มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 51 ในคุกสะกดมารมีผีตัวหนึ่ง
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จักรพรรดิแห่งหมิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เขาออกมาจากเผ่าหมิงตั้งแต่อายุยังน้อย ถูกหลอกมายังโลกมนุษย์ แล้วก็ไม่ได้ออกไปจากคุกสะกดมารอีก
แต่เขาเคยประสบพบเจอกับเรื่องใหญ่ๆ ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินที่เหนือจินตนาการมาเยอะแยะมากมาย
แต่เรื่องใหญ่ๆ เหล่านั้นก็ยังไม่อาจสร้างความตกตะลึงให้กับเขาได้มากเท่าคำพูดประโยคนี้ของจิ๋งจิ่ว
ในตอนนี้เมื่อย้อนกลับไปมองบทสนทนาของเขาและจิ๋งจิ่วประโยคก่อนหน้านี้ ความหมายที่ลึกซึ้งที่แฝงอยู่ก็จะค่อยๆ ลอยขึ้นมายังผิวน้ำ ยังคงมีเกี่ยวข้องกับความปรารถนาของเขา
จักรพรรดิแห่งหมิงหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นไปยังดอกไม้ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจ้าง
เพลิงวิญญาณที่ไร้รูปร่างเป็นเหมือนนิ้วมือพุ่งออกไปเด็ดก้านดอกไม้ จากนั้นจับก้านดอกไม้ส่งให้จิ๋งจิ่ว
“ยามดอกไม้เบ่งบานควรรีบเด็ด เมื่อไม่มีลมฤดูใบไม้ผลิก็ให้มาบ้านข้า” จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว
จิ๋งจิ่วกล่าว “พูดได้ดี”
“คำวิจารณ์นี้ของเจ้าดูไม่ค่อยจริงใจเท่าไรนะ”
จักรพรรดิแห่งหมิงถามต่อว่า “วิธีฝึกผีกระบี่ที่เจ้าใช้บัญชาเพลิงวิญญาณสร้างขึ้นมามีชื่อหรือยัง?”
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ เดิมเขาไม่ได้คิดจะตั้งชื่อให้วิชานี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือในอนาคตที่สามารถมองเห็นได้ ก็มีเพียงเขาคนเดียวถึงจะสามารถใช้วิชานี้ได้
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ในช่วงเวลาสามปีนี้ ข้าคิดถึงปัญหานี้ขึ้นมาครั้งคราว เจ้าคิดว่าชื่อกระบี่เซียนแห่งยมโลกเป็นอย่างไร?”
ในอีกแง่หนึ่งแล้ววิธีฝึกผีกระบี่ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่นี้เป็นสิ่งที่จิ๋งจิ่วและจักรพรรดิแห่งหมิงร่วมกันสร้างขึ้นมา ในชื่อมีคำว่ายมโลก แล้วก็มีคำว่าเซียน ฟังดูเหมาะสมเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นคำว่ายมโลกและคำว่าเซียนซึ่งเป็นสองสิ่งที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีนิยามที่ขัดแย้งกัน แต่เมื่อเอามาอยู่ด้วยกันกลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกครบถ้วนสมบูรณ์อย่างเป็นธรรมชาติ
เพียงแต่กระบี่เซียนช่างเป็นชื่อที่ฟังดูโอหังจริงๆ
จิ๋งจิ่วกล่าว “เป็นชื่อที่ดี”
คำวิจารณ์นี้ฟังดูจริงใจเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิแห่งหมิงยิ้มเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไรอีก โบกมือลาจิ๋งจิ่ว
