มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 15 ไหลตามและไหลทวน (1)
ไม่ต้องรู้ค่าวันคืน แต่ยังต้องแข่งกันเวลา เช่นนี้วันเวลาอันยาวนานถึงจะยาวนานยิ่งขึ้น
ตามหลักแล้ว หลังจิ๋งจิ่วคิดประโยคนั้นเสร็จเรียบร้อยก็ควรจากไป จากเขามิได้ลุกขึ้น หากแต่ยังนั่งเหม่อลอยอยู่ริมลำธารลาวา
เขาออกมาจากชิงซานก็เพื่อตามหาหินลับกระบี่ ตอนนี้กระดูกปีศาจที่ได้จากคุกสะกดมารถูกเขาใช้ไปหมดแล้ว กระดูกปีศาจที่อยู่ใต้หุบเขาจวี้หุนเองก็กลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว อย่างนั้นควรจะไปที่ไหนอีกล่ะ?
เขายังคงเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องราวทางโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นในเรื่องเล็กน้อยบางเรื่อง อย่างเช่นบางครั้งเขาจะออกมาจากชิงซาน ในเวลาที่ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก ข้างกายเขามักจะมีคนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกู้ชิงหรือว่ากั้วตง หรือไม่ก็เจ้าล่าเยวี่ย ตอนนี้เขาจึงไม่ค่อยชินกับการอยู่คนเดียว รู้สึกค่อนข้างน่าเบื่อ
เขาไม่ได้หยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา เพราะอุณหภูมิข้างลำธารลาวานั้นสูงเกินไป อาจจะมีเปลวไฟกระเด็นขึ้นมาได้ ถ้าเกิดเก้าอี้ไม้ไผ่ถูกไฟเผาไป เช่นนั้นมันก็น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
แต่เขาก็ไม่ได้หยิบเอาจานกระเบื้องออกมาเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่ค่อยได้เล่นกองทรายแล้ว
จู่ๆ เขาพลันลุกขึ้นยืน ถอดชุดสีขาวเก็บขึ้น เดินลงไปในลำธารลาวา กระบี่คมจักรวาลตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ
เขาไม่ได้ถูกช่วงเวลาหลายหมื่นปีทำให้ท้อแท้จนตัดสินใจที่จะเดินลงไปในลำธารลาวาเพื่อฆ่าตัวตาย หากแต่คิดอยากจะอาบน้ำเท่านั้น
ลาวาที่ร้อนระอุเป็นเหมือนน้ำสีทอง เขาวักเอาลาวาที่อยู่ในลำธารขึ้นมาล้างหน้า จากนั้นร่างกายค่อยๆ จมลงไป บนผิวลาวามีเปลวไฟดวงเล็กๆ ปะทุขึ้นมาหลายร้อยดวง
นอกจากไฟที่ร้อนเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ที่เกิดจากอาวุธวิเศษชั้นเซียนและเตาวิเศษเหล่านั้นแล้ว ก็ยากที่จะมีเปลวไฟที่สามารถทำอันตรายเขาได้ รวมไปถึงลาวาที่ร้อนระอุและน่ากลัวเหล่านี้ด้วย
อุณหภูมิของลาวานั้นสูงเป็นอย่างมาก แม้จะหลับตาอยู่ แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุนั้น ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดเบาๆ จากนั้นก็เกิดเป็นความรู้สึกสบาย
การอบไอน้ำนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆ สำหรับเขา การนวดเองก็เช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขากลับค้นพบความสำราญที่คล้ายคลึงกันนั้นจากในลำธารลาวาที่อยู่ใต้ดิน
