มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 72 เหล่าสมณะที่ไม่พูดโกหก
ลู๋กั๋วกงออกไปจากวัดก็ด้วยเพราะรีบจะเอาเบาะแสที่สืบพบใหม่ไปทูลฮ่องเต้
สมณะตู้ไห่หยุดการสืบสวนชั่วคราว ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงสำนักจงโจวและองค์ชายจิ่งซิน อย่างนั้นหลังจากนี้จะทำการสืบสวนอย่างไรมันก็มิใช่เรื่องที่คนที่อยู่ในที่ประชุมเหล่านี้จะสามารถตัดสินใจได้อีก
เจ้าหน้าที่วัดไท่ฉางและเจ้าหน้าที่กรมชิงเทียน อีกทั้งตัวแทนจากสำนักต่างๆ ทยอยออกไปจากวัดไท่ฉาง
สำนักต้าเจ๋อรู้สึกสะใจเล็กน้อย สำนักคุนหลุนค่อนข้างเป็นห่วง ส่วนสำนักเล็กๆ ที่เหลือนั้นคิดว่าวันนี้ตนเองไม่ควรจะมาที่นี่เลย
จางอี๋อ้ายย่อมไม่สามารถออกไปได้ เขาถูกพาไปอยู่ในห้องทางปีกข้างห้องหนึ่งของวัดไท่ฉาง
สมณะตู้ไห่นั่งอยู่บนอาสนะด้านนอกประตู นี่หมายความว่าเขาจะเป็นคนเฝ้าด้วยตัวเอง
สายตามองดูแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากทางด้านนอกหน้าต่าง จางอี๋อ้ายคิดถึงหลายๆ เรื่องขึ้นมา
เขาออกจากเขาอวิ๋นเมิ่งมาหลายปี ทิวทัศน์และผู้คนในภูเขาได้เปลี่ยนไปจนเขารู้สึกค่อนข้างแปลกหน้า เมื่อเทียบกันแล้ว เขามีความคุ้นเคยกับผู้คนและเรื่องราวในเมืองเจาเกอมากกว่า และเขาก็คุ้นเคยกับสถานะเจ้ากรมชิงเทียนของตัวเองมากกว่า หาใช่สถานะอื่นไม่
กลิ่นน้ำยาเคลือบที่ยังไม่แห้งสนิทบนหน้าต่างของห้องพัก เขาเองก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
สิ่งก่อสร้างทุกอย่างภายในวัดไท่ฉางล้วนแต่สร้างขึ้นมาใหม่จากซากปรักหักพัง เขาเป็นคนคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็เสร็จเรียบร้อย
ประตูห้องพักถูกเปิดออก เยวี่ยเชียนเหมินเดินเข้ามา
จางอี๋อ้ายรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย การที่อีกฝ่ายจะมาพบตนนั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุใดสมณะตู้ไห่ถึงไม่ห้าม?
“ไต้ซือเห็นแก่หน้าสำนักจงโจว อนุญาตให้ข้ามาพูดกล่อมเจ้าให้พูดความจริง”
เยวี่ยเชียนเหมินมองเขาพลางกล่าว สายตาเย็นยะเยือกเป็นยิ่งนัก
สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อนั้นย่อมไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาพูดออกมา
จางอี๋อ้ายกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ศิษย์พี่ต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
เยวี่ยเชียนเหมินสายตาเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิม กล่าวอย่างไม่มีเสียงว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ทำไมถึงเอาตำหนักองค์ชายมาเกี่ยวพันด้วย?”
“ข้าอยู่ในเมืองเจาเกอตั้งใจทำหน้าที่ของตนเอง แต่พวกท่านกลับใช้ข้าทำงานให้พวกท่านไม่หยุด..”
จางอี๋อ้ายจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าว “แล้วนี่ยังมาให้ข้าช่วยพวกท่านพาคนส่งเข้าไปในคุกสะกดมารอีก พวกท่านเคยคิดถึงข้าบ้างหรือเปล่า?”
พอเขาเอ่ยปากพูด สีหน้าของเยวี่ยเชียนเหมินก็ยิ่งดูแย่ สายตาเย็นยะเยือกเล็กน้อย หมายความว่าให้เขารีบหุบปาก
แต่จางอี๋อ้ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขากล่าวว่า “คนที่พวกท่านส่งเข้าไปในคุกสะกดมารก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ หรือยังหวังจะให้ข้าแบกรับมันคนเดียว?”
เยวี่ยเชียนเหมินทนไม่ไหวอีก เขาตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?”
จางอี๋อ้ายมองดวงตาของเขา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หากการตายของเทพมังกรเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ท่านรู้ไหมว่านี่มันหมายความว่าอะไร?”
