มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 90 ทิวทัศน์ล้วนแต่มองเห็นจนหมด (2)
พวกเจ้าเจวี่ยนเหลียนเหรินลองดูซิว่าหน้าข้ามีค่าเท่าไหร่
หมอคนนั้นเอามือบังสายตาเอาไว้ พลางกล่าวว่า “อาจารย์เซียน นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงิน แต่พวกข้าไม่ทราบข่าวจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ จิ๋งจิ่วรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก แต่บนใบหน้าย่อมมิได้แสดงอะไรออกมา ลุกขึ้นเดินออกจากโรงหมอไป
ในตอนที่เดินผ่านประตูโรงหมอ เขามองเห็นรถเข็นคันหนึ่งวางพิงกำแพงอยู่ ครุ่นคิดเล็กน้อยจึงเข็นออกมา พร้อมทิ้งใบไม้ทองคำเอาไว้ใบหนึ่ง
ในตอนที่กลับมายังตู้โดยสาร กั้วตงลืมตามองเขา มองดูรถเข็นที่เขาเข็นมา พลางถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “เจ้าไปทำอะไรมา?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไปส่งจดหมายมา”
เจวี่ยนเหลียนเหรินต้อนรับเขาอย่างดีมาโดยตลอด นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยินดีช่วยเหลือตน เขาก็ย่อมไม่เกรงใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถทำให้มั่นใจและหยั่งเชิงเรื่องบางเรื่องได้ —– มั่นใจว่าไม่มีใครรู้ว่ากั้วตงยังมีชีวิตอยู่ หยั่งเชิงว่าท่าทีที่เจวี่ยนเหลียนเหรินมีต่อตนนั้นอยู่ในระดับไหนกันแน่
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากโรงหมอ ทิ้งรอยล้อเอาไว้ใต้ต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าโรงหมอ
หมอคนนั้นนั่งอยู่ภายในห้องที่อยู่ในส่วนลึกของโรงหมอ คิ้วขมวดครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน คิดในใจว่าอีกประเดี๋ยวควรจะเรียนรายงานว่าอย่างไร?
พนักงานถือใบไม้ทองคำเดินเข้ามาในห้อง เล่าเรื่องที่จิ๋งจิ่วเข็นรถเข็นออกไปให้หมอฟัง
หมอไม่ได้สนใจ พยักหน้าเล็กน้อย
พนักงานมองเห็นหมอนั่งขมวดคิ้ว จึงกล่าวว่า คนผู้นั้นคือใคร?เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
หมอไม่ได้ตอบคำถามเขา หากแต่โบกมือให้เขาออกไป จากนั้นเริ่มเขียนข้อความ
เขาเขียนไปหน้าแล้วหน้าเล่า พลางกล่าวอย่างจนปัญญา “พวกข้าไม่ใช่คนส่งจดหมายเสียหน่อย”
ถูกต้อง เป้าหมายหลักที่จิ๋งจิ่วมาเจวี่ยนเหลียนเหรินก็เพื่อจะส่งจดหมาย
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีสำนักและกองกำลังมากมายที่สนใจมาโดยตลอดว่าหลายปีนี้จิ๋งจิ่วอยู่ที่ใด
คนที่รู้ว่าเขาเคยปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่เมืองเจาเกอนั้นมีอยู่แค่ไม่กี่คน เจวี่ยนเหลียนเหรินคือหนึ่งในนั้น
เจวี่ยนเหลียนเหรินยังรู้อีกว่าเขาเคยปรากฏตัวขึ้นที่เมืองจวี้เย่ เพียงแต่ไม่ได้บอกใคร
วันนี้เขาตั้งใจมาที่นี่ ก็เพื่อจะบอกว่าเจวี่ยนเหลียนเหรินรู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน
หากมีคนมาสอบถามเจวี่ยนเหลียนเหรินถึงเบาะแสของเขาอีก เจวี่ยนเหลียนเหรินอาจจะไม่ยอมบอก แต่ถ้าคนที่มาถามคือยอดเขาเสินม่อล่ะ?
