มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 7 ยอดเขาเสินม่อที่ใสซื่อ
สำนักกระบี่ซีไห่เป็นคนจงใจเปิดเผยตำแหน่งเรือนของเทียนจิ้นเหรินให้แก่อินซาน ด้วยคิดอยากจะร่วมมือกับปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน เพื่อทำเรื่องที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเรื่องนี้
ชายหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าที่เดินเข้าในเหลาสุราของเมืองไห่โจวผู้นั้นเป็นคนกลางที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
แผนการของสำนักกระบี่ซีไห่ล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้นยังล้มเหลวอย่างน่าอับอาย เสียหายอย่างหนัก แต่ชายหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นั้นมิได้กังวลว่าตนเองจะถูกลงโทษ เพราะเขาเป็นแขกที่มาสวามิภักดิ์กับซีไห่ สถานะของเขาเองก็มีความพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเรื่องนี้ เขายังมีหน้าที่สำคัญที่ต้องไปทำอีกหลายอย่าง เชื่อว่าเทพกระบี่ซีไห่จะต้องมีความอดทนกับเขามากพออย่างแน่นอน
หลังออกมาจากเมืองไห่โจว เขาก็มิได้กลับไปยังสำนักกระบี่ซีไห่ หากแต่ใช้เส้นสายที่มีในกรมชิงเทียน โดยสารรถของราชสำนักผ่านจังหวัดและมณฑลต่างๆ จนมาถึงจังหวัดอวี้จวิ้น
ทางด้านเหนือของจังหวัดอวี้จวิ้นอยู่ห่างจากเขาอวิ๋นเมิ่งไม่ไกล โอกาสที่จะได้พบเจอผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะก็ยิ่งมีมากขึ้น เขาไม่อยากจะเจอปัญหาวุ่นวาย จึงตรงไปยังเรือนเจินชี่ที่อยู่ในเมืองกุ้ยอวิ๋น หยิบเอาเม็ดบัวพันปีเม็ดหนึ่งที่หาได้ยาก แต่มูลค่าธรรมดาออกมาประมูล
การนัดหมายนี้เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาไม่รู้ว่าคนที่อีกฝ่ายเตรียมเอาไว้จะมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายตอนนี้ออกมาจากสำนักจงโจวแล้ว ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
ในคืนวันเดียวกันนั้น เม็ดบัวพันปีเม็ดนั้นได้ถูกคนประมูลไป พอวันที่สองก็ถูกส่งเข้าไปยังเขาอวิ๋นเมิ่ง
พอวันที่สี่ ชายที่สวมหมวกลี่เม่าก็ได้พบไป๋เจ่า
เขากล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นเจ้า”
ไป๋เจ่ายังคงดูอ่อนแอเหมือนในอดีต น้ำเสียงดูเฉยชา กล่าวว่า “ข้าอยากจะรู้มากกว่าว่าเจ้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มผู้นั้นถอดหมวกลี่เม่าออก จากนั้นปลดเอาหน้ากากสีดำบนใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าสีเขียว
ไป๋เจ่าเลิกคิ้ว กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากให้ศิษย์สำนักฝ่ายธรรมะรู้ว่าเจ้าอยู่ที่เมืองกุ้ยอวิ๋น เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน?”
บนโลกมีผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารอยู่มากมาย คนที่ีมีรูปร่างแปลกๆ ก็มีอยู่มาก แต่คนที่มีใบหน้าสีเขียวกลับมีอยู่น้อย ซูจึเย่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเป็นแขกรับใช้อยู่ที่สำนักกระบี่ซีไห่ พวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าข้า เจ้าน่าจะรู้ดี ข้าไม่ได้เป็นนายน้อยของสำนักเสวียนอินมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว สำนักเสวียนอินมิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับข้าอีก”
ไป๋เจ่ามิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่ถามว่า “เหอจานไปเมืองไป๋เฉิง เจ้ามาหาศิษย์พี่ข้าทำไม?”
ซูจึเย่จ้องมองดวงตาของนาง กล่าวว่า “เม็ดบัวพันปีอยู่ในมือเจ้า เจ้าน่าจะรู้ว่าแผนการในตอนแรกสุดของข้ากับถงเหยียนคืออะไร”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ศิษย์พี่เคยบอกข้าแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ต่อให้เจ้าได้รับความเชื่อใจจากเทพกระบี่ แล้วเจ้าจะฆ่าเขาได้อย่างไร?”
