มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 54 การปรากฏตัวครั้งแรกของกระบี่เซียนแห่งยมโลก
นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น
คำพูดที่ทรงพลังเช่นนี้ ตามหลักแล้วหลังจากนี้เขาจะต้องหมุนตัวกลับมาสู้กัน จนกระทั่งตัดสินแพ้ชนะและตายกันไปข้างหนึ่ง
แต่หลังจากจิ๋งจิ่วกล่าวคำพูดประโยคนี้ เขากลับทะยานเข้าไปในความมืด ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็วราวภูตผี
ชายชราปล่อยมือที่ปิดปากออก เลือดสดๆ ไหลลงพื้น ก่อนจะกลายเป็นควันแล้วสลายหายไป
ในฝ่ามือของเขามีวัตถุสีขาวเล็กๆ น่าจะเศษเขี้ยวของเขา
จิ๋งจิ่วแข็งเกินไปจริงๆ กระทั่งเขี้ยวมังกรก็มิอาจแทงทะลุ กลับกลายเป็นแตกออกมา
ชายชราเงยหน้ามองไปในความมืด สายตาโกรธแค้น แต่บนใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าร้อนใจ
เขาไม่รู้ว่าในชั้นล่างสุดของคุกสะกดมารเกิดอะไรขึ้น แต่ที่นี่ไม่มีใครที่จะหนีรอดไปจากการรับรู้ของเขาได้
เขารู้ว่าในเวลานี้จิ๋งจิ่วไปอยู่ที่ไหนแล้ว ความโกรธแค้นในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความกระหายในการสังหารอันรุนแรง แขนเสื้อทั้งสองข้างสะบัดออก ร่างกายทะยานขึ้นไป ความมืดเริ่มหมุนขึ้นมา
จิ๋งจิ่วเป็นเหมือนควันสายหนึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็มาถึงด้านหน้าผาขาดแห่งนั้น ขอเพียงกระโดดขึ้นไป เขาก็จะกลับไปยังชั้นหนึ่งของคุกสะกดมาร
ร่างกายของเขาพลันหายไป ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาถึงตรงกลางหน้าผาแล้ว จากนั้นก็มาถึงบนหน้าผา
ลมที่นี่ยังคงร้อนระอุ แห้งแล้งจนไม่มีความชื้นแม้แต่นิดเดียว จิ๋งจิ่วมองดูหินกรวดที่เป็นสีแดงเล็กน้อยตรงใต้เท้า ก่อนจะพบว่าตนเองยังอยู่ที่ชั้นสอง
เขามิได้สนใจสายตาที่มองมาจากในห้องขังเหล่านั้น หลังครุ่นคิดเล็กน้อยเขาก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในเวลาเดียวกับที่เขาทะยานขึ้นไปบนผาขาด ชายชราก็สลับฟ้าดินภายในคุกสะกดมาร
ฟ้าดินผืนนี้ล้วนแต่อยู่ในความคิดของมังกรชางหลง การคิดจะหนีออกไปนั้นมิใช่เรื่องง่าย
ความมืดอันมืดมิดถูกฉีกขาด ลมที่เย็นสบายแผ่ไอร้อนออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกลายเป็นลมอันร้อนระอุอย่างรวดเร็ว
ชายชราก้าวเดินออกมาจากในความมืด
จิ๋งจิ่วทะยานไปอีกด้านหนึ่งอย่างไม่ลังเล รวดเร็วเป็นยิ่งนัก แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกลก็ถูกพลังที่ไร้รูปร่างสายหนึ่งพันธนาการเอาไว้
ตัวเขาในเวลานี้คล้ายผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่งที่บินเข้าไปชนกับใยแมงมุม
ชายชราปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา จ้องมองเขาพลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าหนีไปไหนไม่รอดหรอก”
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร
ชายชรารับรู้ถึงความเจ็บปวดภายในปาก ภายในใจนึกว่าตนเองคาดเดาได้แล้วว่าจิ๋งจิ่วกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มเยาะพลางกล่าว “ฆ่าคนคนหนึ่งมันมีอยู่หลายวิธี”
ครั้นพูดจบ พลังอันรุนแรงสายหนึ่งก็ฉีกความมืด ถาโถมเข้ามาราวกับลมอันคุ้มคลั่ง ฟ้าค่อยๆ ตกลงมา พื้นค่อยๆ ยกตัวขึ้น
แรงกดดันที่ไร้รูปลักษณ์จากฟ้าดินพุ่งเข้ามาจากทุกด้าน เป็นเหมือนแผ่นเหล็กที่หนักอึ้งจำนวนนับไม่ถ้วน กดทับเข้ามายังร่างกายของจิ๋งจิ่ว
ต่อให้เป็นวัตถุที่แหลมคมแค่ไหน แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ส่งผลได้กับเพียงวัตถุที่มีรูปร่างเท่านั้น
ชุดขาวที่ขาดรุ่ยของจิ๋งจิ่วถูกทับจนกลายเป็นเหมือนใยฝ้ายติดอยู่บนร่างกาย สองมือที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อขาวซีดเป็นอย่างมาก มองไม่เห็นเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว
สายตาของชายชรายิ่งเย็นยะเยือก แรงกดดันจากฟ้าดินยิ่งหนักอึ้ง
ใบหน้าของจิ๋งจิ่วถูกพายุกระบี่ปิดบังอยู่ มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่กลับมองเห็นสีชมพูกำลังปรากฏขึ้นมาลางๆ ได้ นั่นน่าจะเป็นเลือด
ชายชรากล่าว “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนที่ตายได้”
“ข้าเป็นคน ย่อมต้องตายได้”
จิ๋งจิ่วมองเขาพลางกล่าว “แต่ข้าเคยบอกแล้วว่านี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น หากคิดอยากจะฆ่าข้า เจ้าต้องใช้เวลามากกว่านี้ หาวิธีการให้มากกว่านี้”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ ร่างกายเขาก็สั่นขึ้นมาเบาๆ คล้ายเปลวเพลิงที่ไร้รูปร่างดวงหนึ่งกำลังวูบไหวไปมาตามลม อาจจะดับลงได้ทุกเมื่อ
เสียงหวึ่งเบาๆ ดังขึ้น แรงกดดันจากฟ้าดินกระแทกลงบนพื้น ฝุ่นควันคละคลุ้ง
เปลวเพลิงที่ไร้รูปร่างดวงนั้นดับลง แต่ทันใดนั้นมันกลับไปลุกอยู่ในอีกที่หนึ่ง
จิ๋งจิ่วหายไปจากตรงหน้าชายชรา ก่อนจะปรากฏตัวห่างออกไปหลายลี้
เมื่อเห็นภาพนี้ ชายชราเผยให้เห็นสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
คนอยู่ในฟ้าดิน แล้วจะหลบหนีฟ้าดินไปได้อย่างไร?
สิ่งที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกตกตะลึงก็คือความเร็วของศิษย์ชิงซานผู้นี้เร็วกว่ากระบี่บินเสียอีก แทบจะก้าวข้ามนิยามของคำว่าเวลา เขาทำได้อย่างไรกัน?
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ชายชราก็เหยียบไปในความมืด ก้าวหนึ่งก็ทะยานออกไปไกลหลายลี้ ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
สีหน้าของเขาคร่ำเคร่งขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า “จริงอยู่ที่เจ้าเร็ว แต่สุดท้ายก็มิอาจเร็วไปกว่าข้า”
หากพูดถึงการเคลื่อนไหวและความเร็วแล้ว วิชาหลบหนีฟ้าดินของสำนักจงโจวนั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ชายชราได้ฝึกวิชาหลบหนีฟ้าดินจนถึงขั้นสุดยอด ต่อให้เป็นกิเลนและเจ้าสำนักจงโจวก็ยังมิอาจเทียบเขาได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือที่นี่คือคุกสะกดมาร เมื่อมีความช่วยเหลือจากวิชาหลบหนีฟ้าดิน ชายชราก็สามารถปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดก็ได้ แทบจะมองข้ามเวลาไปเลยก็ว่าได้
จิ๋งจิ่วหนีรอดออกมาจากเขี้ยวมังกร และครั้งนี้ก็หนีรอดจากการโอบล้อมของฟ้าดิน วิชาที่เขาใช้ล้วนแต่เป็นวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกที่เขาฝึกฝนอยู่ในชั้นล่างของคุกสะกดมารอย่างยากลำบากเป็นเวลาสามปี
พื้นฐานของวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกก็คือวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณ ดังนั้นเขาถึงได้วูบไหวไปมาไม่นิ่ง ยากที่จะไล่ตาม ทะยานออกไปหลายลี้ในชั่วพริบตา ราวกับผีก็มิปาน
นี่คือการปรากฏตัวขึ้นบนโลกครั้งแรกของกระบี่เซียนแห่งยมโลก
วิชาผีกระบี่ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้แสดงผลลัพธ์และศักยภาพที่แฝงอยู่อันน่าเหลือเชื่อออกมา แต่น่าเสียดายที่มันต้องมาเจอกับมังกรชางหลงที่เร็วที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
จิ๋งจิ่วไม่เสียใจ แล้วก็มิได้มีความรู้สึกพ่ายแพ้และสิ้นหวัง
สายตาเขายังคงสงบนิ่ง เรียกได้ว่ากำลังเฝ้ารอคอย
นี่คือเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
ชายชราลงมืออีกครั้ง
ฟ้าดินประกบเข้ามาอีกครั้ง
ร่างกายของจิ๋งจิ่วคล้ายเบาขึ้นอีกครั้งราวภาพลวงตา เปลวไฟที่เหมือนไร้รูปร่างลอยไปลอยมา ก่อนจะหายวับไป ในตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง มันก็อยู่ห่างออกไปหลายลี้แล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายชราเดินออกมาจากในความมืด ยื่นฝ่ามือฟาดลงไปยังศีรษะของเขา
