มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 56 แผ่นดินไหวที่เมืองเจาเกอ
เมืองเจาเกอถูกความมืดปกคลุม กำลังอยู่ในช่วงที่มืดที่สุดก่อนเวลารุ่งสางจะมาถึง
ภายในเรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากวัดไท่ฉางพลันมีเสียงดังขึ้น คล้ายมีอะไรบางอย่างตกแตก
ลู่กั๋วกงตื่นขึ้นมาจากความฝัน ยันกายลุกขึ้นนั่ง มองไปที่พื้นพบว่ามีเครื่องลายครามที่ล้ำค่าชิ้นหนึ่งได้ตกลงมาแตกเป็นเสี่ยงๆ สีหน้าจึงเปลี่ยนขึ้นมาทันที
ดึกขนาดนี้แล้วยังจะมีใครมาเรียก? หรืออาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วกลับมาแล้ว?
เขาพลันรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา เมื่อลุกขึ้นยืนจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่กลับได้ยินเสียงดังวุ่นวายจากด้านนอกประตู จึงพบว่าเรื่องราวไม่ถูกต้องเสียแล้ว เขาผลักประตูออกไป ก่อนจะพบว่าเรือนกั๋วกงกำลังตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย
โคมไฟที่เพิ่งจุดขึ้นมา ค่อยๆ ส่องสว่างระเบียงทางเดิน
ลู่หมิงรีบพาพวกพ่อบ้านเข้ามา ในมือกำลังมัดกางเกงอยู่
“มีอะไรหรือ?” ลู่กั๋วกงมองดูบุตรชาย พลางกล่าวถามด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ลู่หมิงกล่าว “แผ่นดินไหว เมื่อครู่ไหวแรงมากขอรับ”
ลู่กั๋วกงถึงได้รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยหลังตื่นขึ้นมา
ภายในเรือนกั๋วกงมีคนตื่นขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพากันวิ่งออกมายังลานด้านนอกด้วยสีหน้าสับสนและหวาดกลัว
สถานการณ์ที่ด้านนอกเรือนกั๋วกงเองก็ไม่ต่างกันเท่าไร
ชาวบ้านที่ตกใจตื่นขึ้นมาพากันออกมาบนถนน อุ้มเด็กเล็ก จูงคนแก่ เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย แม้จะขยี้ตา แต่ความง่วงได้หายไปจนหมดแล้ว
เสียงระฆังดังสะท้อนไปมาระหว่างถนนและตรอกซอกซอยเพื่อนเป็นเสียงสัญญาณเตือน ไกลออกไปมีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา กองทัพเสินเว่ยกำลังรวบรวมพลเพื่อออกมารักษาระเบียบภายในเมือง
เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสำรวจธรณีรีบเข้าวังหลวง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนก็ไปยังที่ต่างๆ ภายในเมืองเจาเกอ พลังที่แข็งแกร่งที่สุดสายนั้นเดินทางไปยังวัดไท่ฉาง
ฟ้ายังไม่สาง เมืองเจาเกอก็ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว
ลู่กั๋วกงเดินเข้าไปในวัดไท่ฉาง สีหน้าดูแย่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนไม่เต็มอิ่มหรือเปล่า
เจ้าหน้าที่กะกลางคืนรู้สึกนับถือ คิดในใจว่ากั๋วกงช่างขยันจริงๆ ลูกน้องยังไม่มีใครมาสักคน แต่เขากลับมาถึงแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเลยว่าในเวลานี้วัดไท่ฉางได้มีคนสำคัญจำนวนมากเดินทางมาถึงแล้ว
……
……
“แน่ใจนะว่ามากจากด้านล่าง?” ลู่กั๋วกงมองดวงตาของจางอี๋อ้ายพลางถาม
จางอี๋อ้ายเป็นเจ้ากรมชิงเทียน ความกดดันที่ต้องแบกรับมิได้น้อยไปกว่าลู่กั๋วกงเลย สีหน้าเขายิ่งดูแย่พลางกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”
เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ดูแลเรื่องธรณีผู้หนึ่งของดูของวิเศษที่อยู่ในมือพลางกล่าว “จุดกำเนิดแผ่นดินไหวอยู่ใต้เท้าของพวกเราลึกลงไปเจ็ดลี้ ข้าน้อยไม่ค่อยเข้าใจว่าที่ันั่น…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ ลู่กั๋วกงกล่าวกับลูกน้องว่า “เชิญท่านเจียงออกไปก่อน”
หลังเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ดูแลทางด้านธรณีถูกพาออกไป เหอกั๋วกงที่พอจะรู้เรื่องภายในวัดไท่ฉางกล่าวขึ้นมาว่า “หรือว่า…มังกรตื่นขึ้นมาแล้ว?”
ลู่กั๋วกงมองดูเขาเหมือนมองดูคนโง่ ในใจครุ่นคิดว่ามังกรชางหลงไม่เคยหลับ แล้วจะตื่นขึ้นมาได้อย่างไร?
ชายผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นภายในวัดไท่ฉาง ท่าทีดูสุขุมและแข็งแกร่ง
จางอี๋อ้ายสืบเท้าเข้าไปคารวะ “ศิษย์พี่เยวี่ย”
ชายผู้นี้คือเยวี่ยเชียนเหมิน เป็นเจ้าแห่งหุบเขาเฉียนหยวนของสำนักจงโจว เป็นยอดฝีมือขั้นสูญตา สภาวะและความอาวุโสสูงส่ง
เวลานี้เขายังมีอีกสถานะหนึ่ง นั่นก็คือแขกที่มารับใช้อยู่ภายในตำหนักองค์ชายจิ่งซิน
เยวี่ยเชียนเหมินสีหน้าเย็นยะเยือก กล่าวว่า “เหตุใดถึงยังไม่เข้าไป? มัวยืนงงอยู่ตรงนี้ทำอะไร?”
สถานะของเจ้าแห่งหุบเขาเฉียนหยวนภายในสำนักจงโจวน่าจะเท่ากับสถานะของยอดเขาซั่งเต๋อในสำนักชิงซาน
ถึงแม้จางอี๋อ้ายจะเป็นเจ้ากรมชิงเทียน เป็นขุนนางใหญ่โตในราชสำนักนัก แต่ในสายตาของเยวี่ยเชียนเหมิน เขายังคงเป็นศิษย์น้องที่ไม่ประสีประสาผู้นั้น ท่าทีที่ปฏิบัติต่อเขาดูสบายๆ
คุกสะกดมารอยู่ด้านล่างวัดไท่ฉาง จู่ๆ พลันเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ดูแล้วน่าจะเกิดเรื่องขึ้น ทางสำนักจงโจวย่อมต้องกังวลใจ
ลู่กั๋วกงพลันกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าย่อมต้องเป็นคนจัดการเอง ผู้อาวุโสเยวี่ยโปรดใจเย็นก่อน”
เยวี่ยเชียนเหมินกล่าวด้วยสายตาเย็นยะเยือก “กั๋วกงน่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของสำนักข้ากับคุกสะกดมาร”
ลู่กั๋วกงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเยวี่ยน่าจะยังไม่ลืมว่าในข้อตกลงระหว่างราชสำนักกับเขาอวิ๋นเมิ่งในอดีตระบุเอาไว้ชัดเจน วัดไท่ฉางจะเป็นผู้ดูแลคุกสะกดมาร”
เยวี่ยเฉียนเหมินเป็นใคร ไหนเลยจะหวาดกลัวกั๋วกงผู้หนึ่งได้ สายตาเขายิ่งเย็นยะเยือก กล่าวว่า “หากในเวลานี้ข้าจะเข้าไปให้ได้ล่ะ?”
ลู่กั๋วกงสีหน้าไม่เปลี่ยน กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าย่อมต้องขวางท่าน”
สายตาของเยวี่ยเชียนเหมินมองไปยังแขนเสื้อของลู่กั๋วกง ก่อนจะกล่าวด้วยควาโมโหปนขำว่า “กั๋วกงคิดจะใช้ของวิเศษของสำนักข้ามาโจมตีข้าที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักจงโจวอย่างนั้นหรือ?”
ภายในแขนเสื้อของลู่กั๋วกงมีอาวุธวิเศษที่ทรงอานุภาพแอบซ่อนอยู่ชิ้นหนึ่ง มีชื่อว่าหยาดพิรุณ
เดิมหยาดพิรุณนั้นเป็นอาวุธวิเศษที่สำนักจงโจวมอบให้แก่วัดไท่ฉาง
บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมา
เหอกั๋วกงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย พลางเริ่มพูดกล่อมทั้งสองฝ่าย จางอี๋อ้ายยืนเงียบๆ อย่างลำบากใจอยู่ด้านข้าง
ไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่าในเวลานี้มีแมวขาวตัวหนึ่งฟุบหมอบอยู่บนกำแพงที่อยู่ไม่ไกล
แมวขาวมองไปยังใบหน้าของเยวี่ยเชียนเหมิน สายตาเฉยชา หรือพูดอีกอย่างคือดุร้าย
ทันใดนั้น กำแพงนั้นพลันสั่นไหวขึ้นมา แมวขาวส่งเสียงร้องเมี้ยว ก่อนจะกระโดดเข้าไปในพุ่มหญ้าที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นหายตัวไป
พื้นที่รัศมีหลายลี้โดยมีวัดไท่ฉางเป็นศูนย์กลางเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง กำแพงที่ไม่แข็งแรงบางส่วนพังถล่มลงมา ฝุ่นควันคละคลุ้ง
ลู่กั๋วกงและคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัดไท่ฉางรับรู้ได้อย่างชัดเจน พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนพวกเขาเกือบจะล้มลงไปกับพื้น
เยวี่ยเชียนเหมินสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขากำลังจะพุ่งตัวเข้าไปในส่วนลึกของวัดไท่ฉาง
คุกสะกดมารไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน
ชางหลงจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน!
