มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 19 เดินออกมาจากที่ราบหิมะ (2)
เหล่าศิษย์ชิงซานต่างตกใจ
คนผู้นั้นเดินออกมาจากที่ราบหิมะ มาถึงด้านหน้าค่ายทหาร จีวรที่อยู่บนร่างกายขาดวิ่น ดูยุ่งเหยิงคล้ายกับผมที่เพิ่งจะงอกยาวออกมา
สายตาที่ทุกคนมองดูเหอจานแตกต่างกันออกไป
กู้หานขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ผู้สืบทอดที่ลงมาธุดงค์ยังโลกปุถุชนแล้วเปิดเผยตัวตั้งแต่แรก นี่ถือเป็นคนแรกหรือเปล่า?”
ในเมื่อจะลงมาธุดงค์ยังโลกปุถุชน ก็ย่อมต้องปิดบังตัวตน เช่นนั้นถึงจะสามารถรู้แจ้งถึงความหมายที่แท้จริงของโลกปุถุชนได้ ในอดีตที่ผ่านมาผู้สืบทอดของวัดกั่วเฉิงที่ลงมาธุดงค์ยังโลกปุถุชนล้วนแต่ปฏิบัติเช่นนี้ จนกระทั่งบุญบารมีเต็มเปี่ยมถึงจะเปิดเผยตัวตน ผู้สืบทอดที่ลงมาธุดงค์ยังโลกปุถุชนคนก่อนหรือก็คือเทพดาบเฉาหยวนในปัจจุบันได้เลือกที่จะอยู่ที่ดินแดนทางเหนือ ไม่กลับไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดกั่วเฉิง แต่ตอนที่อยู่ในนิกายเฟิงเตาในตอนแรกเขาก็ปิดบังชื่อแซ่ของตัวเองอยู่นานหลายปี
……
……
เห็นได้ชัดว่าเหอจานผ่านการต่อสู้อันยากลำบากในที่ราบหิมะมาหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บไม่เบา แต่ภายในค่ายทหารกลับไม่มีใครออกไปรับเขา
มิใช่เป็นเพราะสมณะของวัดกั่วเฉิงยุ่งเกินไป หรือว่าไต้ซือเหล่านั้นรังเกียจที่เขาปฏิบัติตัวโอ้อวดเกินไปจนทำลายเจตนารมณ์ของการลงมาธุดงค์ยังโลกปุถุชน หากแต่เป็นเพราะมีคนออกไปแล้ว
เสียงกระดิ่งที่ใสกระจ่างดังขึ้น เซ่อเซ่อซึ่งเป็นนายน้อยของสำนักเสวียนหลิงพุ่งตัวมาถึงตรงหน้าเหอจาน ก่อนจะพยุงแขนของเขาเอาไว้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เหอจานส่ายศีรษะ
เซ่อเซ่อโล่งใจ จากนั้นกล่าวถามว่า “งานฉลองวันเกิดของเหล่าไท่จวินเจ้าจะไปหรือไม่? ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้นะ ยังมีอีกหลายเรื่องต้องไปจัดการ”
เหอจานส่ายศีรษะอีกครั้ง
เซ่อเซ่อเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวร้องขอว่า “เจ้าก็ไปหน่อยเถอะ ท่านแม่อยากเจอเจ้า”
เหอจานมิได้กล่าวกระไร
เซ่อเซ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “วันนั้นจะต้องเกิดเรื่องแน่ ข้ากลัว เมื่อถึงตอนนั้นข้าอยากให้เจ้าอยู่ข้างข้า”
เหอจานยังคงไม่พูดอะไร
เซ่อเซ่อโมโห สะบัดมือของเขาออกพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้าอีกแล้ว ข้าถามพี่ล่าเยวี่ยมาแล้ว วัดกั่วเฉิงของเจ้าไม่มีวิชาปิดวาจา!”
เหอจานปิดปาก ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร
เซ่อเซ่อหยุดฝีเท้า ยืนอยู่บนพื้นหิมะพลางมองดูแผ่นหลังของเขา จากนั้นกล่าวเสียงสะอื้นว่า “ข้าจะร้องแล้วนะ นี่ ข้าจะร้องแล้วนะ!”
ร่างของเหอจานชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองนาง พลางกล่าวว่า “ข้าเห็นศพของของเจียงรุ่ยอยู่ในที่ราบหิมะ”
เดิมเซ่อเซ่อแสร้งทำเป็นร้องไห้ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสียงสะอื้นในน้ำเสียงพลันหายไปทันที นางกล่าวอย่างจริงจังและเต็มไปด้วยความเห็นใจว่า “นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ”
เหอจานกล่าว “เจ้าปล่อยเขาไปจะเป็นอะไร?”