จิ๋งจิ่วรู้สึกสบาย จึงนอนลงไปในลาวา มือทั้งสองข้างหนุนอยู่ด้านหลังศีรษะ เหม่อมองดูเพดานถ้ำที่ดูคล้ายท้องฟ้ายามเย็น
……
……
ความจริงผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากต่างไม่เข้าใจ ความจริงแล้วการบรรลุกลายเป็นเซียนกับการเป็นอมตะนั้นมิได้มีความข้องเกี่ยวในลักษณะที่ไม่สามารถตัดขาดออกจากกันได้
การบรรลุกลายเป็นเซียนนั้นมิได้หมายความว่าจะอยู่เป็นอมตะ เซียนรุ่นก่อนๆ ที่จากแผ่นดินเฉาเทียนไปเหล่านั้นอาจจะตายไปตั้งนานแล้วก็เป็นได้
การเป็นอมตะก็มิได้หมายความว่าจะได้บรรลุกลายเป็นเซียน จากที่จิ๋งจิ่วสังเกตดู หยวนกุยที่อยู่บนยอดเขาเทียนกวงอย่างน้อยก็อยู่ไปได้อีกหลายร้อยปี หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น
เป็นอมตะก็เพื่อจะได้ใช้ชีวิต
บรรลุกลายเป็นเซียนเพื่อจะได้ออกไป
การใช้ชีวิตและการออกไปก็เพื่อจะได้ตามหาความสำราญใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ
ความสำราญเช่นนี้รวมไปถึงความสำราญที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณของชีวิตด้วย ทว่ามันไม่ได้จำกัดแค่เพียงเท่านี้ มันยังหมายถึงการที่เราได้ค้นพบความรู้ที่ไม่เข้าใจ ได้ค้นพบกฎเกณฑ์ที่ไม่เคยได้สัมผัส ได้ค้นพบโลกแปลกหน้าที่ไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน เช่นนั้นการอาบน้ำในลาวา ได้แช่อยู่ในลาวาเหมือนแช่อยู่ในน้ำพุร้อนก็เป็นความสำราญอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
จากนิสัยของจิ๋วจิ๋ว ต่อให้บางครั้งเขาจะรู้สึกสำราญกับเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางหลงอยู่ในความสำราญเหล่านี้นานนัก
เพราะประสบการณ์แปลกใหม่เหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่สามารถอนุมานออกมาได้ เป็นสิ่งที่อยู่ในการคาดการณ์
วันนี้เขานอนแช่อยู่ในลาวาเป็นเวลานาน
ก่อนที่จะลงมายังใต้ดิน เขานั่งอยู่ริมทะเลสาบเป็นเวลาหนึ่งคืนเต็ม
ตอนที่อยู่ตรงบ่อผ่านฟ้าริมทะเลตะวันออกในตอนนั้น เขาก็มองลงไปยังด้านล่างเป็นเวลานาน
นั่นล้วนแต่เป็นเพราะเขากำลังลังเล
ก่อนเดินทางลงมาเขาได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าด้านล่างหุบเขาจวี้หุนคงจะหากระดูกปีศาจที่เหมาะสมได้ยาก แล้วก็อาจจะมีอันตรายอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ยังมา
เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับหุุบเหวลึก และอีกฝั่งหนึ่งของหุบเหวลึกก็คือดินแดนหมิง
เขาไม่อยากไปที่ราบหิมะ เพราะที่ราบหิมะอันตราย เขายิ่งไม่อยากไปดินแดนหมิง เพราะทางด้านนั้นก็อันตรายอย่างมากเช่นเดียวกัน
ตามหลักแล้ว เขาควรจะหมุนตัวแล้วเดินจากไปอย่างไม่ลังเล แต่เหตุใดในเวลานี้เขากลับยังนอนอยู่ในลาวา เหม่อมองดูเพดานสีส้มแดงที่เหมือนท้องฟ้ายามเย็น?
