มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 64 เจ็ดสำนักใหญ่เดินทางมาถึงเมืองเจาเกอ
ผ่านไปไม่นาน ทางด้านตะวันออกมีเงาเงาหนึ่งปรากฏขึ้นมา บดบังแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ทอดไปทางตะวันตกเอาไว้
เงาเงานั้นดำมืดเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่มีความรู้สึกชั่วร้ายอะไร ในทางกลับกัน มันกลับให้ความรู้สึกที่สง่าผ่าเผย
เพราะสิ่งที่บดบังแสงอาทิตย์ยามเช้าอยู่คือหินฝนหมึกสี่เหลี่ยมอันหนึ่ง
หินฝนหมึกใช้สำหรับใส่หมึก หมึกใช้สำหรับเขียนหนังสือ ตัวหนังสือมีคุณธรรม มีหลักการ ย่อมต้องสง่าผ่าเผย
หินฝนหมึกอันนี้คือหนึ่งในสี่ของล้ำค่าของเรือนอี้เหมา หินฝนหมึกหางมังกร
ผู้ที่เดินทางมาพร้อมกับหินฝนหมึกย่อมต้องเป็นปู้ชิวเซียนผู้เป็นเจ้าเรือนอี้เหมา
สำนักจงโจวและเรือนอี้เหมามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับราชสำนักอย่างมาก อยู่ใกล้เมืองเจาเกอมากที่สุด ดังนั้นเจ้าสำนักทั้งสองคนจึงมาถึงเร็วที่สุด
ตามหลักแล้ว เมื่อเมืองเจาเกอมีเรื่องใหญ่แบบนี้เกิดขึ้น พวกเขาควรจะลงไปที่วัดไท่ฉางเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พวกเขากลับหยุดอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่าไม่ยอมลงมา
มิใช่เป็นเพราะกลัวจะทำให้ผู้คนแตกตื่น หากแต่เป็นเพราะข่ายพลังของเมืองเจาเกอยังไม่ถูกเปิดออก
—- ไม่รู้ว่ากรมชิงเทียนลืมเรื่องนี้หรือว่ามีเหตุผลอะไรอย่างอื่นแอบซ่อนอยู่
สำหรับเจ้าสำนักจงโจวและปู้ชิวเซียวที่ในมือมีหินฝนหมึกวิเศษอยู่แล้ว การจะทำลายข่ายพลังเมืองเจาเกอนั้นเป็นเรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ แต่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนี้ — นี่เป็นการแสดงความเคารพต่อราชสำนักและฮ่องเต้ เป็นการแสดงความเคารพต่องานชุมนุมเหมยฮุ่ย เป็นการแสดงความเคารพต่อเหล่าอาจารย์ที่เป็นผู้ริเริ่มงานชุมนุมเหมยฮุ่ยขึ้นมา แล้วก็ย่อมต้องเป็นการแสดงความเคารพต่อตัวเอง
แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพราะแผ่นดินไหวในเมืองเจาเกอได้หยุดลงไปแล้วด้วยเช่นกัน
เจ้าสำนักจงโจวได้รับจิตจำแนกจากมังกรชางหลง จึงรู้ว่าสถานการณ์ยังอยู่ในความควบคุม เขาถึงได้รอดูความเคลื่อนไหวของวัดไท่ฉางอยู่บนท้องฟ้ากับปู้ชิวเซียว
หากคุกสะกดมารเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกและชางหลงต้องเจอกับอันตรายจริงๆ พวกเขาย่อมต้องลงมือสังหารจักรพรรดิแห่งหมิงด้วยวิชาที่ร้ายกาจที่สุดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน
วันนี้คุกสะกดมารเกิดความโกลาหลอย่างรุนแรงเช่นนี้ ยอดคนที่แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินเฉาเทียนย่อมต้องทราบว่าเป็นเพราะอะไรอย่างแน่นอน
ภายในวัง
ลู่กั๋วกงถูกเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำเอาตกตะลึงจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นเดินมายังเบื้องหน้าของฮ่องเต้ด้วยขาอันอ่อนแรง กล่าวถามเสียงสั่นว่า “หรือจะเป็นผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ?”
