มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 10 ไม่ว่าจะเป็นชาเก่าหรือว่าชากระดูก ก็ล้วนแต่เป็นชาที่ดี
จิ๋งจิ่วมิได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงเอามือถูกับกระดูกปีศาจท่อนนั้นต่อไปเรื่อยๆ
ในการเสียดสีด้วยความเร็วสูง กระดูกปีศาจมีผงกระดูกกระเด็นออกมาเรื่อยๆ ร่วงตกลงไปบนโต๊ะ ในผงเหล่านั้นคล้ายมีผงหินผลึกอยู่ด้วย ส่องแสงระยิบระยับ
หญิงสาวผู้นั้นมองออกว่าเขามิได้กำลังขัดผิว รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก กระทั่งลืมความเสียใจไปจนหมด จากนั้นกล่าวถามว่า “นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ตัวเองไม่ควรสลายข่ายพลังเพราะกลัวว่าเด็กสาวผู้นี้จะได้รับบาดเจ็บเลย
ไม่ว่าเจ้ากับจิ๋งหลีจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่หนวกหูเช่นนี้มักจะไม่ดี
หญิงสาวผู้นั้นเท้าแขนบนขอบหน้าต่าง มองดูเขาพลางกล่าวถามต่อว่า “หรือว่าเจ้ากำลังฝนหยกอ่อนให้ออกมาเป็นเครื่องแป้ง? สวยจริงๆ”
จิ๋งจิ่วเงยหน้าขึ้นมามองนาง ในใจคิดว่าจะทำให้นางสลบไปดีหรือไม่
หญิงสาวมองเห็นใบหน้าของเขาก็ตกตะลึงไปทันที จากนั้นเอามือขึ้นมาอุดปาก ถึงได้ไม่ส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะกล่าวอย่างเหม่อลอยว่า “เจ้าช่างหล่อเหลาจริงๆ”
เป็นคำพูดที่ไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไรเสียเลย จิ๋งจิ่วไม่สนใจนาง ก้มหน้าลับกระบี่ต่อ
สายตาของหญิงสาวผู้นั้นเลื่อนกลับไปกลับมาระหว่างใบหน้าของเขาและ ‘เครื่องแป้ง’ ที่ส่องประกายระยิบระยับกองนั้น พลางกล่าวพึมพำว่า “มิน่าท่านอาหญิงเล็กถึงได้บอกว่าความงามของหญิงสาวนั้นต้องใช้เงินซื้อมา”
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใช้หยกอ่อนมาทำเป็นเครื่องแป้ง ช่างหรูหราจริงๆ ต่อให้ครอบครัวของนางจะเป็นครอบครัวที่อยู่ในระดับสูงสุดของเมืองเจาเกอ แต่นางก็ไม่กล้าคิดที่จะทำเช่นนี้ จากนั้นนางได้คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา หรือว่าเป็นเพราะตัวเองใช้เงินน้อยเกินไป มิได้ซื้อเครื่องแป้งที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาใช้ จึงไม่สวยพอ พี่หลีถึงได้ไม่ยอมตอบตกลงที่จะหนีไปกับตัวเอง?
“เจ้า….ท่านพอจะแบ่งเครื่องแป้งเช่นนี้ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
หญิงสาวมองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวขอร้องอ้อนวอน “ข้าไม่ขอให้งดงามเหมือนอย่างเจ้า แค่ได้เพียงหนึ่งในสิบส่วนก็พอแล้ว”
จิ๋งจิ่วย่อมไม่มีทางสนใจนาง เขายังคงตั้งใจลับกระบี่ต่อ พยายามทำให้มั่นใจว่ามุมและน้ำหนักในแต่ละครั้งจะสมบูรณ์แบบ
ต่อให้เป็นภาพที่ยากจะได้เห็นแค่ไหน เมื่อมองนานเข้าก็มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายทั้งนั้น หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหญิงสาวผู้นั้นก็หายไปจากขอบหน้าต่าง
แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะประตูเรือนของตระกูลจิ๋งถูกคนผลักเข้ามาจากทางด้านนอก
จิ๋งซางพาพ่อและภรรยาไปพักร้อนที่เรือนตระกูลเจ้าที่อยู่นอกเมืองเจาเกอ ถึงแม้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลจะใกล้ชิดกัน ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางมีปัญหา แต่อันที่จริงนั่นมันก็เป็นเรือนของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเจ้ายังมีรากฐานหยั่งลึกอยู่ในเมืองเจาเกอด้วย ตัวเขาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของวัดไท่ฉางมิอาจเทียบได้เลย ดังนั้นจึงพักอยู่ที่นั่นเพียงสิบกว่าวันก็กลับมา
ฮูหยินจิ๋งพาสาวใช้ไปต้มข้าวเตรียมกับข้าว ผู้เฒ่าจิ๋งไปยังเรือนตะวันออกเพื่อดูว่าไก่ที่ตัวเองเลี้ยงเอาไว้ผอมไปหรือเปล่า กลัวว่าหลานตัวเองจะลืมให้อาหาร จิ๋งซางถือถังน้ำและอุปกรณ์ทำความสะอาดมายังห้องหนังสือทันทีที่กลับมาถึงบ้าน เตรียมจะเก็บกวาดโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ด้านในมิให้มีฝุ่นเหมือนอย่างเวลาปกติ
ขอเพียงตัวเขาอยู่ที่เมืองเจาเกอ ทุกวันเขาก็จะทำเรื่องนี้
ดังนั้นไม่ว่าจิ๋งจิ่วจะมาครั้งไหน ก็จะมองเห็นห้องหนังสือห้องเดิมที่สะอาดสะอ้านและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
จิ๋งซางเปิดประตูห้องหนังสือ ตรวจสอบจนมั่นใจว่าข้าวของทุกอย่างที่อยู่ด้านในไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงแค่คนที่เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง จึงกล่าวอย่างตกใจว่า “ท่าน...เจ้ากลับมาแล้วหรือ?