เยวี่ยเชียนเหมินผลักประตูเดินออกไป เหลือบมองดูสมณะตู้ไห่ที่นั่งอยู่บนอาสนะ รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินทั้งหมดแล้ว จึงเดินออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
สมณะตู้ไห่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าจะจดเรื่องเหล่านี้เอาไว้”
จางอี๋อ้ายเดินมาที่หน้าประตู สะบัดชุดของตัวเองพลางนั่งลงบนธรณีประตู กล่าวว่า “ลำบากไต้ซือแล้ว”
……
……
ในคืนวันเดียวกัน เมืองเจาเกอที่เพิ่งจะสงบลงก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าม้าของกองทัพเสินเว่ยตั้งสะท้อนไปในเมืองราวเสียงฟ้าร้อง พื้นถนนสั่นสะเทือน คล้ายคุกสะกดมารเกิดเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง
แสงไฟในกรมชิงเทียนส่องสว่าง เหล่าเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้นอนทั้งคืน จัดระเบียบเอกสาร เริ่มทำการสืบสวนด้วยตนเอง
ทุกเบาะแสที่เหล่าเจ้าหน้าที่สืบได้ล้วนชี้ไปยังที่ที่หนึ่ง ดังนั้นม้าเหล็กของกองทัพเสินเว่ยจำนวนหลายร้อยตัวจึงไปล้อมที่แห่งนั้นเอาไว้
ตำหนักองค์ชายจิ่งซิน
……
……
เมื่อคืนวัดไท่ฉางเงียบสงบเหมือนปกติ เช้าวันใหม่ที่กำลังจะมาถึงก็ดูเหมือนรุ่งเช้าปกติธรรมดา
หลังจางอี๋อ้ายล้างหน้าล้างตาเสร็จก็มารับประทานอาหารเช้าพร้อมกับสมณะตู้ไห่ โจ๊กข้าวฟ่างสองชามและขนมเปี๊ยะผักบางๆ สามแผ่น สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือเขากินไข่เค็มไปอีกครึ่งใบ
นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว คนที่มาถึงวัดไท่ฉางเร็วที่สุดมิใช่ลู่กั๋วกงหรือว่าตัวแทนจากสำนักไหน หากแต่เป็นเยวี่ยเชียนเหมิน
ตำหนักองค์ชายจิ่งซินถูกกองทัพเสินเว่ยล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ไม่มีใครกล้าขัดขวางไม่ให้เขาออกมา
เยวี่ยเชิยนเหมินเป็นแขกที่มารับใช้อยู่ที่ตำหนักขององค์ชาย เขาย่อมต้องรู้เรื่องที่ปู้เหล่าหลินใช้เรื่องลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ยในอดีตมาข่มขู่ตำหนักองค์ชายให้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งเข้าไปในคุกสะกดมาร
พูดให้ถูกยิ่งกว่านั้นก็คือนี่เป็นเรื่องที่ผ่านความเห็นชอบจากเขาแล้ว
คุกสะกดมารคือร่างที่แท้จริงของมังกรชางหลง อย่าว่าแต่ปู้เหล่าหลินที่ล่มสลายไปเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรในนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็อยากรู้จริงๆ ว่าเนื้อหาของจดหมายที่ปู้เหล่าหลินส่งเข้าไปในคุกสะกดมารคืออะไร ดังนั้นหลังจากได้รับจดหมายจากนักพรตมาแล้ว เขาจึงตอบตกลงที่จะให้พระอาจารย์เหลียงส่งนักโทษเข้าไป
เขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเรื่องนี้มากนัก แต่ใครจะไปคิดบ้างว่า…เทพมังกรจะตายไปจริงๆ!
