มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 71 เบาะแสที่กำลังจะถูกพบ
เยวี่ยเขียนเหมินเป็นผู้อาวุโสขั้นสุญตาที่อยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักจงโจว
ในที่นี้เขามีสภาวะสูงที่สุด ความอาวุโสเองก็สูงที่สุด มีเพียงสมณะตู้ไห่ที่พอจะเทียบเคียงเขาได้ ท่าทีขณะที่ถามย่อมต้องมีความน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ลู่กั๋วกงสีหน้าไม่เปลี่ยน กล่าวว่า “ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามมิให้เข้าไปในคุกสะกดมาร ถึงแม้จะทำการไต่สวนก็ต้องให้หุ่นเชิดเป็นผู้พาออกมา”
ความจริงนักโทษที่ถูกจับไปขังไว้ในคุกสะกดมารได้ถูกกรมชิงเทียนและสำนักต่างๆ จัดการจนสิ้นสภาพไปตั้งแต่แรกแล้ว น้อยนักที่จะมีการสืบสวนเกิดขึ้น
เพียงแต่ผู้บำเพ็ญพรตพรรคมารบางคนมีสภาวะสูงส่งเกินไป ปีศาจบำเพ็ญพรตบางตนแข็งแกร่งเกินไป การจะฆ่าพวกเขาเหล่านั้นให้ตายค่อนข้างยากลำบาก จึงได้แต่ต้องจับพวกเขาไปขังไว้ในคุกสะกดมารรอคอยความตาย
เยวี่ยเชียนเหมินแค่นหัวเราะ กล่าวว่า “สถานการณ์ในวันนั้นเร่งด่วนขนาดนั้น หรือก็ยังไม่อาจยกเว้นได้?”
“กฎก็คือกฎ อย่าว่าแต่ท่านกับข้าเลย ต่อให้นักพรตถานมาเองก็ไม่อาจเข้าไปในคุกสะกดมารได้”
ลู่กั๋วกงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ความจริงแล้วหากมิเป็นเพราะหลายปีมานี้ไม่มีใครเคยเข้าไปในคุกสะกดมาร คนบนโลกไหนเลยจะรู้ว่าชางหลงจะกินคนไปมากขนาดนี้?”
การถามกลับประโยคนี้ดูเหมือนปกติธรรมดา แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ทุกคนครุ่นคิดในใจ ไม่เสียทีที่ลู่กั๋วกงเป็นขุนนางคนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ กระทั่งกับสำนักจงโจวก็ยังมีท่าทีที่แข็งกร้าวเช่นนี้
เยวี่ยเชียนเหมินกล่าวตะคอกเสียงดัง “เทพมังกรเสียสละมากมายขนาดนี้เพื่อรักษาความสงบสุขบนแผ่นดิน กลืนกินพวกชั่วเหล่านั้นไปบ้างจะเป็นอะไรไป? ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในข้อตกลงอยู่แล้ว”
“ในข้อตกลงตอนนั้นมิได้บอกว่าให้กินคนเป็นได้ มิเช่นนั้นราชสำนักและวัดกั่วเฉิง อีกทั้งสำนักชิงซานจะมีใครกล้าลงนาม?”
ลู่กั๋วกงมองเขาอย่างเงียบๆ พลางกล่าวว่า “ต่อให้เป็นสำนักจงโจวของท่าน….ก็คงจะไม่กล้าลงนามเช่นกันใช่ไหมล่ะ?”
เยวี่ยเชียนเหมินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ขอกั๋วกงอย่าได้อ้อมค้อม อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องมีคำอธิบาย”
“เรื่องราวมันก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือ? ยังต้องมีคำอธิบายอะไรอีก?”
ลู่กั๋งกงกล่าว “ชางหลงทำผิดข้อตกลงที่ตกลงกันเอาไว้ คิดอยากจะกินจักรพรรดิแห่งหมิง ผลก็คือถูกจักรพรรดิแห่งหมิงควบคุมดวงจิต สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ตายไปพร้อมกัน”
ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นคำพูดที่จักรพรรดิแห่งหมิงว่าไว้ก่อนตาย แล้วก็เป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้
เยวี่ยเชียนเหมินโกรธจนหัวเราะออกมา เขากล่าวว่า “ช่างน่าขันเสียจริง คำพูดของจักรพรรดิแห่งหมิงพวกท่านก็เชื่ออย่างนั้นหรือ? แล้วคนที่หนีออกมาคนนั้นล่ะจะว่าอย่างไร?”
