มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 14 หนึ่งวันสั้นเกินไป ได้แต่ต้องช่วงชิงเวลาหมื่นปี (2)
จิ๋งจิ่วยังคงไม่สนใจ เพราะอย่างไรเสียวิญญาณร้ายเหล่านั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วก็ทำให้คนที่มีสิทธิ์ขึ้นยอดเขาเสินม่อมาเยี่ยมเยือนเขาเหล่านั้นหวาดกลัวไม่ได้เช่นกัน
หลังจากนั้นหลายร้อยปี เขาหิ้วเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นไปบนยอดเขาเสินม่ออีกครั้ง แล้วก็พบเจอกับวิญญาณร้ายเหล่านั้น
นี่แสดงให้เห็นถึงหลักเหตุผลอย่างหนึ่ง ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้คิดที่จะเกียจคร้าน
ต่อให้ขี้เกียจได้ช่วงหนึ่ง แต่หลังจากนั้นอีกสามร้อยปีเจ้าก็ต้องจัดการมันด้วยตัวเองอยู่ดี
หากเขาไม่สนใจภูตผีและวิญญาณร้ายที่ล่องลอยอยู่รอบกายในเวลานี้ ไม่แน่อีกหลายร้อยปีหลังจากนี้พวกมันอาจจะกลายเป็นปัญหาของเขาก็ได้
เขาคิดเข้าใจถึงหลักเหตุผลนี้ จึงส่ายศีรษะ กุมกระบี่คมจักรวาลเอาไว้ก่อนจะสะบั้นลงไป
วิญญาณร้ายเหล่านั้นเมื่อสัมผัสกับเจตน์กระบี่ที่เย็นยะเยือกสายนี้ ก็แตกสลายกลายเป็นเศษฝุ่นที่เล็กที่สุด ก่อนจะสลายหายไป
แต่ภูตผีเหล่านั้นกลับยังไม่สลายหายไปไหน
กระบี่คมจักรวาลพุ่งลงไปในลำธารก่อนจะพุ่งขึ้นมาพร้อมกับลาวาที่แดงฉานจำนวนนับไม่ถ้วน ลาวาเหล่านั้นจับตัวเป็นตัวหนังสือที่ดูเลือนลางจำนวนหลายร้อยตัว หากมองดูดีๆ ก็จะรู้ว่านั่นเป็นคัมภีร์ธรรมะบทหนึ่งของวัดกั่วเฉิง
แสงไฟส่องสว่างถ้ำที่มืดมิดและใบหน้าของภูตผีเหล่านั้น
ใบหน้าของภูตผีเหล่านั้นค่อยๆ เลือนลาง พลังชั่วร้ายก็ค่อยๆ หายไป สุดท้ายกลายเป็นแสงใสกระจ่าง จากนั้นสลายหายไป
ไม่ว่าจะเป็นภูติผีหรือว่าวิญญาณร้าย หากไม่มีอาวุธวิเศษคอยสนับสนุนก็ยากที่จะทำการโจมตีอันน่ากลัวเหมือนกระแสน้ำหลากได้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ไม่หวาดกลัวต่อความชั่วร้าย เช่นนั้นย่อมต้องสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย
แต่ความจริงแล้วกระบี่นี้นั้นมิได้เรียบง่าย หักแต่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ
นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครฟันกระบี่นี้ออกไปได้ กระทั่งตัวเขาหากไม่ได้ไปฟังธรรมะอยู่ในวัดกั่วเฉิงเป็นเวลาหกปีก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วเอาเศษชิ้นส่วนของอาวุธวิเศษโยนลงไปในลำธารลาวา จากนั้นเหยียบอากาศยานออกไป
เขายังไม่คิดจะจากไป กระดูกปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในสนามรบโบราณกำลังรอเขาอยู่ เมื่อคิดถึงจุดนี้ กระทั่งตัวเขาเองก็รู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอคอยแล้วเช่นกัน
เขาหมุนตัว ชูมือขวาออกไป
เสียงหวึ่งดังเบาๆขึ้นมา
ภายในถ้ำอันมืดมิดมีลมแผ่วเบาสายหนึ่งพัดขึ้นมา
เขาหายตัวไป
บนพื้นมีรูกลมๆ ปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง
ลาวาที่ร้อนระอุไหลทะลักจากร่องหินที่อยู่ด้านล่างเข้ามาในรู ก่อนจะไหลท่วมรูจนเต็ม ไม่เหลือร่องรอยใดๆทิ้งเอาไว้
……
……
หินละลายกลายเป็นแม่น้ำ นี่แสดงให้เห็นว่าลงมาลึกถึงใจกลางโลกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นสำนักฝ่ายธรรมะหรือว่าอธรรม ผู้บำเพ็ญพรตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุขนาดนี้ได้