เขาดูแลวัดไท่ฉางมาเป็นเวลาหลายปี คุ้นเคยกับคุกสะกดมารเป็นอย่างดี แล้วก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเหตุใดมังกรชางหลงจึงปรากฏตัวขึ้น จากนั้นกลับไปยังใต้ดินด้วยสภาพที่ดูแย่เช่นนั้น
ฮ่องเต้มองไปทางวัดไท่ฉาง สีหน้าสงบนิ่ง มิได้กล่าวกระไร
ลู่กั๋วกงครุ่นคิดอย่างตกตะลึง หรือว่าอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วเข้าไปในคุกสะกดมารสามปีก็เพื่อจะช่วยผู้นั้นออกมา?
ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาเพิ่งจะหนีออกมาจากคุกสะกดมาร ผู้นั้นก็ลงมือต่อทันที? ไม่อย่างนั้นเหตุใดฝ่าบาทถึงยังทรงใจเย็นเช่นนี้?
จิ๋งจิ่วเป็นศิษย์ชิงซาน เหตุใดจึงทำเรื่องนี้ได้?
ฮ่องเต้มิได้กล่าวกระไร เพียงแต่ส่งสายตาบอกให้พระสนมหูกลับไปยังตำหนักของตัวเองก่อน
ลู่กั๋วกงกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ข่ายพลังของเมืองเจาเกอลืมคลายออก ดูค่อนข้างเสียมารยาทต่อนักพรตถานและเจ้าเรือนปู้ ถ้ายังไง…”
เจ้ากรมชิงเทียนจางอี๋อ้ายเป็นยอดฝีมือของสำนักจงโจว เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะลืมคลายข่ายพลัง ขวางเจ้าสำนักของตัวเองเอาไว้ด้านนอก?
ที่ว่าลืมคลาย ย่อมต้องมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่
ลู่กั๋วกงคาดเดาอะไรบางอย่างได้ รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงถวายคำแนะนำอย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่าฝ่าบาททรงต้องการบันไดสำหรับก้าวลงหรือไม่
ฮ่องเต้ไม่มีทีท่าว่าจะก้าวลงจากบันได หากแต่กล่าวว่า “รอ”
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้เหลือบมองดูท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นแสงที่อยู่ทางตะวันตกหรือว่าหมึกดำที่อยู่ทางตะวันออก
ลู่กั๋วกงเข้าใจความหมายของฝ่าบาท ในใจยิ่งรู้สึกกังวล
เขาเป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก แล้วยังเป็นขุนนางคนสนิทข้างกายฝ่าบาท สถานะภายในราชสำนักสูงส่ง
แต่สองคนที่ถูกข่ายพลังเมืองเจาเกอขวางกั้นอยู่ด้านนอกคือใคร?