สมณะตู้ไห่พลันกล่าวว่า “ความวุ่นวายในคุกสะกดมารจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนที่หนีออกมาในตอนแรกสุดผู้นั้นอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าทางวัดไท่ฉางรู้เรื่องอะไรบ้าง?”
ลู่กั๋วกงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าสมณะตู้ไห่จะช่วยพูดให้สำนักจงโจว
เยวี่ยเชียนเหมินกล่าว “ถูกต้อง ก่อนเทพมังกรจะตาย นักพรตไป๋พบว่ามีคนหนีออกมาจากใต้ดิน คนผู้นั้นเป็นใครกัน? เขาใช่คนที่ปล่อยจักรพรรดิแห่งหมิงออกมาหรือเปล่า?”
“ถึงแม้คนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารผู้นั้นจะมีสภาวะสูงส่ง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะอยู่ในคุกสะกดมารโดยไม่ถูกชางหลงพบเห็น อีกทั้งยังสามารถหาตัวจักรพรรดิแห่งหมิงในคุกไท่ฉางจนพบด้วย?”
ลู่กั๋วกงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “บางทีอาจารย์เซียนทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าภายในคุกไท่ฉางนั้นมีขายพลังปิดกั้นที่ท่านเซียนทิ้งเอาไว้อยู่ นอกจากยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว จะมีใครที่สามารถทำลายได้?”
เยวี่ยเชียนเหมินกล่าว “แต่คนที่หนีออกมาผู้นั้นจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เหตุใดกั๋วกงถึงยืนกรานไม่เห็นด้วยที่จะสืบสวนนักโทษที่อยู่ในคุกสะกดมาร?”
ลู่กั๋วกงกล่าวว่า “หลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าราชสำนักและสำนักต่างๆ ได้ส่งนักโทษเข้าไปในคุกสะกดมารเป็นจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ หรือว่าต้องทำการสืบทุกคน?”
เยวี่ยเชียนเหมินแค่นหัวเราะ “แล้วทำไมจะสืบไม่ได้? ตั้งแต่ช่วงหลายวันมานี้ สืบไปจนกระทั่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน ใครที่น่าสงสัยล้วนแต่มิอาจปล่อยผ่านไปได้”
ลู่กั๋วกงนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเยวี่ยยืนกรานที่จะสืบ อย่างนั้นก็สืบ”
เยวี่ยเชียนเหมินพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง คิดอยากจะถามให้ละเอียดอีกสักเล็กน้อย แต่สมณะตู้ไห่ได้บอกให้วัดไท่ฉางเริ่มทำการสืบคดีก่อนหน้านี้
วัดไท่ฉางถูกทำลายจนกลายเป็นเศษซากในเหตุการณ์ความวุ่นวายของคุกสะกดมาร โชคดีที่ข้อมูลคดีเหล่านั้นไม่ได้เขียนอยู่บนกระดาษ จึงยังเก็บเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
นั่นคือของวิเศษที่ดูเหมือนหยกก้อนหนึ่ง นักโทษทุกคนที่ถูกส่งเข้าไปในคุกสะกดมันจะต้องผ่านการตรวจสอบจากกรมชิงเทียน บันทึกรายชื่อที่ทำการส่งมอบของทั้งสองฝ่ายจะถูกเก็บเอาไว้ในนั้น
ทางด้านกรมชิงเทียนเองก็ส่งเอกสารจำนวนมากมาให้ทำการเปรียบเทียบ
เจ้าหน้าที่และตัวแทนจากสำนักต่างๆ มองดูตัวหนังสือที่อยู่บนฉากลำแสงที่กำลังเลื่อนไหลลงไปด้านล่าง สีหน้าดูตั้งใจเป็นอย่างมาก
การจะสืบหาคนที่หนีออกไปจากคุกสะกดมารผู้นั้น ย่อมต้องต้องทำการสืบจากข้างหลังไปข้างหน้า