จิ๋งจิ่วกำลังตั้งใจลับกระบี่ ไม่อยากถูกรบกวน แต่เมื่อมองเห็นถังน้ำและผ้าขี้ริ้วที่พาดอยู่บนหัวไหล่ของจิ๋งซางก็รู้สึกคล้ายว่าตนเองควรจะพูดอะไรบางอย่าง
ตอนแรกเขาเตรียมจะพูดว่าหลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้วนะ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้เคยพูดไปแล้ว ดังนั้นจึงถามขึ้นมาว่า “กินข้าวหรือยัง?”
ครอบครัวจิ๋งซางเพิ่งจะกลับมาจากเรือนตระกูลเจ้า ย่อมยังไม่ได้กินข้าว กลิ่นหอมของผักและข้าวที่ลอยออกมาจากในห้องครัวคือสิ่งยืนยัน
จิ๋งซางเข้าใจความหมายของเขาผิด จึงเชิญเขาไปยังเรือนด้านหน้าเพื่อกินข้าวด้วยกัน
จิ๋งจิ่วย่อมไม่เอาเวลาไปใช้กับเรื่องที่น่าเบื่ออย่างการกินข้าว แต่สุดท้ายก็ยังตามเขาไปยังเรือนด้านหน้า เตรียมจะใช้เวลาอันมีค่าพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับครอบครัวนี้เสียหน่อย
การพูดคุยเรื่อยเปื่อยนั้นเป็นเรื่องที่จิ๋งจิ่วไม่ถนัดที่สุด เขามองดูผู้เฒ่าจิ๋งที่สีหน้าดูกระอักกระอ่วน ผมทั้งศีรษะเป็นสีเงิน พลางพยักหน้าเล็กน้อย คิดในใจว่าดูเหมือนยาที่กู้ชิงส่งมาให้นั้นจะได้ผลไม่เลว
จิ๋งหลีคารวะเขาอย่างเคารพนอบน้อม ในใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชื่นชม
จิ๋งจิ่วไม่ได้ไถ่ถามเรื่องที่เขาบำเพ็ญเพียรและเรียนหนังสือเป็นเพื่อนองค์ชายจิ่งเหยา หากแต่มองดูเขาแล้วกล่าวว่า “ก้าวหน้าช้าไปหน่อย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปชิงซานแล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิ๋งซางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในใจคิดว่ามีวาสนาขนาดนี้เลยเชียวหรือ?
แต่จิ๋งหลีกลับรู้สึกกลุ้มใจ เขาอยู่ในขั้นสมความนึกคิดแล้ว จิ่งเหยาที่เป็นสายเลือดราชวงศ์ก็ยังมิอาจเทียบเขาได้ ราชองครักษ์จินที่อยู่ในวังยังบอกว่าเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่ผลสุดท้ายก็ยังก้าวหน้าได้ช้า? แล้วก็เรื่องที่เขาอาจจะได้ไปชิงซาน เขาย่อมต้องรู้ว่านั้นเป็นวาสนาที่หาได้ยาก แต่ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ นั่นมิเท่ากับว่าตนเองต้องแยกจากซือเอ๋อร์จริงๆ หรอกหรือ?
……
……
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าจิ๋งหลีกำลังคิดอะไรอยู่ ต่อให้รู้ก็ไม่มีทางสนใจ
ได้ผู้พิทักษ์ชิงซานเป็นผู้เบิกทางเริ่มสอนให้ ขอเพียงยินยอมก็สามารถตามเขาไปเรียนกระบี่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนไหนก็ล้วนแต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
แต่เรื่องการบำเพ็ญพรตเช่นนี้ ไม่ว่าจะได้ใครเป็นผู้ชักนำเข้ามา สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของแต่ละคน
ทุกคนล้วนแต่มีความคิดเป็นของตัวเอง มิอาจเรียกได้ว่าน่าเสียดาย
จิ๋งจิ่วกลับมายังห้องหนังสือ ตั้งใจลับกระบี่ต่อ ความเร็วยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็เอาเวลาที่เสียไปในเรือนด้านหน้ากลับมาได้
แขนขวาของเขากับกระดูกปีศาจท่อนนั้นส่งเสียงเสียดสีกันเบาๆ แล้วก็ยังมีความรู้สึกนุ่มนวลอย่างหนึ่งด้วย ฟังดูเสนาะหู
อย่างน้อยสำหรับเขาแล้วมันก็น่าฟัง เรียกได้ว่าไพเราะ
ในช่วงเวลาสามวันสามคืนหลังจากนั้น เขามิได้พักผ่อนแม้เพียงครู่ กระทั่งท่าทางก็มิได้เปลี่ยนแม้แต่น้อย
จนกระทั่งด้านนอกหน้าต่างมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
จิ๋งจิ่วหยุดการเคลื่อนไหว รู้ว่าว่าแขนปวดเมื่อยเล็กน้อย
นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมากสำหรับเขา
จริงอยู่ที่กระดูกปีศาจท่อนนั้นแข็งเป็นอย่างมาก แต่หลักๆ แล้วเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเขาเร็วเกินไป
หากนับการเสียดสีครั้งหนึ่งเท่ากับการออกกระบี่ครั้งหนึ่ง เช่นนั้นในช่วงเวลาสามวันสามคืนนี้ อย่างน้อยเขาก็ออกกระบี่ไปแล้วแสนครั้ง
ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่โง่เขลาแค่ไหน แต่การที่ได้ออกกระบี่เป็นจำนวนมากขนาดนี้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ขนาดนี้ ดูแล้วคงจะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่อยู่ในกระบี่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับเขา
หลังลับกระบี่มาสามวันสามคืน เขาก็ได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิถีกระบี่ แล้วก็สูญเสียพลังไปไม่น้อยด้วยเช่นกัน
“เทชาให้ข้าหน่อย” จิ๋งจิ่วกล่าว “
คนตระกูลจิ๋งย่อมไม่มีทางมารบกวนเขา คนที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
เวลาอยู่ที่เรือนนางคือหลานสาวคนเล็กสุด แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของปู่ อย่าว่าแต่น้ำตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ[1]เลย ต่อให้น้ำในฤดูอื่นนางก็ไม่มีสัมผัสถูก นั่นย่อมต้องรวมไปถึงน้ำชาด้วย
ตามหลักแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของจิ๋งจิ่ว นางควรจะโกรธเกรี้ยว อย่างน้อยก็ต้องแสดงความหยิ่งยโสออกมาหน่อย แต่ไม่รู้เป็นเพราะคิดถึง ‘เครื่องแป้ง’ เหล่านั้นหรือว่าเหตุผลอื่น นางกลับเปิดประตูเข้ามา ก่อนจะเทชาให้จิ๋งจิ่ว จากนั้นยืนคอยอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง
จิ๋งจิ่วรับเอาถ้วยชามาดื่ม สายตาตกลงเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้ารู้จักข้า?”
หญิงสาวเผยให้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วน กล่าวเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “ข้ารู้ว่าท่านคืออาจารย์เซียนจิ๋งจิ่ว”
จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องที่หลิ่วฉือและจัวหรูซุ่ยชอบทำเหมือนกันขึ้นมา พบว่าแบบนั้นก็สะดวกดีเหมือนกัน ดังนั้นจึงส่งเสียงอืมออกมา
คำว่าอืมนี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก เสียงที่ตวัดขึ้นลงนั้นสามารถแสดงความหมายออกมาได้หลายอย่าง
บางครั้งก็แสดงถึงความเห็นด้วย บางครั้งก็แสดงถึงความสงสัย บางครั้งก็แสดงถึงความโกรธเกรี้ยว หรือแม้นจะตวัดหางเสียงเพียงเล็กน้อยเหมือนกัน แต่มันกลับแสดงถึงการไถ่ถามหรือการท้าทายได้
สำหรับเหล่าคนเกียจคร้านของสำนักชิงซานแล้ว นี่ถือเป็นทักษะที่ควรจะเรียนรู้ให้ชำนาญ
จิ๋งจิ่วย่อมต้องกำลังถาม
หญิงสาวกล่าวอย่างกลัวๆ ว่า “ข้าเคยได้ยินพี่หลีบอกว่าท่านคือท่านอาเล็กของเขา วันนั้นหลังกลับไปยังเรือนด้านหลังแล้วข้าถึงนึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะเป็นท่าน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อืม?”
หญิงสาวรีบพูดว่า “พี่หลีมิได้บอกเรื่องอื่นกับข้า ข้าเองก็มิเคยบอกคนอื่นว่าท่านอยู่เมืองเจาเกอ”
จิ๋งจิ๋วกล่าวว่า “อืม”
หญิงสาวโล่งใจขึ้น มองดูกองเศษผงที่ส่องประกายอยู่บนโต๊ะ สุดท้ายทนเก็บความรู้สึกสงสัยเอาไว้ไม่ไหว จึงกล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “ท่านกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ลับกระบี่”
หญิงสาวงุนงง ในใจครุ่นคิดว่ากระบี่อยู่ที่ไหน?
จิ๋งจิ่วกล่าว “ต่อไปไม่ต้องมาอีก”
หญิงสาวรู้ว่านี่คือโอกาสสุดท้าย จึงรวบรวมความกล้า เตรียมจะพูดประโยคที่ตนเองครุ่นคิดมาเป็นเวลาสามวัน
“ไม่ต้องพูด”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็ไม่อยากฟัง บอกจิ๋งหลีว่าข้าดื่มชาของเจ้าไปถ้วยหนึ่ง แค่นี้ก็พอ”
หญิงสาวงุนงงอีกครั้ง ทันใดนั้นพลันเข้าใจความหมายของเขา รีบกล่าวขอบคุณ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องหนังสือไปหาจิ๋งหลี
จิ๋งจิ่ววางถ้วยชาลง จากนั้นลับกระบี่ต่อ
ชาถ้วยนี้เย็นแล้ว อีกทั้งวางเอาไว้สามวันสามคืนแล้ว
หากหญิงสาวผู้นั้นสังเกตเห็นถึงจุดนี้ บางทีเขาอาจจะทำมากกว่านี้ อย่างเช่นให้ในวังมีพระราชโองการให้แต่งงานกันไปเลย
……
……
ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ในที่สุดกระดูกปีศาจท่อนนั้นก็ถูกเขาลับจนหมด กลายเป็นผงกระดูกกองอยู่บนโต๊ะ
จิ๋งจิ่วเดินไปยังริมหน้าต่าง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา มีท้องฟ้าที่สูงใหญ่เป็นพื้นหลัง สังเกตดูมือทั้งสองข้างอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง
แขนขวาของเขาฟื้นคืนกลับมาไม่น้อย มองไม่เห็นการบิดเบี้ยวที่ดูชัดเจนแล้ว แต่มันยังคงมีความแตกต่างกับมือซ้ายอยู่
อย่างเช่นข้อนิ้วปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับผลไม้เคลือบน้ำตาลที่เสียบอยู่บนแท่งไม้ ยิ่งไปกว่านั้นตรงข้อมือยังคงบิดเบี้ยวอยู่เล็กน้อย
ความจริงแล้วการบิดเบี้ยวตรงข้อมือนั้นเล็กน้อยเป็นอย่างมาก หากไม่สังเกตดูดีๆ ก็ไม่มีทางมองเห็น แต่มันยังคงขัดตาเขาอยู่
เขาไม่ยอมให้มีอุปสรรคใดๆ มาอยู่ตรงหน้า แล้วก็ไม่ยอมให้มีความไม่สมบูรณ์แบบใดๆ มาอยู่ตรงหน้าด้วย
เขาจำเป็นต้องลับกระบี่ต่อ แต่กระดูกปีศาจท่อนนั้นถูกเขาใช้ลับไปจนหมดแล้ว เขาควรจะไปหาหินลับมีดก้อนใหม่มาจากไหน?
กระบี่คมจักรวาลพุ่งจากชั้นหนังสือออกไปด้านนอกหน้าต่าง บินอ้อมไปด้านนอกเรือนตระกูลจิ๋งด้วยความเร็วสูง ก่อนจะจิ้มไปที่อิฐก้อนหนึ่งเบาๆ
อิฐจมลงไป หินทรงกลมกลิ้งออกไป ภายในเรือนกั๋วกงมีชามกระเบื้องล้ำค่าแตกไปอีกใบ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลู่กั๋วกงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องหนังสือ ในใจครุ่นคิดว่านี่เกิดอะไรขึ้นอีก?
“เอากลับไปดื่ม ดีต่อร่างกาย”
จิ๋งจิ่วชี้ไปบนผงกระดูกที่อยู่บนโต๊ะ “รสชาติอาจจะแปลกหน่อย กินพร้อมชาเข้มๆ”
………………………………………………………………..
[1]น้ำตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศยังหนาวเย็น น้ำเองก็หนาวเย็นอย่างมาก เป็นการเปรียบเปรยถึงการทำงานบ้านต่างๆ