จิ๋งจิ่วมาที่นี่ก็เพราะต้องการให้เจวี่ยนเหลียนเหรินช่วยตนเองส่งจดหมายไปยังยอดเขาเสินม่อ เนื้อหาในจดหมายนั้นเรียบง่ายอย่างมาก — ข้ายังมีชีวิตอยู่
……
……
รถม้ามุ่งหน้าต่อไปยังเมืองต้าหยวน
ระหว่างทาง จิ๋งจิ่วเปลี่ยนตู้โดยสารใหม่ แต่ไม่ได้เปลี่ยนม้า
เขาไม่ได้รีบเดินทาง เพียงแต่ไม่อยากให้ใครพบเห็นตน ค่อยๆ เดินทางไปแบบนี้เรื่อยๆ ผ่านไปสิบกว่าวัน ในที่สุดก็มาถึงนอกเมืองต้าหยวน
ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองต้าหยวนมีถนนหลวงที่สำคัญเส้นหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังจังหวัดอวี้ บนถนนมีรถสัญจรไปมา ฝุ่นควันคละคลุ้ง ดูคึกคักเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว ถนนหลวงทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองที่มุ่งหน้าไปยังเขาเจวี๋ยหลิ่งนั้นเงียบเหงากว่ามาก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นรถสักคัน
ธารน้ำริมทางใสสะอาด ระหว่างภูเขามีบ้านเรือนรูปแบบต่างๆ กระจัดกระจาย มีต้นสนที่เป็นเหมือนร่ม แล้วก็มีป่าไผ่ที่ทอดยาวเหมือนทะเล ทิวทัศน์งดงาม
แสงอาทิตย์ถูกต้นสนและต้นไผ่บดบัง ถนนที่ปูด้วยแผ่นหินให้ความรู้สึกเย็นสบาย
บ้านเรือนที่อยู่ริมถนนหลวงส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสถานที่ทำการค้าของพ่อค้าที่ร่ำรวยภายในเมือง มีหออยู่หลายแห่งที่ไม่มีป้ายชื่อ แต่กลับมีชื่อเสียงอย่างมาก อาหารสุราหรือว่านารีก็ล้วนแต่มีราคาแพง
รถม้าแล่นไปตามถนนหลวง ก่อนจะเลี้ยวขวาตรงตำแหน่งที่มีธารสองสายตัดกัน เข้าไปยังถนนเส้นหนึ่งที่มีความเงียบสงบ กระทั่งไปถึงตรงตำแหน่งปลายน้ำก็มองเห็นสำนักชีแห่งหนึ่ง
สำนักชีไร้ชื่อ เร้นกายอยู่ภายในป่า ด้านหลังมีสะพานหินอยู่แห่งหนึ่ง
รถเคลื่อนตัวไปถึงหน้าสะพานหิน ถึงจะมองเห็นหินเก่าๆ ก้อนหนึ่งที่วางนอนอยู่บนพื้น
บนหินเก่าเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ แล้วก็มีตัวหนังสือที่ถูกตะไคร่น้ำบดบังจนเกือบจะมองไม่เห็น
“สามพัน”
สามพันชาติหรือว่าแม่น้ำอ่อนแรงสามพันลี้?
กระทั่งแม่ชีชราที่อยู่ในสำนักชีเดินออกมา จิ๋งจิ่วจึงคิดว่าอาจจะหมายความว่ากำจัดเรื่องยุ่งยากสามพันเรื่อง
“ขอประทานโทษด้วย สำนักชีค่อนข้างเก่า แต่ไหนแต่ไรมาไม่รับแขก”
แม่ชีชราผู้นั้นมองจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
เสียงของกั้วตงดังขึ้นมาจากในตู้โดยสาร “ข้าเอง”
แม่ชีชราสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะกล่าวด้วยความตกใจและความยินดีว่า “แม่นางตงหรือ?”
