มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 70 บทเพลงจากแม่น้ำหมิง
บนใบหน้าของฉานจึเผยให้เห็นสีหน้าสงสาร กล่าวว่า “เรื่องในอดีตอาตมามิได้จัดการด้วยตัวเอง ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เหมือนการจัดการของผู้อาวุโสรุ่นก่อนจะไม่ค่อยเหมาะจริงๆ แต่ว่า…”
บนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปพลันมีเสียงของนักพรตไป๋ดังขึ้นมา “มีอะไรไม่เหมาะ? ฉานจึโปรดระวังคำพูดด้วย”
เสียงของนางฟังดูค่อนข้างใสซื่อ แต่กลับแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก แล้วก็ดูเย็นยะเยือก
บนท้องฟ้าเหนือเมืองเจาเกอพลันมีหิมะตกลงมา
เสียงที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่านักพรตไป๋เสียงหนึ่งดังขึ้น
“ที่ไม่เหมาะนั้นมีมากมาย อย่างแรกเลยก็คือตอนที่สำนักจงโจวลงมือในครั้งนั้นได้เคยคิดถึงสำนักชิงซานของข้าหรือเปล่า?”
กระบี่สามฉื่อแหวกหิมะมาถึง ชายชราหน้าตาขึงขังที่ยืนอยู่บนกระบี่ผู้นั้นย่อมต้องเป็นกฎแห่งกระบี่ของชิงซาน หยวนฉีจิง
หยวนฉีจิงมองไปยังที่หนึ่งในท้องฟ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นมองไปทางจักรพรรดิแห่งหมิง แต่กลับมิได้กล่าวอะไร
จักรพรรดิแห่งหมิงมองเขา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เจ้าน่าจะได้ยินแล้ว ข้าบอกไปแล้วว่าหากต้องอยู่แบบนี้ สู้ตายไปเสียดีกว่า”
หยวนฉีจิงนิ่งเงียบไปคู่ ก่อนกล่าวว่า “แต่เจ้าก็อยู่มาหกร้อยปีแล้ว”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ตายไปอย่างเงียบๆ กับตายไปในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องไม่เหมือนกัน”
วันนี้เมืองเจาเกอเกิดแผ่นดินไหว ยอดคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์มารวมตัวกัน แต่กลับยังไม่อาจหยุดยั้งเขาจากการตายไปพร้อมกับบรรพจารย์ของสำนักจงโจวได้
วิธีการตายเช่นนี้ต่างหากถึงจะถือว่ามีคุณค่า อีกทั้งน่าสนใจ
นักพรตไป๋ไม่อาจทนต่อไปได้อีก เสียงที่ดังสนั่นราวสายฟ้าฟาดดังขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเมืองเจาเกอ
“เจ้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้วทุกอย่างจะจบอย่างนั้นหรือ? หากเทพมังกรของสำนักข้าเป็นอะไรไป ข้าจะลงไปยังเผ่าหมิงของเจ้า ฆ่าคนของเจ้าหมื่นคนมาฝังเป็นเพื่อนเทพมังกร”
“พวกมนุษย์นี่ซับซ้อนจริงๆ บางคนน่าสนใจ บางคนน่าเบื่อ บางคนน่าเชื่อถือ บางคนไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองไปในท้องฟ้า ยิ้มเยาะเล็กน้อยพลางกล่าว “เจ้าแซ่ไป๋ ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กสาวคนนั้น เช่นนั้นก็เป็นคนที่ไม่น่าสนใจและไม่น่าเชื่อถือ มีสิทธิ์อะไรมาพูดคุยกับข้า”
นักพรตไป๋กล่าวเสียงต่ำ “เจ้าไม่กลัวจริงๆอย่างนั้นหรือ?”
จักรพรรดิแห่งหมิงมิได้สนใจนางอย่างที่ว่าไว้จริง เขามองไปทางฉานจึพลางกล่าว “เจ้าคิดว่าการที่นางจะลงไปสังหารคนเผ่าหมิงหมื่นคนมีเหตุผลหรือเปล่า?”
ฉานจึยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ย่อมไม่มีเหตุผล”
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจน
หากมังกรชางหลงตายไปจริงๆ แล้วนักพรตไป๋จะลงไปฆ่าคนเพื่อระบายความแค้น เขาและวัดกั่วเฉิงจะออกหน้าขัดขวาง
จักรพรรดิแห่งหมิงตกตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบเช่นนี้จริงๆ จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“เจ้าเด็กนี่ช่างน่าสนใจจริงๆ ดูแล้วน่าเชื่อถืออยู่เหมือนกัน ไม่เลว”
ฉานจึเตรียมจะพูดกล่อมเขาอีกสองสามประโยค แต่กลับถูกจักรพรรดิแห่งหมิงยกมือห้ามไว้ จากนั้นถามกลับว่า “พวกเจ้าจะปล่อยข้ากลับไปไหม?”