ซูจึเย่กล่าวว่า “ข้าเคยบอกเขาว่ามีวิธี เพราะข้าเพิ่งจะรู้ว่ามีคนที่น่ากลัวอย่างมากสองคนอยากจะจัดการซีไห่”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “กระทั่งเจ้ายังรู้สึกว่าน่ากลัว แล้วไปร่วมมือกับพวกเขา นั่นมิเท่ากับเป็นการไปขอหนังเสือจากเสือหรอกหรือ[1]?”
ซูจึเย่กล่าว “คนที่ข้าต้องการพบคือนักพรตไป๋และนักพรตถาน”
เขาเคยเป็นนายน้อยของสำนักเสวียนอิน ขึ้นชื่อเรื่องพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ในตอนนั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่าลั่วไหวหนานเสียอีก แต่เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเจรจากับนักพรตทั้งสองของสำนักจงโจว
เช่นนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว เขาก็คือคนกลางที่เป็นตัวแทนของคนที่น่ากลัวอย่างมากสองคนนั้น
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “พวกเขาจะทำอะไร?”
ซูจึเย่กล่าวว่า “หลังสำนักกระบี่ซีไห่ถูกทำลาย เส้นปราณวิญญาณจะเป็นของสำนักเสวียนอิน”
ไป๋เจ่ากล่าว “บนโลกไม่มีใครมีค่าเท่ากับเส้นปราณวิญญาณ”
ซูจึเย่กล่าว “ในอดีตถงเหยียนเคยรับปากข้าว่าจะแบ่งเส้นปราณวิญญาณจากเขาคุนหลุนให้ข้าเส้นหนึ่ง ตอนนี้ข้าแค่เพียงเปลี่ยนตัวเลือกนิดหน่อยเท่านั้น ในเมื่อสำนักจงโจวมองว่าตัวเองเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะ หรือว่าพวกเขายังกล้าไปยืดครองเส้นปราณวิญญาณของซีไห่มาเป็นของตนเองอีก?”
ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้าเพิ่งจะบอกว่าเจ้ามิใช่นายน้อยของสำนักเสวียนอินตั้งนานแล้ว สำนักเสวียนอินมิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
ซูจึเย่กล่าวว่า “หากจัดการเรื่องนี้ให้ดี สำนักเสวียนอินย่อมต้องกลับมาเป็นของข้าใหม่”
ไป๋เจ่าพลันถามว่า “เกี่ยวกับเรื่องที่วัดกั่วเฉิงไหม?”
ซูจึเย่กล่าวว่า “คนแก่เหล่านั้นใช้แค่เพียงนิ้วเดียวก็สามารถบี้พวกเราให้ตายได้แล้ว พวกเราแค่ทำหน้าที่ส่งสารก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องไปถาม”
ไป๋เจ่ากล่าว “วางใจได้ ข้าไม่มีทางเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น”
ซูจึเย่กล่าว “รวมไปถึงจิ๋งจิ่ว”
ไป๋เจ่ามองดูเขา มิได้กล่าวกระไร
“เกิดเรื่องอะไรกับถงเหยียนกันแน่?” ซูจึเย่ถาม
ไป๋เจ่ากล่าว “เรื่องที่ไม่ควรถาม ก็อย่าถาม”
ซูจึเย่ยิ้มเล็กน้อย คล้ายใบไม้สีเขียวถูกลมพัด มองดูถนนของเมืองกุ้ยอวิ๋นที่อยู่นอกหน้าต่างพลางกล่าวว่า “ในอดีตลั่วไหวหนานถูกคนฆ่าตายที่นี่ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าถงเหยียนทำเพื่อล้างแค้นให้เจ้า”
ไป๋เจ่ากล่าว “เจ้าอยากพูดอะไร?”
“ลั่วไหวหนานตายไปแล้ว ถงเหยียนทรยศ สถานการณ์ทางชิงซานเองก็มิได้ดีเท่าไร พวกเจ้าสองสำนักได้ชื่อว่าเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะ ตอนนี้ดูเหมือนจะวุ่นวายกว่าฝ่ายอธรรมอย่างพวกข้าเสียอีก”
ซูจึเย่ดึงสายตากลับมา มองดูนางพลางกล่าวว่า “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่านี่เป็นเพราะอะไร?”