กั้วตง กล่าวว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เจ้าอย่าได้บอกผู้อื่น แล้วก็อย่ามากวนข้า”
คำพูดประโยคนี้แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ไม่ได้มีมารยาทอะไรเลย แต่แม่ชีชราผู้นั้นกลับทำสีหน้าเหมือนนี่เป็นเรื่องที่สมควร นางพารถม้าเข้าไปด้านในสำนักชี
จิ๋งจิ่วปลดบังเหียน จากนั้นยื่นส่งให้แม่ชีชรา กล่าวว่า “เลี้ยงให้ดีนะ”
แม่ชีชราตอบรับอย่างระมัดระวัง พลางถามว่า “ต้องเลี้ยงถึงเมื่อไหร่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตาย”
ม้าตัวนั้นมองจิ๋งจิ่วด้วยสายตาที่น่าสงสาร
แม่ชีชราพาม้าไปยังลานด้านหน้าสำนักชี นางยอมต้องเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดี
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แม่ชีชราและแม่ชีที่เหลืออีกสามคนต้องเฝ้าอยู่ที่ลานด้านหน้า มีแค่ช่วงเย็นของทุกวันที่จะมายังสะพานหินเพื่อทำการคำนับสองสามครั้ง
สำนักชีมีขนาดเล็กมาก ทิวทัศน์เองก็ดีมาก
ทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดอยู่ในห้องภาวนาห้องหนึ่ง
บนกำแพงของห้องภาวนามีหน้าต่างทรงกลมอยู่บานหนึ่ง ด้านนอกหน้าต่างคือทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง ริมทะเลสาบมีต้นไม้ แผ่กิ่งก้านออกมา
เมื่อนั่งอยู่ในห้องภาวนาแล้วมองออกไป หน้าต่างทรงกลมเป็นเหมือนพัดทรงกลมเล่มหนึ่ง ทิวทัศน์ก็คือภาพที่อยู่บนพัด
ลมทะเลสาบพัดมา จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ในห้องภาวนา ในมือถือชาเขียวอยู่ถ้วยหนึ่ง คอยจิบเป็นระยะ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
นี่คือวันที่สี่ที่พวกเขามายังเมืองต้าหยวน
บนกำแพงที่อยู่ตรงข้าม กั้วตงลืมตาตื่นขึ้นมา
การนอนหลับและการตื่นของนางในเวลานี้ยิ่งดูมีกฎเกณฑ์มากขึ้น หลับไปหลายวันก็จะตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง เพียงแต่ช่วงเวลาที่ตื่นยังคงไม่ได้ยาวนานนัก
“เจ้าเชื่อใจแม่ชีที่อยู่ในสำนักหรือ?” จิ๋งจิ่วมองไปยังด้านนอกหน้าต่างพลางกล่าว
กั้วตงกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าสร้างสำนักชีแห่งนี้ขึ้นมา เพียงเพราะชื่นชอบทิวทัศน์ที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าข้าคือใคร”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ทิวทัศน์ที่นี่ดีจริงๆ”
กั้วตงกล่าว “เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ใบไม้ค่อยๆ แดง ยิ่งดูสวยงาม”
จิ๋งจิ่วค่อยๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ กล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการใช้ชีวิตนะ”
กั้วตงกล่าว “หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ที่อื่นก็มีทิวทัศน์ บางทีอาจจะตระการตามากกว่านี้ อย่างน้อยก็มีความรู้สึกใหม่ๆ”
กั้วตงกล่าว “ทิวทัศน์ที่นี่ยังดูไม่เบื่อ ไยต้องไปที่อื่น”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ทำไมเจ้าไม่แจ้งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ให้พวกเขามารับเจ้ากลับไป?”
กั้วตงกล่าว “ที่นั่นเป็นสำนักชี ที่นี่ก็เป็นสำนักชี ไม่มีอะไรแตกต่างกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าไม่กังวลว่าพวกนางจะคิดว่าเจ้าตายไปแล้วหรือ?”
กั้วตงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกนางคิดว่าข้ามักจะชอบหาเรื่อง บางทีพอรู้ว่าข้าตายแล้วอาจจะรู้สึกเบาใจขึ้นก็ได้”
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างคนต่างพิงกำแพง หมุนตัวมองไปยังทะเลสาบและต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างทรงกลม
ลมพลันพัดโบก น้ำเกิดเกลียวคลื่น กิ่งไม้ไหวเอนแผ่วเบา
คล้ายกับว่าภาพวาดที่อยู่ในพัดขยับขึ้นมา
แต่กลับไม่รู้ว่าลมนี้มาจากตัวพัดเองหรือว่าด้านนอกพัด
เวลาไหลไปอย่างเชื่องช้า
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง
จิ๋งจิ่วมองดูกั้วตง
นางหลับไปแล้ว
ท้องฟ้ายามเย็นถูกทะเลสาบสะท้อนเข้ามาภายในห้องภาวนา
ทั้งห้องกลายเป็นสีทอง
เส้นไหมฟ้าที่พันอยู่รอบร่างกายนาง สีทองกลับยิ่งดูเจือจาง ยิ่งดูยิ่งขาว
จิ๋งจิ่วคิดถึงคำพูดของนางก่อนหน้านี้
ในอดีตเจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและศิษย์พี่ของนางก็เหมือนจะมีนิสัยเช่นนี้
จริงๆ เลย
ไม่ง่ายเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยไม่ดูทิวทัศน์เช่นนี้เสียหน่อยล่ะ
…………………………………………………..