นักพรตถานคือผู้นำสำนักฝ่ายธรรมะอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินที่ทุกคนต่างให้การยอมรับ ปู้ชิวเซียวสภาวะอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย แต่เหล่าบัณฑิตแห่งเรือนอี้เหมาที่เขาเป็นผู้นำอยู่เป็นที่รักของเหล่าชาวบ้าน เป็นที่เคารพของเหล่าขุนนาง แล้วยังเป็นฐานรากของทัพหลวง เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของอาณาจักร
ในอีกแง่หนึ่ง ทั้งสองคนที่อยู่บนฟ้านั้นมีสถานะใกล้เคียงกับฮ่องเต้ก็ว่าได้
ลมฤดูใบไม้ผลิไม่อบอุ่น แต่ลู่กั๋วกงกลับเริ่มเหงื่อแตก ด้านหลังชุดขุนนางของเขาใกล้จะเปียกจนชุ่ม
เวลาเคลื่อนผ่านไป
ในที่สุดลู่กั๋วกงก็โล่งใจขึ้น
แสงสีแดงบนท้องฟ้ายิ่งแดงขึ้น มิใช่เป็นเพราะดวงอาทิตย์ หากแต่เป็นเพราะเมฆสีแดงก้อนหนึ่งมุ่งหน้ามาจากทางมั่วชิว นั่นคือดอกบัวของฉานจึ
ข่ายพลังเมืองเจาเกอถูกคลายออก
แสงสว่างนั้นยังคงอยู่ในท้องฟ้าทางตะวันตก
นักพรตถานแห่งสำนักจงโจวเป็นดั่งคำร่ำลือ ใจแห่งเต๋ามั่นคงดุจดั่งหินผา
แสงอาทิตย์ยามเช้าพลันสว่างเจิดจ้า เงามืดในท้องฟ้าทางตะวันออกได้หายไปแล้ว
ปู้ชิวเซียวผู้เป็นเจ้าเรือนอี้เหมาบินลงมาในซากปรักหักพังของวัดไท่ฉาง เก็บหินฝนหมึกหางมังกร ยกมือบอกทุกคนว่าไม่ต้องมากพิธี
เขามองลงไปในหลุมลึกที่อยู่ในคุกสะกดมาร มุมปากยกขึ้นมา เผยให้เห็นรอยยิ้ม
นักพรตถานและฉานจึเดินทางมาถึง ต่อให้จักรพรรดิแห่งหมิงออกมาก็มิต้องกังวล
แต่รอยยิ้มมิได้เป็นเพราะเรื่องนี้ หากแต่เป็นเพราะปฏิกิริยาของเมืองเจาเกอนั้นทำให้เขารู้สึกว่ามันน่าสนใจ
ราชวงศ์ตระกูลจิ่งนั้นสนิทสนมกับวัดกั่วเฉิงที่สุดจริงๆ ด้วย
ทันใดนั้นเอง เจตน์กระบี่อันแข็งแกร่งทรงพลังสายหนึ่งได้พุ่งมาจากทางใต้
ก้อนเมฆอันเบาบางในท้องฟ้าแยกตัวออก จากนั้นรวมเข้าด้วยกันใหม่ รองอยู่ด้านล่างเจตน์กระบี่สายนั้นอย่างนุ่มนวล
เจตน์กระบี่แข็งแกร่งทรงพลัง แต่กลับไม่มีความรู้สึกดุร้ายเกรี้ยวกราดใดๆ หากแต่อ่อนโยนและเที่ยงธรรม เรียกได้ว่าทำให้คนรู้สึกสบายใจ
เจ้าสำนักชิงซาน นักพรตหลิ่วเองก็มาถึงแล้ว
ลู่กั๋วกงสังเกตเห็นว่าฮ่องเต้ทรงเลิกคิ้วเล็กน้อย
ในฐานะที่เป็นขุนนางคนสนิท เขาย่อมต้องทราบถึงความหมายที่แอบซ่อนอยู่ในความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของฝ่าบาท
การเลิกคิ้วนี้มิใช่การดีใจจนลืมตัว หากแต่เป็นความรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง
……
……
พระสนมหูประคองไข่นกจูเชวี่ยใบนั้นกลับมายังตำหนักอย่างระมัดระวัง
นางตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะเอาของสิ่งนี้วางไว้ตรงไหน จึงเตรียมจะถามคนอื่น แต่กลับพบว่าภายในตำนักตกอยู่ในความวุ่นวาย
ที่แท้มีนางกำนัลสองสามคนที่ตกใจเมื่อได้เห็นเทพมังกรปรากฏตัวจนเป็นลมสลบไป ในเวลานี้กำลังทำการปฐมพยาบาลกันอยู่
“พวกไร้ประโยชน์!”