ฝ่ามือยักษ์ที่เหมือนหลังคาทรงโค้งยังไม่ทันจะได้สัมผัสตัว เสื้อผ้าของจิ๋งจิ่วก็โบกสะบัดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะทะยานพุ่งออกไปหลายร้อยจ้างราวภูติผี
ชายชราสีหน้าเรียบเฉย มือขวากำแน่น
มือยักษ์ข้างนั้นทำให้เกิดลมอันคลุ้มคลั่ง บดขยี้ความว่างเปล่าเป็นวงกว้างหลายร้อยลี้
ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดนี้ จิ๋งจิ่วหายวับไป เหลือไว้เพียงแขนเสื้อท่อนหนึ่งที่ลอยร่วงตกลงมาบนพื้น กลายเป็นฝุ่นควัน ปะปนเข้ากับกรวดทราย ก่อนจะหายไป
ชายชราไล่ตามไป
……
……
ในฟ้าดินอันมืดมิด ร่างกายของจิ๋งจิ่วและชายชราปรากฏขึ้นไม่หยุด จากนั้นหายไป การไล่ล่าที่อันตรายที่สุดดำเนินไปอย่างเงียบๆ
คุกสะกดมารนั้นเป็นเขตแดนของชายชรา ถึงกระบี่เซียนแห่งยมโลกจะแปลกประหลาดยากคาดคะเนอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะหลบการบีบอัดของฟ้าดินในทุกๆ ครั้งได้ จิ๋งจิ่วถูกโจมตีหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ความเร็วของเขากลับยิ่งเพิ่มขึ้น เขามักจะใช้การเคลื่อนไหวอันน่าเหลือเชื่อหลบอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดไปได้ ถึงขนาดทิ้งห่างชายชราออกไปเรื่อยๆ
สีหน้าของชายชราดูแย่
ด้วยสถานะและความอาวุโสของเขาในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต การที่ใช้เวลานานขนาดนีแล้วยังไม่สามารถจับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอเช่นนี้ได้ นับเป็นเรื่องที่น่าอับอายเป็นอย่างมาก
ความร้ายกายของกระบี่เซียนแห่งยมโลกย่อมต้องเป็นสาเหตุสำคัญ
แต่ก็เป็นเพราะว่าในคุกสะกดมารแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ชายชราจึงไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ นี่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด ดังนั้นจึงยิ่งโกรธเกรี้ยว
เขารู้สึกว่าหากยังไล่โจมตีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มผู้นั้นอาจจะหนีรอดไปได้จริงๆ ก็ได้
ชายชราพลันหยุดฝีเท้า หลับตาลง กางแขนทั้งสองข้าง แผ่ไอพลังอันรุนแรงออกมา สื่อสารกับฟ้าดินที่อยู่ห่างออกไป
รอยเงาหลายสิบเส้นเปลี่ยนกลับคืนเป็นร่างจริง ร่างของจิ๋งจิ่วปรากฏขึ้นตรงหน้าผาขาดอีกครั้ง
ชุดของเขาพลิ้วไหว ดูราวกับเซียน แล้วก็คล้ายภูตผี
ทันใดนั้น หน้าผาพลันถล่มลงมา คล้ายกับภูเขาทั้งลูกเอนล้มลงมา ก่อนจะทับจิ๋งจิ่วเอาไว้ด้านล่าง
มีเสียงเบาๆ ดังขึ้น คล้ายถุงสุราถูกเจาะแตก บริเวณผาหินมีโพรงปรากฏขึ้นมาโพรงหนึ่ง จิ๋งจิ่วบินออกมาพร้อมกับเศษหินที่แตกกระจาย
แต่บนอากาศกลับมีทะเลเพลิงถาโถมเข้ามา บีบจนเขาต้องล่าถอยกลับมา สุดท้ายตกลงไปบนทุ่งกว้าง
ทั่วทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยเศษดินทราย เสื้อผ้าขาดวิ่น ก้มหน้าส่งเสียงไอออกมาเล็กน้อย ดูสิ้นสภาพทุลักทุเล
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ชายชราจ้องมองดูใบหน้าเขาพลางถาม
สำหรับเขาแล้ว สภาวะของจิ๋งจิ่วต่ำต้อยจนไม่มีค่าให้พูดถึง แต่ความเร็วกลับเร็วจนยากจะจินตนาการได้
จิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวของจิ๋งจิ่วก็ไม่เหมือนกับวิชาขี่กระบี่ใดๆ ที่เขารู้จัก แล้วก็มิใช่วิชาหลบหนี กระทั่งเขาก็ไม่สามารถมองออกได้
“อายุเพียงเท่านี้กลับมีสภาวะขั้นจิตก่อรูป…หากเรียกตามพวกเจ้าก็คงจะเป็นคเนจร ดูแล้วหากมิใช่เจ้าล่าเยวี่ยก็ต้องเป็นศิษย์คนสุดท้ายของหลิ่วฉือที่ร่ำลือกัน”
ชายชรากล่าวเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าเป็นผู้ชาย เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นจัวหรูซุ่ย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ต้องถามแล้ว เพราะข้าไม่มีทางยอมรับอะไรทั้งนั้น”