……
……
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าจิ๋งจิ่วชอบอะไร
หลิ่วสือซุ่ยรู้เพียงว่าเขาชอบนอนบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบนยอดเขาเทียนกวงหรือที่วัดกั่วเฉิง เขาก็ไม่ลืมที่จะปลูกต้นไผ่เอาไว้ เพื่อจะได้สะดวกในการซ่อมแซมเก้าอี้ให้จิ๋งจิ่ว
กู้ชิงรู้เพียงว่าเขาชอบดูหิมะ ดังนั้นทุกปีในตอนที่หิมะตกลงมา เขาและหยวนฉวี่จะย้ายออกมาจากในตำหนักเต๋า เพื่อเอาตำแหน่งริมหน้าต่างมอบให้แก่ผู้เป็นอาจารย์
เจ้าล่าเยวี่ยรู้เพียงว่าเขาชอบให้ตัวเองไว้ผมยาว ดังนั้นนางจึงไม่ไว้ แต่ก็ยังยืนกรานที่จะให้เขาหวีผมให้ตัวเอง
แต่กระทั่งพวกเขาทั้งสามคนก็ยังไม่รู้ว่าแท้ที่จริงจิ๋งจิ่วชอบอะไรกันแน่
มีหลายเรื่องที่เขาไม่ยอมทำ นั่นเป็นเพราะว่าเขาขี้เกียจ หรือไม่ก็รู้สึกว่ามันไม่มีความหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบ
อย่างเช่นเขาไม่กินหม้อไฟ เป็นเพราะเขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวในขณะที่กินมันน่าเบื่อ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบหม้อไฟ
ในอดีตตอนที่อยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ ในตอนที่ศิษย์พี่ หยวนฉีจิงและหลิ่วฉือกินหม้อไฟ เขามักจะชอบนั่งดูอยู่ข้างๆ
ความเคยชินเช่นนี้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ตอนนี้ เขาชอบนั่งดูเจ้าล่าเยวี่ยกินหม้อไฟ
ในเหลาสุราจำนวนนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินเฉาเทียนล้วนแต่มีน้ำแกงสีขาวที่เคยถูกเขามองดูมันเดือดจนเหือดแห้ง
มีเพียงกั้วตงที่รู้คำตอบ
สิ่งที่จิ๋งจิ่วไม่ชอบมากที่สุดก็คือการติดค้างคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นน้ำใจหรือว่าเงินหรือว่าสิ่งอื่น
ในอดีตหลังจากที่เขาบรรลุกลายเป็นเซียนไปแล้ว เขาขึ้นไปอยู่ในโลกที่อยู่ห่างไกล ภายในร่างกายเขายังคงมีพลังที่ไม่สะอาดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นก็คือกรรมที่ยังไม่สิ้นสุด คือชะตาที่ยังไม่จบสิ้น
ที่เขาบรรลุเป็นเซียนล้มเหลวก็เพราะสิ่งเหล่านี้ เขาย่อมไม่ชอบมากที่สุด
ดังนั้นหลังจากที่เกิดขึ้นมาใหม่ เขาจึงระวังเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก สิ่งที่เคยติดค้างเหล่านั้นล้วนคิดอยากจะชดเชยให้ไปให้หมด แต่กลับมีหนี้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก
เจ้าของหนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือจักรพรรดิแห่งหมิง
ในคุกสะกดมาร จักรพรรดิแห่งหนึ่งได้ถ่ายทอดวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณให้แก่เขา เขารับปากว่าจะช่วยจักรพรรดิแห่งหมิงหาผู้สืบทอด และเอาลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงกับวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณถ่ายทอดให้แก่คนผู้นั้น
ผ่านไปสิบสามปี เขายังไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยได้
เขาเอากระบี่คมจักรวาลเก็บไว้ในภาชนะแห่งความว่างเปล่า จากนั้นหลับตาแล้วดำลงไปยังด้านล่างลาวา
ลาวามีความหนาแน่นสูง คนทั่วไปหากไม่ได้ถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านก็ไม่มีทางที่จะดำไปได้ แต่เขาย่อมไม่เหมือนคนเหล่านั้น
เขาไหลตามลำธารลาวาออกไป คล้ายก้อนหินก้อนหนึ่ง
ห่างออกไปสิบกว่าลี้เป็นตำแหน่งที่ลำธารลาวาแยกออกเป็นสองสาย สายหนึ่งไหลไปด้านบน อีกสายหนึ่งไหลไปด้านล่าง
ไหลตามและไหลทวน ตัวลำธารจะเป็นคนเลือกเอง
นี่คือการไหลตามกระแสลำธารไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจอะไร หรือเป็นการปล่อยไปตามโชคชะตาอย่างที่วัดกั่วเฉิงชอบพูดกัน หรือว่าเป็นความขี้เกียจ?