และเห็นได้ชัดว่ามีบางคนในราชสำนักและโลกแห่งการบำเพ็ญพรตที่คิดอยากจะเอาเรื่องการตายของเทพมังกรกับจดหมายฉบับนั้นเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ไม่สิ! พวกเขาได้เอาเรื่องการตายของเทพมังกรกับจดหมายฉบับนั้นเชื่อมโยงเข้าด้วยกันไปแล้ว กองทัพเสินเว่ยที่ล้อมตำหนักองค์ชายอยู่ตลอดทั้งคืนคือสิ่งยืนยัน
เขารีบมายังวัดไท่ฉางก่อนคนอื่นๆ ด้วยคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับสมณะตู้ไห่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์
แสงแรกของวันปรากฏขึ้น หมู่วิหคยังไม่ตื่นนอน มุมหลังคาของวัดไท่ฉางทอดเป็นเงารูปร่างแปลกๆ อยู่ในสวนด้านหลังวัด
สมณะตู้ไห่และเยวี่ยเชียนเหมินพูดคุยเสียงเบาๆ อยู่ภายใต้เงา
“ความจริงของเรื่องราวเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นคือคนของปู้เหล่าหลินจริงๆ พวกข้าต้องการสืบเรื่องอะไรบางอย่างแต่กลับสืบไม่ได้อะไร สุดท้ายจึงได้แต่ส่งเขาเข้าไปในคุกสะกดมาร”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สมณะตู้ไห่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
ความหมายของเยวี่ยเชียนเหมินชัดเจน สำนักจงโจวสืบไม่พบอะไร จึงได้แต่ต้องส่งเข้าไปในคุกสะกดมารให้ชางหลงกิน แบบนั้นอาจจะยังพอได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง
การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการทำผิดต่อวิถีธรรมะ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะต้องสร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่ชื่อเสียงของสำนักจงโจวอย่างแน่นอน แต่เขากลับยอมรับมันออกมาตรงๆ ไม่ว่าใครก็คงคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง
แต่สมณะตู้ไห่กลับไม่ได้คิดเช่นนี้ เขามองดูอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผู้ออกบวชไม่โกหก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาหลอกกันได้ง่ายๆ”
เยวี่ยเชียนเหมินสีหน้าดูแย่ กล่าวว่า “แต่เรื่องจริงมันเป็นเช่นนี้จริงๆ”
สมณะตู้ไห่มองเยวี่ยเชียนเหมือนอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “ประสกบอกว่าคนผู้นั้นตายแล้ว และก็มิใช่คนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารผู้นั้น ประสกมีหลักฐานหรือไม่?”
สีหน้าเยวี่ยเชียนเหมินค่อนข้างดูแย่ นักโทษชายในคุกสะกดมารบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก นักโทษส่วนใหญ่กระทั่งศพก็ไม่มีเหลือด้วยซ้ำ แล้วจะไปเอาหลักฐานมาจากไหน?
เขากล่าวด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกเล็กน้อย “หรือไต้ซือคิดจะสืบให้ถึงที่สุดจริงๆ?”
วัดกั่วเฉิงมีประวัติศาสตร์ยาวนาน รากฐานหยั่งลึก แต่สำนักจงโจวมีสถานะในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตและแผ่นดินเฉาเทียนที่สูงกว่า อีกทั้งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
ตอนนี้สำนักจงโจวยอมเปิดเผยความขายหน้าของตัวเองอย่างไม่ลังเล ให้คำตอบที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่สมณะตู้ไห่กลับไม่ยอมรับ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
สมณะตู้ไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เรื่องราวยังไม่กระจ่าง ย่อมต้องสืบต่อไป”
เยวี่ยเชียนเหมินกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย “เทพมังกรตายไปแล้ว พวกข้าเองก็ไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่อง เหตุใดยังต้องสืบต่อไปอีก?”
“เมื่อวานอาตมาได้บอกกับเจ้ากรมจางไปแล้ว ชางหลงแปลงกายเป็นคุกสะกดมาร ทำให้เกิดแผ่นดินไหวก่อนจะตายไป นี่มิใช่เรื่องของสำนักจงโจวสำนักเดียว พวกประสกไม่คิดจะสืบสาวราวเรื่อง นั่นมิได้หมายความว่าเรื่องนี้จะจบลงเช่นนี้ ผู้อาวุโสเยวี่ยน่าจะยังไม่ลืม ฉานจึเคยรับปากจักรพรรดิแห่งหมิงเอาไว้ว่าจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
สมณะตู้ไห่มองดูเขาอย่างเงียบๆ พลางกล่าวว่า “ผู้ออกบวช….ไม่พูดโกหก”
เยวี่ยเชียนเหมินจ้องมองดูเขา มิได้กล่าวกระไรอีก จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป
……
……
แสงอาทิตย์ยามเช้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ หมอกในป่าค่อยๆ สลายหายไป ตัวแทนสำนักต่างๆ และเหล่าเจ้าหน้าที่มายังวัดไท่ฉางอีกครั้ง
ไม่มีการป่าวประกาศอะไร ลู่กั๋วกงแจ้งข่าวที่ทุกคนอย่างจะรู้
“ฝ่าบาททรงพระพิโรธ ทรงสั่งให้สืบหาความจริงของเรื่องนี้ให้ได้”
ลู่กั๋วกงมองดูเยวี่ยเชียนเหมิน พลางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ฝ่าบาทยังฝากข้ามาถามผู้อาวุโสเยวี่ยประโยคหนึ่งว่า สำนักจงโจวคิดจะทำอะไรกันแน่?”