……
……
จริงอยู่ที่ที่ชิงซานค่อนข้างวุ่นวาย แต่จิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยยังไม่รู้
เมื่อกลับมายังยอดเขาเสินม่อ จิ๋งจิ่วได้เอากระบี่คมจักรวาลโยนให้กู้ชิง กล่าวว่า “ตอนจะไปค่อยเอาให้ข้า”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่านี่จะไปไหนอีก? นี่ไม่เหมือนกับนิสัยท่านเลย หรือว่าโครงกระดูกของนักพรตไท่ผิงที่อยู่ในคุกกระบี่จะทำให้ท่านรู้อะไรเข้า?
กู้ชิงรับเอากระบี่คมจักรวาลมา พบว่าความรู้สึกเย็นยะเยือกและความว่างเปล่าบนกระบี่ลดน้อยลงไป หรือพูดอีกอย่างก็คือความรู้สึกนั้นได้ฝังลึกเข้าไปในตัวกระบี่แล้ว
หยวนฉวี่ขยับเข้ามาใกล้อย่างอยากรู้อยากเห็น ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉา
กู้ชิงยิ้มๆ ส่งกระบี่คมจักรวาลให้เขา จากนั้นเริ่มรายงานเรื่องราวต่างๆ ให้จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยฟัง
หลายปีมานี้ เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยอดเขาเสินม่อล้วนแต่เขาเป็นคนจัดการ อย่างเช่นเรือนเป่าซู่ อย่างเช่นเมืองเจาเกอ เยอะแยะมากมาย ช่วงครึ่งปีมานี้เกิดเรื่องขึ้นหลายเรื่อง ทางที่ราบหิมะได้โจมตีคลื่นอสูรขนาดเล็กจนล่าถอยไปครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร บรรยากาศของทางเมืองเจาเกอค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง เหล่าอำมาตย์ที่สนับสนุนองค์ชายจิ่งซินได้ถวายฎีกาอีกครั้ง คล้ายคิดอยากจะทำอะไรบางอย่าง สำนักเสวียนหลิงตัดสินใจจัดงานชุมุนมใจกระจ่างในอีกสามปีหลังจากนี้ ไม่รู้ว่านี่หมายความว่าเหล่าไท่จวินใกล้จะไม่ไหวแล้วหรือเปล่า?
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่วอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดว่าหรือท่านจะไปสำนักเสวียนหลิงเพื่อช่วยเซ่อเซ่อฆ่าคน?
กู้งชิงกล่าวต่อว่า ในครึ่งปีมานี้ไม่มีใครพบเห็นร่องรอยของถงเหยียน แต่เมื่อดูจากความเคลื่อนไหวของเมืองเจาเกอและจงโจวแล้ว เหล่าคนสำคัญในเขาอวิ๋นเมิ่งนั้นโกรธเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องที่จิ๋งจิ่วสั่งเอาไว้ในตอนนั้น รายงานสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักเสวียนอินออกมาอย่างละเอียด
“เรื่องเล็กๆ แบบนี้พูดเสียละเอียดขนาดนี้ทำไม?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าทำไมกู้ชิงถึงกลายเป็นคนพูดมากเช่นนี้ เห็นทีน่าจะส่งไปเรียนการปิดวาจาด้วยอีกคน
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขาอีกครั้ง กล่าวว่า “ท่านบอกว่าจะฆ่าหวังเสี่ยวหมิงมิใช่หรือ?”
