยอดเขาปี้หู ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้
ระหว่างหน้าผามีต้นสน มีต้นหวาย มีต้นแปะก๊วย แล้วก็มีต้นไผ่
โดยเฉพาะริมทะเลสาบบนยอดเขา ต้นไผ่ตั้งเรียงเป็นป่า ยาวสุดลูกหูลูกตา เวลาที่ลมพัดมาจะขยับโยกไหวไปมาเล็กน้อย เหมือนกับน้ำที่อยู่ในทะเลสาบอย่างไรอย่างนั้น
ตำหนักเต๋าที่อยู่บนยอดเขาปี้หูก็อยู่ในป่าเช่นกัน แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปในตำหนัก ทำให้ดูสงบและสวยงามขึ้นมา แสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนใบหน้าของเจ้าแห่งยอดเขาเฉิงโหยวเทียน ยิ่งทำให้ดูเย็นยะเยือก
ครั้งนี้เขาพาศิษย์บุกไปยังลานเมฆ ถือว่าทำให้ยอดเขาปี้หูได้รับเกียรติและความเคารพกลับมาใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อคิดถึงข่าวที่เพิ่งจะได้รับมา เขาก็รู้ว่าตำแหน่งของยอดเขาปี้หูในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานยังคงไม่มั่นคง ขอเพียงมีปัญหาถาโถมเข้ามา ยอดเขาก็จะสั่นคลอนได้อย่างง่ายดาย
“มีอยู่คดีหนึ่ง มีบางคนอยากจะให้พวกเราเป็นคนออกมานำ”
เฉิงโหยวเทียนมองชายชราที่นั่งอยู่ตรงข้ามผู้นั้น ก่อนกล่าวด้วยสายตาเย็นยะเยือกเล็กน้อยว่า “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่คิดอย่างไรบ้าง?”
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาปี้หูคนนั้นคล้ายคาดเดาได้ว่าเจ้าแห่งยอดเขาน่าจะกำลังหยั่งเชิงตนเองอยู่ จึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเราทำตัวเงียบๆ ไว้ก่อนจะดีกว่า”
แม้นจะได้ยินคำตอบที่ต้องการ แต่เฉิงโหยวเทียนก็ยังไม่สบายใจ หากแต่จ้องมองดวงตาเขาแล้วไล่ถามต่อว่า “แต่คดีนั้นมันเกี่ยวข้องกับยอดเขาปี้หูของเรา บอกปัดลำบาก”
สีหน้าของผู้อาวุโสขึงขังขึ้นมาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับยอดเขาปี้หู แล้วควรค่าที่จะถูกให้ความสำคัญเช่นนี้ อย่างนั้นก็ต้องเป็นการตายของเหลยพั่วอวิ๋นเจ้าแห่งยอดเขาคนก่อน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าคดีนั้นเป็นคดีที่ท่านเจ้าสำนักและท่านกฎกระบี่ร่วมมือกันจัดการ ใครกล้ารื้อคดีขึ้นมา?
“ท่านเจ้าแห่งยอดเขาหมายถึงคดีไหนกันแน่?”
เฉิงโหยวเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ศิษย์หลานจั่วอี้ถูกสังหาร หรือศิษย์พี่ลืมไปแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ภายในตำหนักเต๋าพลันเงียบสงัดลงอย่างน่าประหลาด แสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาจากด้านนอกยิ่งดูเย็นยะเยือกขึ้น
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบสามปีที่แล้ว
จั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูกลับมาจากโลกภายนอก ในคืนเดียวกันก็ถูกคนฆ่าตาย ศีรษะถูกกระบี่ที่ร้ายกาจอย่างมากตัดขาด ศพถูกโยนเอาไว้ข้างธารสายหนึ่ง
ตอนนั้นเรื่องนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่ชิงซานอย่างมาก เพราะยอดเขาทั้งเก้าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมของฆาตกรหลังก่อเหตุ ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นการอวดดี หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นแสดงอำนาจข่มชิงซาน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่สามารถฆ่าคนได้ในข่ายพลังกระบี่ แสดงให้เห็นว่าฆาตกรจะต้องเป็นศิษย์ชิงซานอย่างแน่นอน
ยอดเขาซั่งเต๋อสั่งให้สืบคดีนี้อย่างเข้มงวด ระหว่างนั้นได้ยินว่าสืบพบเบาะแสอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าเหตุใดจึงหยุดไปกลางคัน
การตายของจั่วอี้กลายเป็นคดีที่ถูกแขวน จนถึงตอนนี้ได้ถูกหลายคนลืมไปแล้ว เพียงแต่ในใจของใครบางคนกลับไม่เคยลืมเรื่องนี้
ผู้อาวุโสคนนั้นเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะมองเฉิงโหยวเทียนแล้วกล่าวว่า “ยอดเขาปี้หูในวันนี้กับยอดเขาปี้หูในอดีตนั้นมิใช่ยอดเขาเดียวกัน”
เฉิงโหยวเทียนสีหน้าอ่อนโยนเล็กน้อย กล่าวว่า “ดี ที่ข้าต้องการก็คือคำพูดประโยคนี้ของศิษย์พี่ เรื่องนี้ก็ถือเสียว่าพวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อนก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสคนนั้นกล่าว “ถูกต้อง มาคุยกันเรื่องหลังจากนี้ดีกว่า อีกประเดี๋ยวเซียนไป๋แห่งสำนักจงโจวจะมาเยือน หากนางดึงกรานที่จะไปดูที่ทะเลสาบ พวกเราจะทำอย่างไร?”
เฉิงโหยวเทียนยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “หากนางกับศิษย์น้องจิ๋งกลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรต เช่นนั้นก็ย่อมไปได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้”
ผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “เรื่องนี้หากสำเร็จ ศิษย์น้องจิ๋วจิ่วจะต้องตามนางกลับไปที่เขาอวิ๋นเมิ่ง ได้ยินว่าที่นั่นงดงามเป็นอย่างมาก แล้วเหตุใดยังต้องอาลัยอาวรณ์ที่นี่อีก”
คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง
เฉิงโหยวเทียนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เรื่องนี้ถือเป็นโชคของศิษย์น้องจิ๋ง คอยดูว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วกัน”
……
……
สำนักจงโจวกำลังจะจัดงานเลี้ยงฉลองเปิดสำนักมาสามหมื่นปี การมาเยือนครั้งนี้ก็เพื่อจะเชิญคนสำคัญของสำนักชิงซานไปร่วมงาน
หากสามารถเชิญยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ได้ย่อมต้องเป็นเรื่องดี
งานเลี้ยงนี้กว่าจะจัดขึ้นก็อีกหลายปีหลังจากนี้ เพียงแต่ผู้บำเพ็ญพรตสภาวะยิ่งสูงก็ยิ่งเก็บตัวบ่อยครั้ง ในเมื่อคนที่สำนักจงโจวอยากจะเชิญคือเจ้าสำนักชิงซานหรือไม่ก็หยวนฉีจิง ตอนนี้เมื่อมั่นใจแล้วว่าพวกเขามิได้เก็บตัว ย่อมต้องรีบฉวยโอกาสนี้เดินทางมาเชื้อเชิญ
เรื่องใหญ่แบบนี้ คนที่สำนักจงโจวส่งมาย่อมมิใช่ผู้อาวุโสทั่วๆ ไป หากแต่เป็นเยวี่ยเชียนเหมินเจ้าแห่งหุบเขาเฉียนหยวน ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นศิษย์น้องอาจารย์เดียวกันกับเหรินเชียนจู่ซึ่งเคยปรากฏตัวขึ้นที่เมืองกุ้ยอวิ๋น แต่สถานะภายในสำนักกลับมีความสำคัญกว่าหลายเท่า เขารับผิดชอบเรื่องการตีความกฎสำนัก จัดงานมอบรางวัลและการลงโทษ มีตำแหน่งคล้ายคลึงกับหยวนฉีจิงผู้เป็นกฎแห่งกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นยอดฝีมือขั้นสูญตา เทียบเท่ากับสภาวะขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุดของชิงซาน
น้อยครั้งนักที่สำนักจงโจวจะมาเยือนชิงซาน ยากที่จะมียอดคนระดับนี้มาเยือน จึงให้ความรู้สึกเป็นมิตรยิ่งนัก ทางชิงซานเองก็ย่อมต้องต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ฟางจิ่งเทียนเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลเป็นคนคอยดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ หยวนฉีจิงได้มาพบเยวี่ยเชียนเหมินตั้งแต่เมื่อสิบกว่าวันที่แล้ว ว่ากันว่าอีกสองวันเจ้าสำนักก็จะมาเจอเขาด้วยตัวเอง
คนที่ติดตามเยวี่ยเชียนเหมินมาด้วยมีศิษย์สำนักจงโจวสิบกว่าคน ไป๋เจ่าเป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนเรื่องขอแต่งงานที่ว่านั้น ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือที่แพร่กระจายออกไปทั้งนั้น
นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของเจ้าสำนักจงโจว แต่กลับเดินทางมายังชิงซานเพื่อขอแต่งงาน เรื่องแบบนี้เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงยิ่งนัก ผิดธรรมเนียมประเพณี ยิ่งไปกว่านั้นทางเขาอวิ๋นเมิ่งจะยอมเสียหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่ข่าวลือก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ การที่มีข่าวลือที่แพร่ออกมา น่าจะเป็นเพราะในการพูดคุยระหว่างเยวี่ยเชียนเหมินและเหล่ายอดคนของสำนักชิงซานมีการเกริ่นถึงเรื่องนี้สองสามประโยค เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเล็ดรอดออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ดูแล้ว น่าจะมีคนคอยกระพือข่าวลือนี้อยู่เบื้องหลังด้วย
หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวคนอื่น เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้คงจะกระอักกระอ่วนใจอย่างมากเป็นแน่ เผลอๆ อาจจะหนีกลับเขาอวิ๋นเมิ่งไปเลยก็เป็นได้
แต่ไป๋เจ่ากลับเหมือนไม่ได้ยินข่าวลือเหล่านี้ ทำตัวสงบนิ่งเป็นอย่างมาก เดินเที่ยวชมทิวทัศน์ในยอดเขาต่างๆ ของชิงซานที่แตกต่างไปจากเขาอวิ๋นเมิ่งโดยมีศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างเดินไปเพื่อน พูดคุยถึงแนวคิดเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ศิษย์ของยอดเขาต่างๆ ของชิงซานล้วนแต่ให้การต้อนรับนางเป็นอย่างดี เพราะนางหน้าตางดงาม บอบบางแต่กลับไม่ได้ดูน่าสงสาร ให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์ ยิ่งไปกว่านั้นนับแต่มีเรื่องราวที่ลั่วไหวหนานบอกเล่าเรื่องนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างก็รู้ถึงความรักที่นางมีต่อจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วเป็นอาจารย์อาเล็กที่พวกเขารักใคร่และให้ความเคารพมากที่สุดในตอนนี้
พวกเขาย่อมต้องรู้สึกมีเกียรติ
หรือพูดอีกอย่างก็คือรักอาจารย์อาเล็ก ก็เลยพลอยรักนางไปด้วย
ถึงแม้จะบอกว่าหลังอาจารย์อาเล็กเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตกับไป๋เจ่าแล้วจะต้องไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง แล้วสำนักชิงซานจะต้องสูญเสียศิษย์อัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไป แต่ในอนาคตอาจารย์อาเล็กอาจจะได้สำนักจงโจวทั้งสำนักก็เป็นได้ เมื่อยืนอยู่ในจุดของอาจารย์อาเล็ก พวกเขาไม่มีเหตุผลให้ต้องคัดค้าน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเชื่อว่าเจ้าสำนักและกฎกระบี่จะต้องคิดเช่นนี้เหมือนกันแน่
เหล่าหญิงสาวของยอดเขาชิงหรงไม่ชื่นชอบไป๋เจ่า ถึงขนาดแสดงความอคติออกมาอย่างชัดเจน พวกนางบอกว่าอาจารย์อาเล็กเกียจคร้านปานนี้ ไหนเลยจะไปนั่งคิดเรื่องคู่รักบำเพ็ญพรตอะไรนั่น ต่อให้เขาคิดจริงๆ ต่อให้ไม่เลือกพวกนางก็ยังมีอาจารย์อาเจ้าล่าเยวี่ยอยู่ ไหนเลยจะตกไปถึงเจ้าที่เป็นคนนอกสำนักได้! ส่วนเรื่องการเป็นพันธมิตรอะไรนั่น….ผู้บำเพ็ญพรตมิใช่ราชวงศ์ หรือว่ายังต้องทำเหมือนอย่างราชวงศ์โบราณเมื่อหมื่นปีก่อนที่ส่งองค์หญิงไปยังดินแดนใต้ดินที่มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าหมิง?
ไม่ว่าพวกนางจะคิดเช่นไร รุ่งเช้าวันที่สอง ไป๋เจ่าก็ยังไปยอดเขาเสินม่อ
หมอกช่วงเช้าสลายตัวไป เสียงลิงเงียบหาย ทางหินเปียกชื้น ตรงไปยังยอดเขา
วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวานที่หลิ่วสือซุ่ยขึ้นมายังยอดเขา วันนี้ทุกคนอยู่กันครบ
จิ๋งจิ่ว เจ้าล่าเยวี่ย กู้ชิง หยวนฉวี่และเสี่ยวเหอ
แมวขาวกอดจักจั่นเหมันต์อยู่ในส่วนลึกของถ้ำ หรี่ตามองดูทางนั้น มิได้แผ่พลังใดๆ ออกมา
…………………………….