พระสนมหูถ่มน้ำลายคำหนึ่ง ก่อนจะเดินไปด้านใน ในใจครุ่นคิด ไม่รู้ว่าลูกชายของนางจะตกใจจนเป็นลมหรือไม่
เมื่อเดินไปริมหน้าต่าง นางถึงได้พบว่าลูกชายของตนไม่เพียงแต่จะไม่ตกใจ แต่กลับค่อนข้างตื่นเต้น กำลังชี้ภาพเหตุการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าพลางพูดคุยกับกู้ชิง
เมื่อเห็นภาพนี้ นางตกใจอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าที่แท้ลูกที่ตัวเองตั้งครรภ์มาเป็นเวลาหลายปีถึงจะคลอดออกมาเป็นพวกซื่อบื้อแต่ใจกล้าหรือนี่
“แสงนั้นคือเจ้าสำนักจงโจว ในเวลานี้เขาอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่า ตามหลักแล้วพวกเราจะมองไม่เห็น ที่พวกเราสามารถมองเห็นได้เป็นเพราะเขาอยากให้พวกเรามองเห็น เพื่อจะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิด สำนักจงโจวเป็นหนึ่งในผู้นำของสำนักฝ่ายธรรมะ เทียบกับสำนักชิงซานของพวกเราแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางในราชสำนักจำนวนไม่น้อยล้วนแต่เป็นศิษย์สำนักจงโจว ดังนั้นสำนักจงโจวจึงมีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านอย่างมาก เมื่อครู่ผู้ที่ลงมาจากฟ้าผู้นั้นคือเจ้าแห่งเรือนอี้เหมา หลายวันก่อนกระหม่อมเคยทูลพระองค์ไปแล้ว เรือนอี้เหมาสามารถเชื่อถือได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อาจารย์ สำนักจงโจวกับเรือนอี้เหมาเป็นพวกเดียวกันหรือ?”
“จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นยังมีใครเป็นพวกเดียวกับพวกเขาอีก?”
“สำนักคุนหลุนพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้เจ้าสำนักคุนหลุนก็มาหรือ?”
“ทะเลสาบเทียนฉืออยู่ไกลจากเมืองเจาเกอเกินไป สภาวะของเจ้าสำนักคุนหลุนด้อยกว่าเล็กน้อย นกหานเฮ่าที่เป็นสัตว์เทพประจำสำนักก็เดินทางไกลไม่ไหว ดังนั้นจึงน่าจะมาช้าหน่อย บางทีอาจจะมาไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ…”
“ช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงบารมีของสำนักคุนหลุนค่อยๆ ลดลงไป ในสายตาของใครหลายๆ คนมอบว่าสำนักคุนหลุนใกล้จะกลายเป็นสำนักบริวารของสำนักจงโจวไปแล้ว แต่สำนักคุนหลุนนั้นเป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ รากฐานหยั่งลึก ใครจะรู้บ้างว่าภายหน้าจะเป็นอย่างไร”
“อาจารย์ เช่นนั้นใครอยู่ฝั่งเดียวกับสำนักชิงซานของพวกเรา?”
“สำนักอู๋เอินเหมิน ในอดีตสำนักอู๋เอินเหมินได้สู้ตายกับมารเผ่าหมิงอยู่หลายครั้ง สุดท้ายคอยเฝ้าทางแยกของหุบเหวลึกอยู่ที่เขาว่านโซ่ว ด้วยเหตุนี้ โลกแห่งการบำเพ็ญพรตจึงค่อนข้างเคารพนับถือพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เพิ่งจะห้าเอง อย่างนั้นอีกสองสำนักคือสำนักอะไรหรือขอรับอาจารย์?”
กู้ชิงและองค์ชายจิ่งเหยายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูท้องฟ้าพลางคุยเรื่องเหล่านี้
ไม่รู้ว่าองค์ชายเล็กจะฟังเรื่องเหล่านี้เข้าใจทั้งหมดหรือไม่ แต่เขาฟังอย่างตั้งใจมาก รู้สึกค่อนข้างสนใจ
………………………………………………………………