ในเมฆครึ้มมีเสียงกระดิ่งที่ฟังเสนาะหูดังขึ้นมา สายฟ้าแลบเล็กน้อย คล้ายเป็นการบอกลา
จิ๋วจิ่วเดินหน้าไปก้าวหนึ่ง ย่างเท้าเข้าไปในความมืดที่อยู่นอกผาขาด
หุบเขาสีเขียวพลันกลายเป็นจุดแสงที่มีสีสัน จากนั้นสีสันหายไป กลายเป็นโลกที่มีแค่เพียงสีขาวและสีดำ
จิ๋งจิ่วไม่ได้หมุนตัวกลับไปมอง หากแต่หลับตาแล้วเริ่มรับรู้ถึงร่องรอยที่ตนเองทิ้งเอาไว้ในตอนที่มา
ภายในคุกไท่ฉางไม่มีนิยามของคำว่าเวลา แล้วก็ไม่มีนิยามของความว่างเปล่า แต่นี่เป็นแค่เพียงการพูดอย่างคร่าวๆ เท่านั้น มิได้ถูกต้องไปเสียทั้งหมด มิเช่นนั้นมังกรตัวนั้นคงกลายเป็นเทพไปนานแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ๋งจิ่วลืมตาตื่นขึ้นมา เขากลับมายังชั้นสามของคุกสะกดมาร
เบื้องหน้าของเขาคืออุโมงค์ที่ทอดยาวและเต็มไปด้วยลมพายุที่เป็นข่ายพลังปิดกั้น ปลายสุดของอุโมงค์คือหุบเหวลึก
ในตอนนั้นเขาเดินไปทางซ้ายสองก้าวจากตรงนี้ ก่อนจะเข้าไปสู่คุกไท่ฉาง
ตอนนี้เขากลับมายังที่เดิม
เวลาสามปีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเหมือนเป็นความฝัน
มีเพียงรอยเท้าที่อยู่บนพื้นที่พิสูจน์ให้เห็นอะไรบางอย่าง
เมื่อเดินผ่านย่อมมีร่องรอยทิ้งไว้ ไม่มีทางเป็นเหมือนจอกแหนที่ลอยไปลอยมาไม่มีหลักแหล่ง
จิ๋งจิ่วย่อตัวลงไป เอาดอกไม้ที่จักรพรรดิแห่งหมิงให้ตัวเองมาปักลงไปในดินโคลน จากนั้นยื่นมือไปในอากาศคว้าสิ่งที่เล็กมากบางอย่างใส่เข้าไปในพื้นที่แห่งความว่างเปล่า
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาก็หมุนตัวเดินขึ้นไปด้านบนของคุกสะกดมาร
ดอกไม้บนดินโคลนขยับขึ้นมาโดยไม่มีลม คล้ายกำลังโบกมือลา
อุโมงค์ที่ขึ้นไปยังด้านบนมีความแคบอย่างมาก บางที่เหมือนเป็นเพียงรอยแตกอย่างไรอย่างนั้น
จิ๋งจิ่วลอยขึ้นไป ไม่มีอุปสรรคใดๆ ขวางกั้น ลอดผ่านซอกหินเหล่านั้นเหมือนอย่างสายลม ออกไปไกลขึ้นทุกขณะ
ด้านบนซอกหินมืดขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วนั่นน่าจะเป็นส่วนล่างของบึงที่มีพิษร้ายแรงแห่งนั้น
จิ๋งจิ่วมองไปทางนั้น ครุ่นคิดถึงจักรพรรดิแห่งหมิงที่อยู่ในหุบเขาเขียวขจี
จักรพรรดิแห่งหมิงไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด
ยุงในคุกสะกดมารนั้นมีไว้สำหรับใช้ดูดเพลิงวิญญาณของเขาเพื่อส่งไปยืนยันกับทางเผ่าหมิงว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่มันยังมีเอาไว้เพื่ออีกจุดประสงค์หนึ่งด้วย
หากเป็นจักรพรรดิแห่งหมิงในช่วงที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้เป็นมังกรชางหลงก็ไม่มีทางจัดการกับเขาได้ นับประสาอะไรกับยุงเหล่านี้ เพียงแต่ความคิดของสำนักจงโจวในเวลานั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก หรือเรียกได้ว่าโหดร้ายเป็นอย่างมาก
หลังจักรพรรดิแห่งหมิงถูกจับเข้าไปยังอยู่ในคุกสะกดมาร เขาก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาโดยตลอด หรือก็คือสภาพที่จิ๋งจิ่วได้พบเมื่อสามปีก่อน