ผ่านไปไม่นาน หลายคนก็พบว่ามีข้อมูลข้อมูลหนึ่งเหมือนจะมีปัญหา
วัดไท่ฉางที่เงียบสงัดพลันมีเสียงหลายเสียงดังขึ้นมา
ไม่ใช่เสียงซุบซิบพูดคุยกัน หากแต่เป็นเสียงเสียดสีของขาเก้าอี้กับพื้นในตอนที่ทำการเลื่อนเก้าอี้ แล้วก็เป็นเสียงถ้วยชากระแทกกับโต๊ะในตอนที่วางถ้วยชา
นักโทษผู้นั้นมีชื่อว่าซ่งซิ่น จากบันทึกรายชื่อที่ส่งมอบมา เขาน่าจะเป็นมันสมองอยู่ในด้านใดด้านหนึ่งให้แก่ปู้เหล่าหลิน แต่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้มีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด
สมณะตู้ไห่เรียกเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนเข้ามา จากนั้นเริ่มสอบถามกรมชิงเทียนเกี่ยวกับรายละเอียดในตอนที่จับกุมคนผู้นี้
เจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย เขารู้เพียงแต่ว่านักโทษคนนี้ถูกส่งเข้ามาที่กรมชิงเทียน โดยมีเจ้ากรมชิงเทียนเป็นผู้ทำการสืบสวนด้วยตนเอง
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ วัดไท่ฉางที่เมื่อครู่ยังดูคึกคักพลันเงียบลงอีกครั้ง
ในเวลานี้บันทึกที่วัดไท่ฉางเอามาจากหุ่นเชิดเสวียนจินก็ถูกส่งเข้ามา ลู่กั๋วกงพลิกเปิดไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง คิ้วขมวดเล็กน้อย
เหอกั๋วกงกล่าวถามว่า “มีปัญหาหรือ?”
“ประตูห้องขังของนักโทษที่ชื่อซ่งซิ่นผู้นี้เคยเปิดออก”
ลู๋กั๋วกงเอาผลึกใจกลางของหุ่นเชิดส่งให้สมณะตู้ไห่
สมณะตู้ไห่ใช้จิตจำแนกรับรู้ สีหน้าค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นมา กล่าวว่า “เชิญเจ้ากรมจางเข้ามา”
ภายในที่ประชุมยิ่งเงียบขึ้นกว่าเดิม ไม่มีใครเข้าไปในคุกสะกดมารได้ นอกจากหุ่นเชิดแล้วยังจะมีใครเปิดประตูห้องขังได้อีก?
มีคนสังเกตเห็นว่านับตั้งแต่ที่เริ่มสืบนักโทษที่ชื่อซ่งซิ่นผู้นั้น ผู้อาวุโสเยวี่ยเชียนเหมินก็เงียบไปทันที มิได้มีท่าทีแข็งกร้าวเหมือนอย่างในตอนแรกอีก
ผ่านไปไม่นาน จางอี๋อ้ายที่กำลังรับผิดชอบจัดแจงสำนักต่างๆ ในการทำการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนอยู่ภายในเมืองเจาเกอก็ถูกเชิญมายังวัดไท่ฉาง
เมื่อได้ยินคำถามของสมณะตู้ไห่ จางอี๋อ้ายก็เงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “นักโทษที่ชื่อซ่งซิ่นผู้นั้นข้าพอจะจำได้อยู่ เขาเป็นคนของปู้เหล่าหลินจริงๆ ส่วนเหตุใดประตูห้องขังถึงเปิดออก อันนี้น่าจะต้องถามทางวัดไท่ฉาง”
ลู่กั๋วกงดึงสายตากลับมาจากถ้วยชา มองดูเขาพลางกล่าวว่า “เอกสารเกี่ยวกับคนผู้นี้ของทางกรมชิงเทียนมีปัญหา”
จางอี๋อ้ายสบตาเขา กล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายของกั๋วกง”
ลู่กั๋วกงมิได้กล่าวอะไรอีก ก้มหน้ามองดูชาที่อยู่ในถ้วยของตน
สมณะตู้ไห่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คนผู้นี้ถูกจับมาจากที่ไหน เจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนที่เป็นคนจับคือใคร?”
ทุกเรื่องราวบนโลกกลัวคำว่าตั้งใจมากที่สุด ต่อให้เป็นแผนการที่ระมัดระวังแค่ไหน ขอเพียงสืบให้ละเอียด ก็มักจะสืบจนเจอปัญหา มันมักจะมีบางจุดที่อธิบายได้ไม่ชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นที่ตอนแรกสำนักจงโจวส่งคนผู้นี้เข้าไปในคุกสะกดมารก็เนื่องเพราะถูกปู้เหล่าหลินข่มขู่ พวกเขาจึงจัดการค่อนข้างรีบร้อน เช่นนั้นย่อมต้องมีช่องโหว่หลายอย่างที่ยังไม่ทันได้ทำการอุด
สีหน้าของเยวี่ยเชียนเหมินค่อนข้างคร่ำเคร่ง กล่าวว่า “ไต้ซือ เหตุใดไม่ถาม…”
สมณะตู้ไห่ยกมือขึ้นมาเพื่อบอกเขาว่าอย่าเพิ่งพูด จากนั้นมองดวงตาของจางอี๋อ้าย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงเอาไว้ด้วยความเคร่งครัดว่า “ชางหลงตายอย่างน่าเศร้า เมืองเจาเกอตกอยู่ในความวุ่นวาย นี่ไม่ใช่เรื่องของสำนักจงโจวสำนักเดียวเท่านั้น หากเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังแอบซ่อนอยู่จริง ก็ขอท่านใต้เท้าอย่าได้ปิดบัง”
เยวี่ยเชียนเหมินแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว สายตามองดูจางอี๋อ้าย ในใจได้แต่หวังว่าศิษย์น้องจะสามารถหาวิธีรับมือได้
จางอี๋อ้ายก้มหน้าเล็กน้อย มองดูอิฐที่พึ่งปูใหม่ตรงใต้เท้าตนเอง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
เหอกั๋วกงยิ้มทะเล้นขึ้นมา กล่าวว่า “นักโทษผู้นั้นชื่อซ่งซิ่น[1]…ช่างเป็นชื่อที่น่าสนใจจริงๆ หรือว่าจะมีคนส่งเขาเข้าไปในคุกสะกดมารเพื่อส่งจดหมายจริงๆ?”
ภายในที่ประชุม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของวัดไท่ฉางหรือกรมชิงเทียน หรือตัวแทนจากสำนักต่างๆ ก็ล้วนแต่ดูตึงเครียด
เจ้ากรมชิงเทียนจางอี๋อ้ายเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก แต่ในเวลานี้กลับถูกถามจนพูดอะไรไม่ออก
จู่ๆ จางอี๋อ้ายพลันเงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “นักโทษผู้นั้นพระอาจารย์เหลียงเป็นคนส่งเข้ามา เรื่องอื่นข้าไม่รู้”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ ในดวงตาเขาเผยให้เห็นความรู้สึกโล่งใจ
เยวี่ยเชียนเหมินจ้องมองดูแผ่นหลังของจางอี๋อ้าย สายตาเย็นยะเยือกเล็กน้อย
……
……
วัดไท่ฉางเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ
ฝูงวิหคที่บินจากนอกเมืองเจาเกอกลับมายังสวนดอกเหมยใหม่กำลังบินผ่านไปในท้องฟ้า ส่งเสียงร้องเป็นระยะ
ความวุ่นวายในคุกสะกดมารเกี่ยวข้องกับตำหนักขององค์ชายจิ่งซินอย่างนั้นหรือ?
สมณะตู้ไห่เงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ขอเชิญท่านจางอยู่ในวัดไท่ฉางก่อน”
จากนั้นเขามองไปทางลู่กั๋วกงแล้วกล่าวว่า “วันนี้สืบถึงตรงนี้ก่อน?”
ลู่กั๋วกงพยักหน้า ลุกขึ้นบอกลาทุกคนที่อยู่ในที่ประชุม จากนั้นเดินออกไปนอกวัดไท่ฉาง
ทุกคนต่างรู้ว่าลู่กั๋วกงรีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทภายในวัง
………………………………………………
[1]ซ่งซิ่น (宋信) พ้องเสียงกับคำว่า 送信 ซึ่งแปลว่าส่งจดหมาย