เมื่อสิบปีก่อน สำนักเสวียนอินได้เปลี่ยนเป็นนิกาย หวังเสี่ยวหมิงเป็นประมุขนิกายคนแรก
ในสายตาชาวโลก ยอดฝีมือวิถีมารที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่คนนี้มีความลี้ลับเป็นอย่างมาก แต่เจ้าล่าเยวี่ยกลับไม่มีทางลืมชื่อของเขา
แต่จิ๋งจิ่วได้ลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว ในเวลานี้เมื่อเจ้าล่าเยวี่ยเตือนขึ้นมาถึงจะนึกขึ้นมาได้ จึงส่งสายตาบอกให้กู้ชิงพูดต่อ
กู้ชิงรู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก แต่สีหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาหยิบเอาจดหมายกระบี่ออกมาฉบับหนึ่งแล้วยื่นส่งให้เจ้าล่าเยวี่ยด้วยสองมือ กล่าวว่า “ชิงซานเรียกประชุมแต่ละยอดเขา แต่เพราะอาจารย์อาหญิงเก็บตัวอยู่ ก็เลยเลื่อนจนมาถึงตอนนี้ขอรับ”
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดว่าจะจัดประชุมชิงซานอีกอย่างนั้นหรือ ครั้งนี้เป็นเพราะใครอีกล่ะ คงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะหลิ่วสือซุ่ยอีกนะ
“เป็นเรื่องหลิ่วสือซุ่ยนั่นแหละขอรับ” กู้ชิงมองดูสีหน้านาง ยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่จัวหรูซุ่ยปากโป้ง พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดกั่วเฉิงมากเกินไปจนหลุดออกมา คนอื่นเลยรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยเคยปรากฏตัวขึ้นที่นั่น”
ตอนนั้นหลิ่วสือซุ่ยถูกจับขังคุกกระบี่เป็นครั้งที่สอง ยอดเขาเสินม่อไม่ทำอะไร ไม่ทันไรก็ผ่านมานานหลายปี ความจริงมีหลายคนคาดเดาได้ว่าหลิ่วสือซุ่ยได้ออกไปแล้ว เพียงแต่ไม่มีหลักฐาน แล้วก็ไม่มีใครกล้าไปสอบถามยอดเขาซั่งเต๋อ
ตอนนี้เมื่อมั่นใจแล้วว่ามีคนเคยเห็นหลิ่วสือซุ่ยที่วัดกั่วเฉิง คนเหล่านั้นย่อมต้องอาศัยเรื่องนี้ก่อเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน ฟางจิ่งเทียนไม่จำเป็นต้องออกหน้าก็ย่อมต้องมีผู้อาวุโสของยอดเขาซีไหลขอให้ยอดเขาซั่งเต๋อกับยอดเขาเสินม่อช่วยอธิบายในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่วเป็นครั้งที่สี่ ในใจคิดว่าจัวหรูซุ่ยทำแบบนี้ เป็นเพราะเจ้าสำนักสั่งมาหรือว่าตัวเขามีแผนอะไรอยู่กันแน่?
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องการประชุมในตำหนักของยอดเขาซีไหลเมื่อหลายปีก่อน ในใจพลันรู้สึกเบื่อหน่าย จึงเดินเข้าไปในถ้ำ ไม่สนใจกู้ชิง
กู้ชิงมองดูเจ้าล่าเยวี่ยด้วยสีหน้าน้อยใจ เจ้าล่าเยวี่ยเอาจดหมายกระบี่ส่งคืนให้เขา ก่อนจะเดินตามจิ๋งจิ่วเข้าไปในถ้ำ
ต่อให้มีคนอยากจะใช้เรื่องนี้โจมตียอดเขาเสินม่อ นางก็ไม่สนใจ ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าจิ๋งจิ่วเป็นใคร อยู่เหนือเจ้าสำนักและกฎกระบี่ ใครยังกล้าเหิมเกริม?
……
……
บรรยากาศในตำหนักของยอดเขาซีไหลมีแรงกดดันเล็กน้อย
หลังมั่นใจแล้วว่าเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วออกมาจากยอดเขากระบี่แล้ว งานประชุมชิงซานก็เริ่มขึ้น แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ยอดเขาเสินม่อยังไม่มีใครมา
ฟางจิ่งเทียนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นพลันมีคนหาวขึ้นมา
หลายคนมองไป พบว่าเป็นจัวหรูซุ่ย
ตอนนี้ผู้อาวุโสมั่วและผู้อาวุโสไป และศิษย์คนอื่นๆ อย่างกั้วหนานซานล้วนแต่ไปรับมือศัตรูอยู่ที่ที่ราบหิมะ คนที่เป็นตัวแทนยอดเขาเทียนกวงเข้าร่วมการประชุมก็คือเขา
“อาจารย์อาทุกท่านมองข้าทำไม? ข้าไม่ได้ยอมรับเสียหน่อยว่าเจอหลิ่วสือซุ่ย พระที่วัดกั่วเฉิงพูดอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
จัวหรูซุ่ยด้านหนึ่งก็หาวออกมา อีกด้านหนึ่งก็กล่าวต่อไปว่า “ต่อให้พระที่วัดกั่วเฉิงไม่ได้โกหก พวกเราก็ต้องไปถามยอดเขาซั่งเต๋อก่อนมิใช่หรือ?”