ลู่กั๋วกงกำหยาดพิรุณเอาไว้แน่น เตรียมจะลงมือขัดขวาง
เยวี่ยเชียนเหมินเป็นผู้อาวุโสขั้นสูญตา สภาวะล้ำลึกจนมิอาจคะเนได้ ก็เหมือนกับผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุดที่มีจำนวนน้อยนิดของสำนักชิงซาน ยากที่อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งจะมาขัดขวางเขาได้ แต่ลู่กั๋วกงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพราะจิ๋งจิ่วยังอยู่ในคุกสะกดมาร ไม่แน่แผ่นดินไหวสองครั้งนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา หากปล่อยให้เยวี่ยเชียนเหมินเข้าไปในคุกสะกดมารและพบเขาเข้า เช่นนั้นจะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่
ในที่สุดแสงอาทิตย์ยามเช้าที่อยู่ไกลออกไปก็ปรากฏกายขึ้นมา แสงสว่างส่องกำแพงวัดไท่ฉาง เปล่งประกายระยิบระยับ
พลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่งปรากฏขึ้น ขวางทางเยวี่ยเชียนเหมินเอาไว้
ประตูหน้าต่างทั้งหมดภายในวัดไท่ฉางพลันพังถล่มลงมา แต่ฝุ่นควันจากในรอยแตกของอิฐกลับถูกสะกดเอาไว้จนไม่กล้าออกมา
แสงสว่างหดหาย เผยให้เห็นร่างคนอ้วนเตี้ยผู้หนึ่ง เขาคือราชองรักษ์ของวังหลวงจินหมิงเฉิง
จินหมิงเฉิงนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร จากนั้นถอยหลังสามก้าวพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา หากไม่มีพระราชโองการและการเห็นด้วยจากลู่กั๋วกง ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าไปในคุกสะกดมาร”
เยวี่ยเชียนเหมินส่งเสียงเหอะออกมา มิได้ลงมืออีก แต่เห็นได้ชัดว่าหากคุกสะกดมารเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาก็จำเป็นต้องทำเรื่องอะไรสักอย่าง
จินหมิงเฉิงมองไปทางจางอี๋อ้ายและเหอกั๋วกง พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงสั่งให้พวกท่านรีบอพยพชาวเมืองทุกคนในเมืองเจาเกอ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหอกั๋วกงและจางอี๋อ้ายต่างตกตะลึง พวกเขาถามซ้ำว่า “ทุกคน?”
จินเหมิงเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถูกต้อง”
……
……
ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ล้วนแต่ต้องทำตาม เพราะนี่คือพระบัญชาของฮ่องเต้
จางอี๋อ้ายและเหอกั๋วกงรีบจากไปอย่างรวดเร็ว เรียกรวมเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนและเจ้าหน้าที่ทุกๆ ฝ่ายในราชสำนัก จากนั้นเริ่มอพยพชาวเมืองในเมืองเจาเกอ
ในเวลานี้ผู้บำเพ็ญพรตในเมืองเจาเกอและสำนักบางสำนักที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงได้แสดงความสำคัญของพวกเขาออกมา
นอกจากเรือบินที่ร่อนลงมาเป็นระยะๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกเขาซึ่งได้รับอนุญาตให้บินไปมาบนท้องถนนได้เป็นกรณีพิเศษได้ทำให้ชาวบ้านที่กำลังอพยพบางส่วนรู้สึกปลอดภัย แต่บางส่วนก็รู้สึกหวาดกลัว
เมื่อมีผู้บำเพ็ญพรตช่วยเหลือ กองทัพเสินเว่ยก็สามารถใช้วิธีที่รุนแรงในการรักษาระเบียบภายในเมืองได้อย่างสะดวก
ม้าเหล็กที่ตัวใหญ่ราวภูเขาได้ตัดคลื่นมนุษย์ที่เบียดเสียดยัดเยียดกันให้กลายเป็นคลื่นที่แตกกระสานซ่านเซ็นไร้ซึ่งพลัง จากนั้นก็ส่งออกไปจากเมืองผ่านทางประตูเมืองและเรือบิน
ทุกคนในเมืองเจาเกอต้องอพยพออกไปจากเมือง เรือนตระกูลจิ๋งเองก็เช่นเดียวกัน
ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ เรือนตระกูลเจ้าและห้างร้านของตระกูลกู้ก็ยังไม่ลืมที่จะส่งคนมาช่วยเหลือ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น
จนกระทั่งสุดท้าย จิ๋งหลีก็ไม่เห็นแมวขาวปรากฏตัว
เด็กหนุ่มนั่งพิงหน้าต่างรถม้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวลใจ