มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 11 แบ่งชา
กระดูกท่อนนี้มาจากปีศาจยักษ์ตนหนึ่งที่ไม่รู้จักชื่อ เช่นนั้นย่อมต้องล้ำค่า แต่กระทั่งกระเพาะของชางหลงก็ยังมิอาจย่อยสลายได้ มีแต่ต้องทำให้มันเป็นผงก่อนถึงจะสามารถใช้ประโยชน์ได้
จิ๋งจิ่วพอใจในการจัดการของตนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มิได้ทำให้ของสูญเปล่าหรือว่าเรื่องธรรมเนียมบนโลก
ตระกูลเจ้าและตระกูลจิ๋งมีกู้ชิงคอยดูแล ทุกปีจะส่งยาวิเศษมา เขาไม่ต้องจัดการอะไร
หลังจากการเรื่องนี้เสร็จ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เตรียมจะไปหาหินลับมีดอันใหม่
ลู๋กั๋วกงมั่นใจว่าเขาลืมเรื่องที่ตนเองเคยพูดไว้ในวัดกั่วเฉิงไปหมดแล้ว จึงกล่าวอย่างจนปัญญาขึ้นมาเพื่อจะรั้งเขาเอาไว้ว่า “ตอนนี้ฝ่าบาททรงรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ท่านเข้าวังไปดูหน่อยดีไหมขอรับ?”
องค์ชายจิ่งเหยาเติบโตขึ้น ก็หมายความว่าองค์ชายจิ่งซินถูกขังเอาไว้เป็นเวลาหลายปีแล้ว เหล่าขุนนางและกลุ่มต่างๆ ที่มีสำนักจงโจวอยู่เบื้องหลังเริ่มก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมาก็มีฎีกาถูกส่งเข้าไปในวัง ขอร้องให้ฝ่าบาททรงเมตตา หลังการต่อสู้ในวัดกั่วเฉิงจบสิ้นลง แรงกดดันที่ว่านี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะสำนักจงโจวและหลายๆ คนเริ่มสงสัยว่าระหว่างฮ่องเต้และสำนักชิงซานนั้นมีการทำข้อตกลงอะไรเอาไว้หรือเปล่า แม้ฝ่าบาทจะบอกว่าตนเองไปที่นั่นเพื่อทำการสักการะและบังเอิญเจออีกฝ่าย แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่อคำพูดนี้ล่ะ?
“ฆ่าจิ่งซินหรือไม่ก็ส่งไปเป็นพระที่วัดกั่วเฉิง เท่าก็ไม่มีใครกล้าวุ่นวายอีก”
จิ๋งจิ่วไม่รู้เรื่องการใช้อำนาจของฮ่องเต้ แล้วก็ไม่เคยสนใจมาก่อน ความเห็นที่ให้ไปจึงตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก
ตามหลักเหตุผลแล้ว จริงอยู่ที่วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาในตอนนี้ ในอดีตเขาก็เคยให้ความเห็นเช่นนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าวิธีที่ดีที่สุดมิได้หมายความว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด อย่าว่าแต่เรื่องที่จะลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งเช่นนี้เลย เอาแค่คำว่าพ่อลูกสองคำนี้มันก็เป็นเรื่องยุ่งยากเช่นเดียวกัน
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ลู่กั๋วกงตกตะลึงจนไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับจิ๋งจิ่วอีก จากนั้นคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวรายงานว่า “ใบไม้ทองคำลังนั้น เมื่อหลายปีก่อนข้าได้ถือวิสาสะคืนคุณชายหลี่ไปแล้ว ท่านว่าอย่างไรบ้างขอรับ?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าหลี่อะไร? คุณชายอะไร?
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ลู่กั๋วกงจึงรู้ว่าเขานั้นลืมไปแล้ว จึงหลุดยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “คุณชายของเจ้าเมืองต้าหยวนผู้นั้นไงขอรับ”
ในตอนนั้นจิ๋งจิ่วและกั้วตงท่องไปบนโลกเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ พวกเขาเคยพักอยู่ที่สำนักแม่ชีด้านนอกเมืองต้าหยวนอยู่ช่วงหนึ่ง ที่นั่นพวกเขาได้เจอกับคุณชายหลี่ที่ดีดพิณผู้หนึ่ง ภายหลังบ้านของคุณชายหลี่ผู้นั้นตกอับ กระทั่งรูปวาดโบราณแผ่นสุดท้ายที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษก็ยังถูกเพื่อนหลอกเอาไป ในตอนที่ออกจากเมืองต้าหยวน จิ๋งจิ่วได้ให้ใบไม้ทองคำแก่คุณชายหลี่ลังหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาจะส่งมันมายังเมืองเจาเกอ ส่งให้กับมือของที่ปรึกษาของลูกน้องของลู่กั๋วกง
ภายหลังภาพวาดรูปนั้นก็ถูกหากลับมาได้ จุดจบของเพื่อนคนนั้นย่อมไม่ดี กู้ชิงจัดการเรื่องราวมักจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
จิ๋งจิ่วนึกถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาได้ จึงส่งเสียงอืมออกมา
ในใจของลู่กั๋วกงเต้นตึกตัก รู้สึกว่าเสียงอืมนี้ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขากล่าวว่า “เจ้าเมืองหลี่ถวายฎีกาขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งองค์ชายจิ่งเหยาเป็นรัชทายาท ถึงได้พบเจอกับหายนะเหล่านี้ แต่เรื่องที่เขารับสินบนนั้นมีหลักฐานชัดเจน มิสามารถพลิกคดีได้ การที่สามารถกลับมาเป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองต้าหยวนได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวแล้วขอรับ”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ลู่กั๋วกงฟังออกถึงความหมายที่อยู่ในเสียงอืมนี้ นั่นเป็นการเห็นด้วยที่สุขุมและเยือกเย็น จึงรู้สึกโล่งใจ จากนั้นเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก
เรื่องที่ไปรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่สำนักแม่ชีสามพันนั้นเป็นเรื่องเมื่อสิบปีก่อน จนถึงตอนนี้ลู่กั๋วกงยังคงจำเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ได้ ก็เหมือนกับจิ๋งซางที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ลืมที่จะเก็บกวาดทำความสะอาดห้องทุกวัน จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องตอบแทนอะไรไปบ้าง ดังนั้นจึงยอมเข้าไปในวังตามคำแนะนำของลู่กั๋วกง
การบริหารบ้านเมืองกับการบำเพ็ญพรตนั้นเป็นเรื่องที่ยากเหมือนๆ กัน แต่การบริหารบ้านเมืองนั้นยุ่งยากมากกว่า วุ่นวายมากกว่า แล้วก็น่าเบื่อมากกว่า
จิ๋งจิ่วไม่ถนัด แล้วก็ไม่อยากจะไปคิดถึงเรื่องเหล่านี้ด้วย เขาเข้าไปในวังเพียงแค่ดื่มชากับฮ่องเต้ครู่หนึ่ง พูดคุยเรื่อยเปื่อยนิดหน่อย อย่างเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
ฮ่องเต้มองดูเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หากในเวลานี้เขายังเป็นหนุ่มอยู่ รอยยิ้มนี้บางทีอาจจะมองว่าเป็นการหยอกล้อก็ได้
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของเขา กล่าวว่า “ไม่ต้องถาม”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นมา มิได้กล่าวประเด็นนี้ต่อ หากแต่มองดูมือขวาของเขาแล้วกล่าวถามว่า “รักษาให้หายได้ไหม?”
“ถ้าไปเอายันต์เซียนที่เขาอวิ๋นเมิ่งมาอีกแผ่น ก็สามารถรักษาให้ได้ทันที”
สำนักจงโจวย่อมไม่มีทางเอายันต์เซียนออกมาอีก คำพูดของจิ๋งจิ่วสามารถเข้าใจว่าเป็นการล้อเล่นก็ได้ แล้วก็เป็นการบอกว่าเรื่องนี้จัดการได้ยาก
ฮ่องเต้ครุ่นคิด กล่าวว่า “ไม่รู้ว่าท่านคิดจะรักษาอย่างไร หากต้องการพวกยาหรือว่าของวิเศษ ภายในวังก็พอจะมีอยู่บ้าง”
“ถ้ามีเรื่องอะไรให้เจวี่ยนเหลียนเหรินไปบอกข้า” จิ๋งจิ่วโบกมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตำหนักไป
อาการบาดเจ็บของเขามิใช่สิ่งที่ยาจะรักษาได้ ภายในวังมีของวิเศษดีๆ อยู่ไม่น้อย แต่ปัญหาก็คือของวิเศษที่ระดับชั้นไม่สูงพอหรือมีความแข็งไม่พอ เอามาใช้มันก็เปล่าประโยชน์ อย่างเช่นไข่นกใบนั้น
ในตำหนักอีกหลังหนึ่ง พระสนมหูยืนจูงมือองค์ชายจิ่งเหยาอยู่ใต้ต้นไม้ ชะเง้อหน้ารอคอยการมาถึงของจิ๋งจิ่ว
ไม่ว่าจะเป็นนางหรือว่าจิ่งเหยาก็ล้วนแต่รู้สึกตื่นเต้น นางตื่นเต้นเพราะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจิ๋งจิ่วกับฝ่าบาทและเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเจาเกอในช่วงหลายปีมานี้ ส่วนองค์ชายจิ่งเหยาตื่นเต้นเพราะรู้สึกกดดันที่จะได้เจออาจารย์ปู่ แต่พวกเขาก็มิได้เจอจิ๋งจิ่ว เพียงแต่ได้รับแจ้งข่าวว่าจิ๋งจิ่วออกจากวังไปแล้ว
พระสนมหูรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง นางกล่าวต่อว่าเสียงเบาๆ ส่วนจิ่งเหยาที่อายุเพียงสิบกว่าขวบกลับรู้เรื่องกว่าผู้เป็นมารดา จึงกล่าวเตือนว่า “อาจารย์ปู่ไม่สนใจเรื่องทางโลก ปฏิบัติตัวดุจเซียนอย่างแท้จริง หากได้เจอถือเป็นวาสนา หากมิได้เจอก็ไม่เป็นไร”
พระสนมหูมุ่ยปาก กล่าวว่า “หากเขาไม่สนใจเรื่องทางโลกจริงๆ ต่อให้สภาวะสูงส่งแค่ไหนมันก็มิได้มีประโยชน์กับลูกเสียหน่อย?”
“ท่านแม่ผิดแล้ว”
จิ่งเหยายิ้มพลางกล่าวว่า “อาจารย์ปู่คืออาจารย์ปู้ ข้าคือศิษย์หลาน อาจารย์ปู่สภาวะยิ่งสูง ข้าก็ยิ่งดี หากอาจารย์ปู่สภาวะสูงสุดในใต้หล้า ข้าก็ยิ่งดีที่สุดในใต้หล้า”
หลักเหตุผลนี้เรียบง่าย กระทั่งเด็กอายุสิบห้าปีก็ยังเข้าใจได้ แต่คนที่คิดเยอะบางคน อย่างเช่นพระสนมหูกลับไม่เข้าใจ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่ยอมเชื่อหลักเหตุผลง่ายๆ นี้ ศิษย์ชิงซานในอดีตจำนวนมากก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ถึงได้มีเสียงต่อว่าเรื่องนักพรตจิ่งหยางที่เก็บตัวอยู่บนยอดเขาเสินม่อไม่ยอมออกมามากมายขนาดนั้น
……
……
ฤดูใบไม้ผลิของเรือนลู่กั๋วกงก็เหมือนกับที่อื่นๆ ในเมืองเจาเกอ ต่างก็เย็นสบายๆ เพียงแต่มีกลิ่นเผาใบไม้ที่ลอยมาแต่ไกลช่วยแต่งเติมความมีชีวิตชีวาเข้าไปเล็กน้อย
ชายชราตาบอดผู้นั้นนั่งอยู่ในสวน เงี่ยหูฟังเสียงเปรี๊ยะๆ ที่เกิดขึ้นตอนที่เผาใบไม้ด้านนอกกำแพง บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจ ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจคิดว่าวันนี้ในเรือนของนายท่านเตรียมจะทำลายของมีค่าชิ้นไหนอีก?
ในห้องนอนของลู่กั๋วกงมีชั้นวางดอกไว้อยู่อันหนึ่ง ด้านหลังเชื่อมต่อกับกลไกลับที่ทำขึ้นมาอย่างประณีต ขอเพียงกลไกลทำงาน ของที่อยู่บนชั้นวางดอกไม้ก็จะตกลงมา
ในช่วงเวลายี่สิบสามปี ที่นี่มีเครื่องปั้นดินเผาล้ำค่าที่ตกแตกกลายเป็นชิ้นๆ ไปหลายชิ้นแล้ว ราคาของเครื่องปั้นดินเผาเหล่านั้นเพียงพอที่จะซื้อคฤหาสน์ดีๆ ในเมืองเจาเกอได้หลังหนึ่งเลย
ลู่หมิงถือแจกันฉลุลายสีชมพูชิ้นหนึ่งเอาไว้ ก่อนจะวางมันลงบนชั้นวางดอกไม้อย่างระมัดระวัง เมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีการโยกโคลงเคลง จึงถอนใจออกมาเบาๆ
เมื่อมาย้อนนึกดูอีกที สุดท้ายแจกันใบนี้ก็ต้องตกลงมาแตก เขาจึงอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าความระมัดระวังของตนเองก่อนหน้านี้มันช่างหน้าขันเสียจริง
“ตอนนี้ในราชสำนักมีหลายคนกำลังคาดเดาว่าฝ่าบาทกับชิงซานมีข้อตกลงอะไรกันแน่ พาคาดเดากันไปต่างๆ นาๆ ช่างน่าขันจริงๆ”
ลู่กั๋วกงยกถ้วยชาขึ้นมา จิบชาดำที่ชอบดื่มในช่วงฤดูใบไม้ผลิพลางกล่าววว่า “พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่ามิใช่ชิงซานที่อยากจะเข้ามาในเมืองเจาเกอเพื่อแย่งชิงกับสำนักจงโจว หากแต่เป็นฝ่าบาทที่คิดอยากจะยืมกระบี่ของชิงซาน”
ลู่หมิงกล่าวว่า “ปัญหาอยู่ที่ว่าทางชิงซานนั้นมีเพียงแค่ยอดเขาเสินม่อที่ออกหน้า อาจารย์เซียนยังบำเพ็ญเพียรได้ไม่ยาวนาน เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะรับมือไม่ไหวนะขอรับ”
ลู่กั๋วกงมองดูบุตรชาย ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าจะไปรู้อะไร
เขามิได้พูดประโยคนั้นออกมา แต่ลู่หมิงกลับอ่านสายตาของผู้เป็นบิดาออก จึงคิดอย่างน้อยใจว่า ท่านไม่พูดอะไร แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร
ลู่กั๋วกงคิดถึงเรื่องที่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเอาไว้ พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ที่ผ่านมาข้าคิดว่าอาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วนั้นเป็นเซียนที่ทำอะไรง่ายๆ ไม่รู้เรื่องราวบนโลก กระทั่งวันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้คนเราหากเชี่ยวชาญในเรื่องหนึ่ง ก็จะเชี่ยวชาญในเรื่องอื่นๆ ด้วย กระทั่งเรื่องการแสดง อาจารย์เซียนก็ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยม”
ลู่หมิงไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
“หลายปีมานี้อาจารย์เซียนแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเจวี่ยนเหลียนเหรินนั้นคือหูตาของราชสำนัก กระทั่งข้าก็ยังเชื่อ หรือฝีมือการแสดงนี้ไม่ถือว่าดีล่ะ?”
จากนั้นลู่กั๋วกงคิดถึงของที่จิ๋งจิ่วมอบให้ตนเองมา จึงกล่าวกับบุตรชายว่า “หลังกินข้าวเย็นไปตามทุกคนมารวมตัวกัน บอกว่าพ่อมีเรื่องที่สำคัญจะพูดด้วย”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “แค่ครอบครัวของเรานะ อย่าให้ป้าฉือของเจ้ารู้ล่ะ”
……
……
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ทุกคนในเรือนกั๋วกงก็เตรียมดื่มชา พูดคุยหยอกล้อกั๋วกงเหมือนอย่างทุกที แต่กลับพบว่าบรรยากาศในคืนนี้ดูแปลกไป
ชาที่ควรจะยกมาตั้งนานแล้วยังคงไม่ยกออกมา กั๋วกงที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บุตรชายของเขาเองก็เหม่อลอยบ่อยๆ เหลือบมองไปทางด้านหลังเป็นพักๆ
ป้าฉือคือน้องคนเล็กของฮูหยินของกั๋วกง เมื่อปีที่แล้วตามพ่อของตัวเองมาหางานที่เมืองหลวง ได้รับเชิญให้มาพักอยู่ที่เรือนกั๋วกง ถือเป็นหญิงที่เฉลียวฉลาดอย่างมากคนหนึ่ง เมื่อเห็นสถานการณ์แปลกไป จึงอ้างว่าปวดหัว รีบพาลูกสะใภ้และหลานสาวสองสามคนหลบออกไปก่อน
จากนั้น ผู้ดูแลทั้งหมดก็ออกไปจากเรือนด้านหน้า ประตูห้องถูกปิดสนิท ครอบครัวตระกูลลู่ทั้งสามรุ่นต่างมองหน้ากัน ในใจครุ่นคิดว่านี่จะทำอะไร? โดยเฉพาะคุณนายใหญ่ที่แอบทำอะไรกับบัญชีไปไม่น้อยนั้นยิ่งรู้สึกตื่นเต้น
ลู่หมิงเดินไปยังด้านหลัง ยกเอากาใบใหญ่ออกมา ใช้มือลูบตัวกา จากนั้นมองไปทางลู่กั๋วกงพลางกล่าวอย่างกังวลใจว่า “เย็นนิดหน่อยแล้ว จะมีปัญหาหรือเปล่าขอรับ?”
ลู่กั๋วกงกล่าว “ชาไม่สำคัญ สำคัญคือยานั่น”
ภรรยาของลู่หมิงรีบลุกขึ้น กล่าวว่า “ตอนที่ต้มยาข้าคอยดูอยู่ตลอด ไม่ให้ใครไปยุ่งกับมันค่ะ”
ลู่กั๋วกงพอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้มาโดยตลอด จึงลูบเคราพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แบ่งให้ทุกคนเลย”
……
……
ยาที่อยู่ภายในชามมีสีดำ ไม่รู้ว่าใส่อะไรลงไปบ้าง แต่เหล่าคนที่อยู่ในเรือนกั๋วกงล้วนแต่เป็นคนฉลาด เมื่อเห็นกั๋วกงรอจนป้าฉือออกไปก่อนแล้วจึงพูดขึ้นแล้ว แล้วก็เห็นท่าทางของลู่หมิงที่แบ่งยาให้คนจะสองคำอย่างระมัดระวัง แล้วก็เห็นว่ายาที่อยู่ในแต่ละชามแทบจะเหมือนกัน พวกเขาย่อมต้องรู้ว่ายานี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก กระทั่งกั๋วกงบอกให้ดื่มแล้ว พวกเขาก็รีบยกยาขึ้นมาเทใส่ปากโดยไม่พูดอะไรอีก
รสชาติของยานั้นค่อนข้างแปลกจริงๆ ด้านในเหมือนมีผงแป้งผสมอยู่ ความรู้สึกเหมือนเมี่ยนฉา[1] ที่ทางเหลิ่งซานชอบดื่มกัน แล้วก็คล้ายเมี่ยนหู[2]ของทางอวี้จวิ้น มีกลิ่นไหม้และกลิ่นคาวจางๆ รู้สึกยากที่จะกลืนลงไปได้ โชคดีที่ชามและตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะยังไม่ถูกเก็บไป มีบางคนหยิบเอาตะเกียบขึ้นมาคน ไม่ทันไรภายในโถงเต็มไปด้วยเสียงตะเกียบกระทบกับชาม คล้ายว่ากำลังจะเริ่มทานข้าวกันใหม่อย่างไรอย่างนั้น
หลานผู้หญิงและหลานผู้ชายที่ยังเด็กอยู่ได้กลิ่นคาวที่ลอยออกมาจากยาก็ไม่อยากจะดื่ม แต่กลับถูกพ่อแม่บังคับกรอกยาเข้าไปในปาก
สีหน้าและท่าทางของทุกคนล้วนแต่อยู่ในสายตาของกั๋วกง เขามิได้โกรธ แต่กลับรู้สึกชื่นชม ในอดีตเขาเลือกลู่หมิงซึ่งเป็นบุตรชายคนเล็กมาสืบทอดตำแหน่งกั๋วกง ลูกชายอีกสองคนย่อมต้องรู้สึกไม่พอใจ แต่พวกเขาก็รู้ตัวอย่างรวดเร็ว รีบเปลี่ยนความโกรธแค้นนั้นเป็นแรงผลักดันในการหาเงิน มิได้ก่อความวุ่นวายอะไร ถือว่าชาญฉลาดทีเดียว
ในสถานที่อย่างเรือนกั๋วกงนี้ ความใจดีและความอ่อนโยนนั้นสามารถมีได้ แต่กลับไม่สำคัญ วิสัยทัศน์และความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เมื่อเห็นชาทั้งหมดถูกดื่มจนหมดแล้ว ลู่กั๋วกงก็ลูบเครายาวๆ ของตัวเองอีกครั้ง พลางกล่าวว่า “ดีมาก ข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอกนะว่าในยาพวกนี้มันคืออะไร เดี๋ยวพวกเจ้าจะค่อยๆ รู้ถึงประโยชน์ของมันเอง พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
……
……
กระดูกของปีศาจยักษ์ย่อมต้องเป็นยาบำรุงที่ดีอย่างมาก มันสามารถช่วยยืดอายุขัยได้
การยืดอายุขัยเช่นนี้มีแต่ต้องรอถึงวันที่จะตายถึงจะสัมผัสได้ แต่คนที่อยู่ในเรือนกั๋วกงล้วนแต่เป็นคนฉลาด ในเมื่อคาดเดาได้ว่ายานี้มีประโยชน์อย่างมาก ในใจย่อมต้องเกิดความรู้สึกที่ดี มีบางคนถึงขนาดรู้สึกเหมือนตัวเองลอยขึ้นมาแล้ว
อย่างเช่นภรรยาของลู่หมิง
หลังทุกคนแยกย้ายออกไปแล้ว นางและลู่หมิงพยุงกั๋วกงกลับมาที่ห้อง รู้สึกว่าในระหว่างทางที่เดินมา เท้าของตัวเองเหมือนเหยียบอยู่บนเมฆอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็รู้สึกว่าหว่างคิ้วร้อนผ่าว ทันใดนั้นเกิดความกล้าขึ้นมาอย่างมาก พลันคุกเข่าลงตรงหน้ากั๋วกง
……………………………………………………
[1]เมี่ยนฉา คือชาที่ทำจากธัญพืช มีลักษณะข้นๆ
[2]เมี่ยนหู คืออาหารชนิดหนึ่ง ทำมาจากแป้งผสมน้ำหรือขนมปังผสมนม มีลักษณะข้นๆ