บนท้องฟ้าเหนือเมืองเจาเกอเงียบสงัด
ไม่ว่าการกระทำของยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในตอนนั้นจะไร้ยางอายหรือไม่ แต่เรื่องราวมันก็ได้ทำไปแล้ว ไม่มีใครที่จะปล่อยเขากลับไป
ไม่ว่าจะเป็นเรือนอี้เหมาหรือว่าฉานจึ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักจงโจว
“เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ จากนั้นหมุนตัวมองไปทางชางหลง
ตัวเขาในเวลานี้เหมือนเป็นเม็ดฝุ่นที่อยู่ตรงหน้าชางหลง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดกลับดูยิ่งใหญ่เสียกว่าชางหลง
“สภาวะของเจ้าสูงส่งถึงเพียงนี้ ลมหายใจมังกรทรงพลังถึงเพียงนี้ เขี้ยวมังกรสามารถแทงทะลุวัตถุที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกได้ แต่เหตุใดกลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองชางหลงพลางกล่าวถามอย่างจริงจัง
ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังหลังจากนี้อาจจะเป็นคำพูดประโยคสุดท้ายที่จักรพรรดิแห่งหมิงทิ้งเอาไว้ให้กับโลกนี้
“เพราะเจ้าโลภมากเกินไป คิดแต่จะกินทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในท้องของตัวเอง ความละโมบเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพิษ สุดท้ายสิ่งที่ถูกเจ้ากินลงไปในท้องล้วนแต่จะกลายเป็นภาระของเจ้า”
จักรพรรดิแห่งหมิงยืนสองมือไพล่หลัง กล่าวว่า “ในกามีสวรรค์อยู่ คำพูดนี้มีผิด จริงอยู่ที่อาศัยอยู่ในนั้นทั้งสบายและอิสระ แต่เมื่อนั่งมองดูท้องฟ้าในกานานวันเข้า โลกของเจ้าจะแคบลงเรื่อยๆ กระทั่งในท้ายที่สุดเจ้าจะไม่มีความกล้าและความปรารถนาที่จะออกมาจากกาใบนั้นอีก เจ้าจะคิดเพียงแต่จะมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ถูกใจที่ละโมบเอาชนะความปรารถนาที่จะสำรวจฟ้าดิน การมีชีวิตอยู่แบบนั้นมันจะต่างอะไรกับตายล่ะ? ดังนั้นวันนี้เจ้าต้องตาย”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หมุนตัวกลับมา กวาดตามองดูใบหน้าของหลิ่วฉือ ฮ่องเต้ นักพรตสถาน ฉานจึทีละคน สุดท้ายจ้องมองดูหยวนฉีจิงอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นเขาเงยหน้ามองขึ้นไปยังที่หนึ่งในท้องฟ้า นักพรตไป๋น่าจะอยู่ตรงนั้น
“มนุษย์อย่างพวกเจ้าก็ละโมบเหมือนอย่างมังกรตัวนี้ เช่นนั้นต่อไปพวกเจ้าจะตายเพราะความละโมบเหมือนกันหรือเปล่า?”
คำพูดจบลงแต่เพียงเท่านี้
กระดูกสีขาวท่อนหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมาจากในปากชางหลง หล่นลงมาในมือของจักรพรรดิแห่งหมิง
นี่คือกระดูกของปีศาจยักษ์ที่อยู่ในบึงเขียวมาเป็นเวลาหลายปี
จักรพรรดิแห่งหมิงยกกระดูกสีขาวท่อนนั้นมาจรดที่ริมฝีปาก เป่าเป็นบทเพลงบทเพลงหนึ่งออกมา
บทเพลงนั้นไม่มีท่วงทำนองอะไร เป็นเพียงเสียงที่ทอดยาวและเนิบช้า ไม่โศกเศร้า ไม่ยินดี ไม่มีอารมณ์ใดๆ
เสียงขลุ่ยของเขาคล้ายสายลมที่เย็นสบาย เดิมก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
ผิวทะเลสาบเกิดคลื่น นั่นคือปัญหาของน้ำ
หมู่สนเอนลู่ลม นั่นคือปัญหาของต้นไม้
เสียงขลุ่ยอันไพเราะตั้งสะท้อนไปบนท้องฟ้าเหนือเมืองเจาเกอ คล้ายสามารถทำให้ใจคนและคลื่นลมในแม่น้ำสงบลงได้
“นี่คือบทเพลงอะไร?”