กระทั่งตัวจิ๋งจิ่วเอ็งก็อาจจะไม่มีคำตอบ เขาได้แต่รับรู้อย่างชัดเจนว่ายิ่งไหลตามลาวาไปไกลเรื่อยๆ อุณหภูมิรอบตัวก็ยิ่งสูงขึ้น มือขวาของเขาอ่อนนุ่มลง และนี่ก็คือสิ่งที่เขาต้องการ
เขาไหลตามลำธารลาวาไปเป็นเวลานาน ในวันหนึ่งจู่ๆ ก็ไปชนเข้ากับอะไรบางอย่าง จึงลืมตาขึ้นมา พบว่าสิ่งที่ขวางทางอยู่คือกำแพงแถบหนึ่ง
กำแพงแถบนี้โปร่งใส
ลำธารลาวาเมื่อเจอกับกำแพงนี้ก็ไม่สามารถไหลต่อไปข้างหน้าได้ พวกมันไหลย้อนกลับ เกิดเป็นน้ำวนเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เปลวไฟจำนวนมากปะทุขึ้นมา ดูคล้ายเตาไฟนับพัน
หากกลับไปบนพื้นดิน ก็จะมองเห็นแต่เพียงท้องฟ้า มองไม่เห็นกำแพง ดังนั้นที่นี่คือใต้ดิน
จิ๋งจิ่วเดินสองมือไพล่หลังไปตรงหน้ากำแพงที่โปร่งใส ทอดตามองออกไป
กำแพงแถบนี้สูงเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าสูงกี่ลี้ มองไม่เห็นปลายอีกด้านหนึ่งของกำแพง
อีกด้านหนึ่งของกำแพงคือหุบเหวลึกอันมืดมิด
ปลายอีกด้านหนึ่งของหุบเหวคือดินแดนหมิง
หากอยากจะกลายเป็นผู้นำสำนักฝ่ายธรรมะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความยิ่งใหญ่คือเงื่อนไขที่จำเป็น แต่มิใช่ทั้งหมด เจ้ายังต้องแบกความรับผิดชอบต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้มากมาย ต้องเสียสละเป็นอย่างมาก อย่างเช่นคอยเฝ้าเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างดินแดนมนุษย์และดินแดนหมิงเอาไว้
สำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานบนแผ่นดินเฉาเทียนเหล่านั้นล้วนแต่มีเส้นทางที่ตนเองต้องคอยเฝ้ารักษา
เส้นทางที่สำนักอู๋เอินเหมินต้องเฝ้ารักษาคือเส้นทางที่อยู่ใต้ภูเขาว่านโซ่ว บ่อผ่านฟ้าที่อยู่ริมทะเลตะวันตกมีสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและวัดกั่วเฉิงคอยดูแลร่วมกัน ระเบียงลมพันลี้มีเรือนอี้เหมาคอยเฝ้าอยู่
ตำแหน่งของสำนักจงโจวอยู่สูงที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ความรับผิดชอบก็ย่อมมากที่สุด ชางหลงแปลงกายเป็นคุกสะกดมารคอยเฝ้าเมืองเจาเกอเอาไว้ ขณะเดียวกันก็รับผิดชอบเฝ้าเส้นทางที่อยู่ใต้หุบเขาจวี้หุน
กำแพงยักษ์โปร่งใสที่ไม่รู้ว่าทอดยาวออกไปกี่ลี้ถ้าแบบนี้ก็คือผนึกของสำนักจงโจว เมื่อดูจากพลังที่แผ่ออกมา มันมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มิอาจทำลายลงได้
สำนักชิงซานไม่มีเส้นทางที่ทะลุไปยังดินแดนหมิงต้องคอยเฝ้า เพราะทางใต้เต็มไปด้วยแม่น้ำลำธาร รอยแยกใต้ดินถูกถมจนเต็ม แต่พวกเขาก็ต้องเสียสละอย่างมากเช่นเดียวกัน
หากบอกว่าสิ่งที่สำนักจงโจวต้องเสียสละคือสัตว์เทพถูกกักขังและข่ายพลังกับของวิเศษอันแข็งแกร่งที่ต้องใช้ในการผนึกเส้นทาง สิ่งที่สำนักชิงซานต้องเสียสละก็คือกระบี่และเลือด
จิ๋งจิ่วยืนสองมือไพล่หลังมองดูกำแพงยักษ์ที่โปร่งใส สายตาจ้องมองดูหุบเหวลึกที่อยู่ทางด้านนั้นอย่างเงียบๆ
……………………………………………………