จักรพรรดิแห่งหมิงในสภาพแบบนี้ไม่สามารถต่อต้านยุงเหล่านั้นได้ ได้แต่ต้องปล่อยให้ยุงเหล่านั้นดูดเอาเพลิงวิญญาณออกไปไม่หยุด ไม่มีทางที่จะฟื้นฟูพลังสภาวะกลับไปได้เหมือนเก่า
ก็เหมือนตอนที่เขาอยู่ในที่ราบหิมะเมื่อครั้งนั้น ที่เขาต้องใช้ปราณกระบี่จุดเพลิงกระบี่เพื่อที่จะต่อสู้กับความหนาวเย็นอยู่ตลอดเวลา
หากสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จักรพรรดิแห่งหมิงก็จะได้แต่ต้องอยู่ในสภาพที่อ่อนแอไปตลอดกาล จนกระทั่งเหือดแห้งไปในสายธารแห่งกาลเวลาอันแสนยาวนาน
จิ๋งจิ่วช่วยสอนวิธีกำจัดยุงเหล่านั้นให้แก่เขา นี่เท่ากับเป็นการมอบโอกาสให้แก่เขา
หากยืนอยู่ในมุมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จิ๋งจิ่วไม่ควรจะมอบโอกาสนี้ให้แก่จักรพรรดิแห่งหมิง แต่เขาก็มิได้ปฏิเสธ เพราะเขารู้ว่าจักรพรรดิแห่งหมิงคิดจะทำอะไร
ก็เหมือนอย่างในตอนที่ซือเฟิงเฉินฆ่าตัวตายต่อหน้าเขา เขาสามารถหยุดอีกฝ่ายได้แต่กลับไม่ทำ
ที่ผ่านมาเขาให้ความเคารพต่อการตัดสินในครั้งสุดท้ายของชีวิต
เพราะความเป็นความตายสำคัญที่สุด
……
……
บางครั้งคุกสะกดมารก็เป็นเหมือนเมืองที่ถูกข้าศึกล้อมเอาไว้
คนที่อยู่ในเมืองอยากจะออกไป แต่ด้านนอกเมืองกลับมีบางคนอยากเข้ามา
ในตอนที่จิ๋งจิ่วเตรียมจะออกไปจากที่นี่ ในตอนที่จักรพรรดิแห่งหมิงตัดสินใจที่จะถูกคนของตนลืมเลือน กลับมีคนคิดอยากจะเข้ามายังคุกสะกดมารเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
หลายวันก่อนกรมชิงเทียนได้ส่งนักโทษร้ายแรงผู้หนึ่งเข้ามายังคุกสะกดมาร ว่ากันว่าเขาเป็นมันสมองของปู้เหล่าหลิน บำเพ็ญเพียรไม่เป็น แต่อันตรายเป็นอย่างมาก
ในส่วนลึกของภูเขาหินที่อยู่ชั้นบนสุดของคุกสะกดมาร ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่ด้านหน้าประตูห้องขัง
เขามิได้เป็นมันสมองของปู้เหล่าหลิน หากแต่เป็นเพียงจดหมายฉบับหนึ่งที่องค์ชายจิ่งซินให้เจ้ากรมชิงเทียนส่งเข้ามา
ในเมื่อเขาเป็นจดหมาย เขาก็ย่อมไม่มีทางรู้ว่าจดหมายฉบับนี้จะถูกส่งไปที่ใด
ประตูห้องขังค่อยๆ เปิดออก ชายชราผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ในคุกสะกดมารมืดมิดเป็นอย่างมาก ไม่มีแสงสว่างใดๆ แต่ใบหน้าของชายชราผู้นั้นกลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เพราะร่างกายของชายชรากำลังเปล่งแสงอยู่
ผมเผ้าของชายชรายุ่งเหยิงคล้ายกองวัชพืช ด้านในผมคล้ายมีบางอย่างปูดนูนขึ้นมาสองแห่ง ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
ชายวัยกลางคนค่อนข้างสงสัย ในใจครุ่นคิดว่าในคุกสะกดมารไม่มีผู้คุมแม้แต่คนเดียว มีเพียงหุ่นเชิด แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงมีชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาได้?