ความคิดของเขาเหมือนกับเจ้าล่าเยวี่ย
กระบี่ที่โจมตีไปยังวัดกั่วเฉิงครั้งนั้นทำให้เขาเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับยอดเขาเสินม่อเป็นอย่างดี เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องของหลิ่วสือซุ่ยจะสร้างความวุ่นวายได้ขนาดนี้
ส่วนความสัมพันธ์ของยอดเขาซั่งเต๋อกับยอดเขาเสินม่อ เขาไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ในฐานะที่เป็นศิษย์ของยอดเขาเทียนกวง ในเวลาที่สามารถหาเรื่องยอดเขาซั่งเต๋อได้ เขาย่อมไม่มีทางออมมืออย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาคิดในใจว่าคำพูดนี้ก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน หลิ่วสือซุ่ยที่ควรจะถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ จู่ๆ ก็ถูกคนเห็นว่าไปปรากฏตัวอยู่ที่วัดกั่วเฉิง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นปัญหาของยอดเขาซั่งเต๋อ ดังนั้นสายตาเหล่านั้นจึงมองไปทางฉือเยี่ยนที่เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาซั่งเต๋อ
สีหน้าของฉือเยี่ยนดูแย่ เขาไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ จึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ขอทุกท่านรอสักครู่ ยอดเขาซั่งเต๋อต้องมีคำอธิบายให้อย่างแน่นอน”
……
……
ในเรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยออกไปจากคุกกระบี่นี้ ยอดเขาซั่งเต๋อนั้นมิรู้เรื่องราวแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้กลับต้องมาแบกรับแรงกดดันมากมายขนาดนี้ พวกเขาย่อมต้องไม่พอใจ
ดังนั้น ยอดเขาเสินม่อจึงมีพายุหิมะมาเยือน
กระบี่สามฉื่อที่มาพร้อมกับหิมะเป็นตัวแทนของเจตจำนงของกฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิง
เจ้าล่าเยวี่ยกำลังเก็บตัว
การตอบสนองของกู้ชิงเองก็มิได้ช้าไปกว่านาง เขาลงไปจากเขาล่วงหน้า
หลิวอาต้าพาจักจั่นเหมันต์ไปหลบอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ เก็บตัวอยู่เป็นเพื่อนเจ้าล่าเยวี่ย
ยอดเขาเสินม่อเหลือคนอยู่เพียงแค่คนเดียว
เขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับกระบี่สามฉื่อที่เย็นชาและน่ากลัวตามลำพัง
หยวนฉวี่คุกเข่าอยู่หน้ากระบี่สามฉือ กล่าวด้วยสีหน้าจนปัญญาว่า “ท่านปรมาจารย์ลุง ท่านจะโทษข้าไม่ได้นะขอรับ”
ในกระบี่สามฉื่อมีเสียงที่เฉยชาของหยวนฉีจิงดังขึ้นมา “จิ๋งจิ่วล่ะ?”
หยวนฉวี่ชี้ไปทางด้านนอกทะเลเมฆ พลางกล่าวว่า “อาจารย์อาออกไปนานแล้วขอรับ”
……
……
กู้ชิงไปธารสี่เจี้ยน
ตำหนักสี่เจี้ยนเลิกเรียนพอดี เหล่าอาจารย์ออกมาจากห้องเรียนก่อน
หลินอู๋จือและอาจารย์อาเหมยหลี่กำลังเดินมายังริมธารพลางพูดคุยอะไรกัน เมื่อเห็นกู้ชิงจึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
หลายปีมานี้ยอดเขาเสินม่อไม่รับลูกศิษย์อีก ตามหลักแล้วเขาไม่น่าจะมายังธารสี่เจี้ยน
หลินอู๋จือเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนัก อาจารย์อาเหมยหลี่เป็นอาจารย์อารุ่นสองที่มีสภาวะสูงส่ง สถานะภายในยอดเขาชิงหรงมิได้ต่ำต้อย หลายปีมานี้พวกเขาคอยสอนลูกศิษย์ที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักอยู่ในธารสี่เจี้ยน หลายๆ คนมองว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่หลายๆ กลับรู้สึกเคารพพวกเขาเป็นอย่างมาก รวมไปถึงกู้ชิงด้วย
กู้ชิงยิ้มพลางคารวะ กล่าวว่า “ข้าอยากหาคนคนหนึ่งขอรับ”
หลินอู๋จือและอาจารย์อาเหมยหลี่สบตากัน ต่างคนต่างมองเห็นความคิดของอีกฝ่าย จึงถามขึ้นมาพร้อมกันว่า “ใคร?”