จิ๋งจิ่วไม่พบเจอยอดฝีมือที่แอบซ่อนตัวอยู่อีก แล้วก็ไม่รู้ว่านี่เขาโชคดีหรือว่าโชคร้าย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาพุ่งทะลุผนังหินออกมา
ที่นี่คือถ้ำใต้ดินที่มีขนาดใหญ่อย่างมากแห่งหนึ่ง เพดานถ้ำและพื้นถ้ำอยู่ห่างกันหลายร้อยจ้าง ดูกว้างขวางเป็นอย่างมาก
ลำธารที่เกิดขึ้นจากลาวาอันร้อนระอุสายหนึ่งไหลไปเรื่อยๆ อยู่บนพื้น
หากมิใช่เพราะว่าลาวาเหล่านั้นร้อนระอุและสว่างเจิดจ้าเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไหลเร็วเป็นอย่างมาก ตอนที่ชนกับริมฝั่งเกิดเป็นเสียงโครมครามดังสนั่น เขาก็เกือบจะคิดว่าที่นี่ยังคงเป็นลำธารลาวาก่อนหน้านี้สายนั้นอยู่
คนเราไม่อาจย่ำลงไปในแม่น้ำที่เหมือนกันสองสายได้ แต่ไปๆมาๆ สุดท้ายก็มักจะได้เจอทิวทัศน์ที่คล้ายคลึงกัน
เขาบินลงมายังริมฝั่งลำธารลาวา ทอดตามองออกไป
ลำธารเพลิงที่สว่างเจิดจ้าและร้อนระอุทอดตัวยาวออกไปสิบกว่าลี้ จากนั้นจู่ๆ ก็แยกตัวออกเป็นลำธารสองสาย
มันไม่ได้แยกตัวไปทางตะวันตกเส้นหนึ่งและทางตะวันออกเส้นหนึ่ง หากแต่แยกตัวขึ้นไปข้างบนเส้นหนึ่งลงไปข้างล่างเส้นหนึ่ง
มีบางคนเคยพบเรื่องราวเช่นนี้ เมื่อเห็นภาพแบบนี้ก็อาจจะเกิดความรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาบ้าง แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่มี
ต่อให้มี ก็มองไม่ออก
ในลำธารพ่นเปลวเพลิงและลาวาที่น่ากลัวออกมาไม่หยุด ส่องสว่างใบหน้าที่เรียบเฉยของเขา
หลังจากนั้นเขาหมุนตัวเดินขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ เนินหนึ่ง รับรู้ถึงพลังที่อยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รู้ว่าตนเองไม่ได้มาผิดที่
เมื่อนานมาแล้ว อีกด้านหนึ่งของเนินแห่งนี้เคยเป็นสนามรบที่เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าหมิงเคยใช้ต่อสู้กัน
หลังจากที่หุบเขาจวี้หุนถูกสำนักจงโจวผนึกเอาไว้ สนามรบโบราณแห่งนี้ก็จมลงมาอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของใต้ดิน
นั่นเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณสามหมื่นปีก่อน สำนักจงโจวเพิ่งจะก่อตั้งสำนักได้ไม่นาน อยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดครั้งแรก แต่เขาไม่ค่อยแน่ใจ
หลังผ่านไปหลายปี กระดูกของยอดคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องถูกขนเอาไปฝังไว้แล้วอย่างแน่นอน ศพของยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์หมิงก็ไม่ได้เหลือทิ้งเอาไว้ หากคิดอยากจะมาหาอาวุธวิเศษหรือว่าบันทึกลับในการบำเพ็ญเพียรที่ยอดฝีมือเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ที่นี่ก็ยิ่งเป็นเรื่องเพ้อฝัน ทว่าสิ่งที่เขามาหาคือกระดูกของอสูรและปีศาจเหล่านั้น ต่อให้สำนักบำเพ็ญพรตของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะละโมบแค่ไหน ต่อให้ลอกเนื้อเถือหนังชิงตานเอาไปจนหมด แต่ดูแล้วพวกเขาก็คงจะไม่สนใจกระดูกที่ใหญ่และหนักเหล่านั้น กระดูกเหล่านั้นนอกจากไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว จะเอาไปแช่ชาเพื่อดื่มก็มีได้มีประโยชน์อะไรต่อผู้บำเพ็ญพรตเช่นเดียวกัน ก็เลยเหลือทิ้งเอาไว้ให้เขาได้ใช้พอดี