ปู้ชิวเซียวรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงกล่าวถามเสียงเบาๆ
“เพลงกล่อมเด็กแม่น้ำหมิง”
ฉานจึกล่าวว่า “ชาวหมิงเมื่อตายไปจะถูกนำไปลอยบนแม่น้ำหมิง ญาติสนิทและสหายจะขับกล่อมบทเพลงนี้ขึ้นที่ริมน้ำ อธิษฐานให้คลื่นลมสงบ เพื่อให้ผู้ตายไม่ถูกรบกวน”
บทเพลงจบลง
ดวงจิตของจักรพรรดิแห่งหมิงแตกสลายลอยล่องไปในสายลม
ชางหลงไม่มีลมหายใจอีก ค่อยๆ ร่วงตกไปยังพื้นด้านล่าง
หลังจากนั้นก็มีฝนตกลงมา
ในเขาอวิ๋นเมิ่งที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวดเสียงหนึ่งดังลอยมา
นั่นคือเสียงร้องของกิเลน
……
……
หลังฝนนั้นตกอยู่สิบกว่าวัน เมืองเจาเกอก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับเป็นปกติ
หุบเขาหานสือของสำนักจงโจวและยอดเขาซื่อเยวี่ยของสำนักชิงซานเป็นผู้นำ ผู้บำเพ็ญพรตของสำนักต่างๆ ร่วมแรงร่วมใจกัน ใช้เวลาไม่นานก็ซ่อมแซมถนนและสิ่งก่อสร้างที่เสียหายให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ในที่สุดชาวเมืองก็ได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาในเมือง เมื่อเห็นบ้านเรือนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ชาวเมืองจำนวนมากต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก ความเสียหายอื่นๆ ภายในบ้าน ทางราชสำนักจะเป็นคนชดเชยให้
ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นจะสร้างความตกตะลึงอย่างไรให้แก่ประชาชน มันไม่ใช่เรื่องที่ราชสำนักจะมานั่งคิดอีก
ตกเย็นวันเดียวกันนั้น วัดไท่ฉางที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ก็ได้จัดการประชุมที่สำคัญอย่างยิ่งขึ้นมา
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีของคุกสะกดมารควรจะจัดการอย่างไรย่อมต้องเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะทำการประชุม แต่นั่นคือเรื่องเล็ก
เรื่องที่สำคัญอย่างแท้จริงก็คือการสืบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันวุ่นวายในคุกสะกดมาร
ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์อย่างหลิ่วฉือได้กลับไปยังสำนักของตนก่อนแล้ว แต่เรื่องราวยังคงต้องสืบสวนให้กระจ่าง
ทุกสำนักรวมสามสิบเจ็ดสำนักล้วนแต่มาเข้าร่วมการประชุม ยกเว้นก็แต่เพียงสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย สำนักเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการจัดตั้งงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น นิกายเฟิงเตา หรือแม้แต่สำนักกระบี่ซีไห่ก็ส่งตัวแทนมาเข้าร่วมการประชุม
ผู้ที่ดำเนินการประชุมครั้งนี้มิใช่ลู่กั๋วกงซึ่งเป็นเจ้ากรมวัดไท่ฉาง แล้วก็มิใช่เหอกั๋วกง หากแต่เป็นสมณะตู้ไห่ที่เป็นหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิง
สมณะสูงศักดิ์รูปนี้เป็นตัวแทนที่มีอำนาจอย่างเต็มที่ของฉานจึและเจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิง เขาจึงได้รับการยอมรับจากผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคน
หลังสมณะตู้ไห่ประกาศเปิดการประชุม ภายในวัดไท่ฉางก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทั้งเงียบและกดดัน
ตัวแทนบางสำนักคิดถึงว่าในเวลานี้กระดูกของชางหลงยังคงอยู่ใต้พื้นดินที่อยู่ด้านล่างที่นั่งของตัวเอง จึงยิ่งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สุดท้ายคนที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก็คือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
คำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในที่นี้มิใช่แค่เพียงอยู่ในเหตุการณ์ หากแต่เป็นเพราะเขามีความใกล้ชิดกับคุกสะกดมากที่สุด
ตอนนี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าคุกสะกดมารก็คือชางหลงที่เป็นสัตว์เทพประจำสำนักของสำนักจงโจว
เยวี่ยเชียนเหมินมองดูลู่กั๋วกง พลางกล่าวถามเสียงเย็นยะเยือกว่า “ตอนที่เกิดเรื่องกับคุกสะกดมารวันนั้น เหตุใดกั๋วกงจึงมาห้ามข้า มิให้ข้าเข้าไป?”