กู้ชิงนึกถึงภาพที่อาจารย์บรรยายให้ฟังก่อนจากไป จึงใช้นิ้วมือวาดเป็นใบหน้าหนึ่งขึ้นมาในอากาศ
ภาพที่ใช้นิ้วมือวาดออกมาในอากาศมิได้ใกล้เคียงกับความจริงแม้แต่น้อย แต่หลินอู๋จือกลับมองเห็นอย่างชัดเจน เขากล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ผิงหย่งเจีย?”
กู้ชิงกล่าวว่า “ดูเหมือนพรสวรรค์ของเขาจะทำให้ศิษย์พี่ประทับใจมากทีเดียวนะขอรับ”
หลินอู๋จือส่ายศีรษะพลางกล่าว “จริงอยู่ที่พรสวรรค์ของเด็กคนนี้ไม่เลว แต่นิสัย…ค่อนข้างแปลกไปเสียหน่อย เอาแต่คิดฟุ้งซ่านทั้งวัน”
อาจารย์อาเหมยหลี่ถามอย่างสนใจ “เจ้าจะรับศิษย์หรือ?”
กู้ชิงยิ้มพลางกล่าว “ตัวข้ายังฝึกกระบี่ได้ไม่ดีเลย ไหนเลยจะมีคุณสมบัติไปรับศิษย์ได้ นี่เป็นความคิดของอาจารย์น่ะขอรับ”
หลินอู๋จือสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า “เสี่ยวผิงโชคไม่เลวเลยนะเนี่ย”
อาจารย์อาเหมยหลี่ยิ้มๆ กล่าวว่า “ดูให้แน่ก่อนว่าคนที่ยอดเขาเสินม่อมาหาใช่เขาหรือเปล่า”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มที่ชื่อผิงหย่งเจียก็ถูกเรียกออกมา
กู้ชิงมองดูเขาพลางกล่าวถามว่า “เมื่อหลายวันก่อนเจ้าไปที่ยอดเขากระบี่มาใช่หรือเปล่า?”
ผิงหย่งเจียใบหน้าขาวซีด ในใจครุ่นคิด หรือจะมีคนรู้เรื่องที่ตนเองลบหลู่ร่างของอาจารย์รุ่นก่อนเข้าแล้ว? จึงกล่าวเสียงสั่นเครือว่า “เคยไปขอรับ…”
กู้ชิงถามต่อว่า “ได้เห็นอาจารย์สองท่านนั้นในยอดเขากระบี่หรือเปล่า?”
ผิงหย่งเจียคิดว่าตัวเองไม่รอดแน่นอนแล้ว จึงกล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิด “ศิษย์สายตาไม่ดี ไม่รู้ว่านั่นคือ….”
กู้ชิงยิ้มขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่านิสัยคล้ายยอดเขาเสินม่อจริงๆ ด้วย ไม่แปลกที่อาจารย์จะถูกใจ
เขามิได้กล่าวกระไรอีก คารวะหลินอู๋จือและเหมยหลี่ ก่อนจะขี่กระบี่บินจากไป
ผิงหย่งเจียยืนงืนงงอยู่กับที่ ใบหน้าสับสน ในใจคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
อาจารย์อาเหมยหลี่และหลินอู๋จือยิ้มให้ศิษย์หนุ่มคนนั้นพลางกล่าวว่า “ยินดีด้วย”
……………………………………………………….
[1]ขอหนังเสือจากเสือ หมายถึง ทำเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้