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ออกมา”
ชายวัยกลางคนอยากจะบอกว่าสองเท้าของตัวเองถูกตรวนล่ามเอาไว้อยู่ จึงก้มหน้ามองไป แต่กลับพบว่าตรวนได้เปิดออกตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ จึงรีบเดินตามออกไป
ทั่วทุกที่บนหน้าผาล้วนแต่เต็มไปด้วยเสียงตะโกนอย่างคุ้มคลั่งและเสียงร้องเพลง ส่วนนักโทษที่มีสติเหล่านั้นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมาเมื่อมองเห็นชายชราผู้นั้น
ชายชรามองไปยังหน้าผาที่อยู่ในความมืดมิด เสียงตะโกนและเสียงร้องเพลงอันบ้าคลั่งเหล่านั้นพลันหยุดลง จากนั้นเขาหันมามองชายวัยกลางคนแล้วพูดว่า “เจ้าอยากส่งจดหมายให้ใคร?”
ชายวัยกลางคนกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้ส่งให้ใคร แต่ตอนนี้ดูแล้วน่าจะส่งให้ท่าน”
ชายชรากล่าวถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร?”
ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะ
ปู้เหล่าหลินรู้ว่าองค์ชายจิ่งซินไม่มีทางกล้าปิดบังสำนักจงโจว เช่นนั้นไม่ว่าจะส่งใครเข้ามา นับตั้งแต่ที่เข้ามาในคุกสะกดมารก็จะต้องถูกจับตามองอย่างแน่นหนาแน่นอน ไม่มีทางจะทำอะไรได้สำเร็จ แต่ตัวชายวัยกลางคนนั้นไม่ได้คิดอยากจะทำอะไร เขาเป็นแค่เพียงจดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น
ใครมาหยิบจดหมายฉบับนี้ ผู้นั้นก็คือคนรับจดหมาย
ชายชรากล่าว “เนื้อหา”
ชายวัยกลางคนกล่าว “ในคุกสะกดมารมีผีตัวหนึ่ง”
ในดวงตาของชายชราเผยให้เห็นสายตาที่โหดร้ายและเย้ยหยัน “ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้จริงๆ ว่าข้าคือใคร มิเช่นนั้นไม่มีทางที่จะกล่าวคำพูดที่ไร้สาระเช่นนี้ออกมาได้”
ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในคุกสะกดมารไม่มีทางรอดสายตาเขาไปได้
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ ชายชราก็มิได้สนใจชายวัยกลางคนอีก เขาเดินเข้าไปยังส่วนลึกของคุกสะกดมาร เงาของแสงที่เปล่งออกมาจากร่างกายยังคงค้างอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน
จากผาขาดมาถึงชั้นสองของคุกสะกดมารอันร้อนระอุ จากนั้นมาถึงลำธารภายในภูเขาที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ
ชายวัยกลางคนรู้ว่าตนเองใกล้ตายแล้ว
ชายชรายื่นมือผลักเขาตกลงไปจากหน้าผา
ชายวัยกลางคนตกลงไปในบึงน้ำ สองมือตะเกียกตะกายดิ้นรน
ไม่นานเนื้อหนังก็หลุดลอกออกมาจากแขนของเขา เผยให้เห็นกระดูกสีขาว
ใบหน้าเขาเผยให้เห็นสีหน้าหวาดกลัว จากนั้นก็ค่อยๆ เปื่อยยุ่ย กลายเป็นภาพอันน่าหวาดกลัว
ใช้เวลาไม่นานนัก เขาก็จมหายไปในบึงน้ำ กระทั่งกระดูกก็ไม่เหลือ
ชายชรายังคงรู้สึกหิว ยังไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไร
จากนั้นเขาค่อนข้างแปลกใจ เพราะจดหมายที่ปู้เหล่าหลินส่งมานั้นมีแค่ประโยคนี้จริงๆ
ในคุกสะกดมารมีผีตัวหนึ่ง
เขามองไปยังบึงที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจครุ่นคิด หวังว่าผีตัวนี้จะทำให้ตนเองอิ่มได้นะ