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดพลางเดินขึ้นมาถึงจุดที่สูงที่สุดของเนินแห่งนี้ จากนั้นทอดตามองลงไปยังเบื้องล่าง
ถ้ำที่อยู่ทางนี้มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิม พื้นดินเป็นทุ่งกว้างสีดำ ทอดตัวยาวออกไปหลายสิบลี้
แสงไฟจากลำธารลาวาส่องสว่างภายในถ้ำ สาดกระทบลงไปบนทุ่งกว้าง คล้ายท้องฟ้ายามเย็นอย่างไรอย่างนั้น
บนทุ่งกว้างที่อยู่ภายใต้แสงสว่างเหมือนอาทิตย์ยามเย็นมีกระดูกของปีศาจขนาดใหญ่กระจัดกระจายอยู่หลายร้อยศพ ทอดเป็นเงาดำขนาดใหญ่ออกมา
อสูรและปีศาจที่ตายไปเหล่านี้ยังคงอยู่ในท่าทางที่ตายไปในตอนนั้น ยังคงมีขนาดใหญ่มหึมา ยังคงดูน่ากลัว
สนามรบโบราณในอดีตแห่งนี้คล้ายมิได้เดินผ่านช่วงเวลาหลายหมื่นปีมา หากแต่ยังคงให้ความรู้สึกเหมือนผ่านอะไรมามากมาย
จิ๋งจิ่วมาถึงหน้าโครงกระดูกปีศาจขนาดใหญ่ที่เป็นสีขาวร่างหนึ่ง
เมื่อดูจากลักษณะภายนอกของกระดูกแล้ว ปีศาจตัวนี้ดูคล้ายช้างธรรมดา แต่กลับมีขนาดใหญ่กว่าสิบเท่า
สิ่งที่จิ๋วจิ๋วรู้สึกสนใจมากที่สุดก็คืองาของปีศาจยักษ์ตัวนี้
เขายื่นมือซ้ายออกไป แต่กลับคว้าเจอเพียงความว่างเปล่า
งายักษ์ที่มีความยาวประมาณสิบจ้างแตกสลายเป็นผุยผง ฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า ตกลงมาบนใบหน้าและร่างกายของเขา
หลังจากนั้นโครงกระดูกของปีศาจยักษ์ตัวนี้ก็แตกกระจายเหมือนกระท่อมฟางที่อยู่ในลมพายุ ตกลงมาบนพื้น กลายเป็นฝุ่นผงเช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นเดินไปยังหน้าโครงกระดูกอีกครั้งหนึ่ง ยื่นนิ้วก้อยมือซ้ายออกไป
เรื่องราวแบบเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง
โครงกระดูกของปีศาจยักษ์แตกกระจาย กลายเป็นเศษผงสีขาวที่ดูสะดุดตาบนทุ่งกว้างสีดำ
ผ่านมาหลายหมื่นปี
ทุกอย่างต่างผุพังไปหมดแล้ว
โครงกระดูกปีศาจในคุกสะกดมารท่อนนั้นแช่อยู่ในกระเพาะของชางหลงมาเป็นเวลาหลายปี ถูกมือขวาของเขาลับตั้งแต่ฤดูร้อนจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงถึงจะกลายเป็นฝุ่นผง
แต่โครงกระดูกของปีศาจยักษ์ที่อยู่บนทุ่งกว้างเหล่านี้กลับพังถล่มลงมาทันทีที่สัมผัส
เวลาหลายหมื่นปีเคยผ่านมาที่นี่ มันได้แสดงพลังของมันออกมาในที่ที่เรามองไม่เห็น
พลังอันยิ่งใหญ่ของเวลาคือกระบี่ที่คมที่สุดในโลกนี้
จิ๋งจิ่วยืนอยู่หน้าโครงกระดูกยักษ์หลายร้อยโครง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเดินจากไป
ในตอนที่เดินจากไป ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ เสื้อผ้าของเขาได้ปลิวขึ้นมาเบาๆ ทำให้เกิดสายลมแผ่วเบาสายหนึ่ง
โครงกระดูกยักษ์จำนวนหลายร้อยโครงค่อยๆ พังถล่มลงมา อีกสักหลายปีหลังจากนี้มันก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทุ่งกว้างสีดำแห่งนี้
จิ๋งจิ่วมิได้เหลียวหน้ากลับไปมอง เขาเดินกลับไปยังโถงถ้ำที่เหมือนอยู่ในแสงอาทิตย์ยามเย็น นั่งลงตรงริมลำธารลาวา
ลาวาที่อยู่ในลำธารปะทุขึ้นมา ไหลเชี่ยวกราก เหมือนน้ำพุกลับหัว คล้ายผู้คนที่กระโดดโลดเต้นด้วยความสุข
เสียงโครมครามดังไม่ขาดสาย
ลำธารไหลไปเบื้องหน้า
ไหลไปไม่ย้อนกลับ
ควรรู้ค่าวันและคืน
แต่ถ้าหากมีวันเวลาอันยาวนาน ไยต้องรู้ค่า
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
………………………………………