เซ่อเซ่อกล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า “ข้าจะฆ่าเขา แล้วจะเป็นอะไร?”
เหอจานถอนใจ หมุนตัวเดินจากไป การเคลื่อนไหวดูเลื่อนลอยคล้ายวิญญาณ
เซ่อเซ่อรู้ว่าตนเองไล่ตามเขาไม่ทัน ทั้งโกรธแล้วก็สงสัย ในใจครุ่นคิดว่าการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดนี้ เจ้าไปเรียนมาจากที่ไหนกัน?
ทันใดนั้นนางพลันคิดถึงวิชาที่เหอจานเรียนกับขันทีชราแซ่หงในดินแดนแห่งความฝัน จึงเอามือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจ คิดในใจว่าหรือเจ้าตัดไอนั่นของตัวเองไปจริงๆ แล้ว?
……
……
ด้านหลังเมืองไป๋เฉิงมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง
ด้านล่างภูเขามีวัดอยู่แห่งหนึ่ง
ภายในวัดมีพระพุทธรูปทองคำอยู่องค์หนึ่ง
ที่ผ่านมาในวัดนี้ไม่มีพระ แต่ตอนนี้มีอยู่องค์หนึ่ง
พระน้อยรูปหนึ่งที่มีสถานะสูงสุดในสำนักฌาน
ฉานจึมาอยู่เมืองไป๋เฉิงได้เจ็ดปีแล้ว
ในช่วงเวลาเจ็ดปีนี้เขาเอาแต่เล่นโคลน เล่นดึงแท่งไม้อยู่ในวัด บางครั้งก็จะโผล่หน้าออกไปข้างนอกบ้าง
หากเปลี่ยนฉานจึเป็นกั้วตงอย่างเมื่อหลายปีก่อน เทพดาบน่าจะพอใจเป็นอย่างมาก
ตัวฉานจึเองก็รู้สึกไม่พอใจ เขารู้สึกเบื่อ
จู่ๆ แท่งไม้ก็พังลงมา กระจัดกระจายอยู่บนพื้นตรงหน้าธรณีประตู
นี่ไม่รู้เป็นลางอะไรหรือเปล่า
ฉานจึมองดูแท่งไม้ แต่ไม่ได้ทำนายอะไรออกมา เขายืดตัวบิดขี้เกียจแล้วกล่าวว่า “เมื่อไรข้าถึงจะกลับได้?”
เสียงที่ทุ้มต่ำแต่คล้ายมีอะไรบางอย่างขาดหายไปดังขึ้นมาภายในวัด “ท่านรีบหรือ?”
ฉานจึกล่าว “ในวัดเกิดความวุ่นวาย ตู้ไห่เกือบทำเรื่องที่ผิดมหันต์ แต่ข้ากลับไม่สามารถกลับไปได้ แล้วจะไม่ให้ข้ารีบหรือ?”
เทพดาบกล่าว “เอาไว้ในที่ราบหิมะรู้แพ้รู้ชนะ เดี๋ยวก็สงบเอง”
สายตาของฉานจึเย็นยะเยือกขึ้นมา กล่าวว่า “ไท่ผิงปรากฏตัวขึ้นบนโลกอีกครั้ง ไม่แน่เจ้าเองก็อาจจะต้องกลับไป”
เทพดาบนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวที่เขาเหลิ่งซานมีความเกี่ยวข้องกับนักพรตคนนั้นด้วยหรือเปล่า”
ฉานจึกล่าวว่า “เรื่องสำนักเสวียนไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก หลังจากที่เคยถูกสำนักชิงซานถล่มไปครั้งนั้น ตอนนี้ก็เหลือเพียงธงอันนั้นเท่านั้น”
เทพดาบกล่าวว่า “ธงอันนั้นมันค่อนข้างแปลก”
ฉานจึกล่าว “แน่นอน ไม่อย่างนั้นสำนักชิงซานก็บุกเข้าไปตั้งนานแล้ว”
สำนักชิงซานและสำนักเสวียนอินมีความแค้นที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น หากมิเป็นเพราะธงสุริยันถูกปลุกขึ้นมาใหม่ จึงรับมือได้ค่อนข้างลำบาก สำนักชิงซานมีหรือที่จะมองดูสำนักเสวียนอินกระทำการเหิมเกริม ถึงขนาดกล้าเปลี่ยนชื่อจากสำนักกลายเป็นนิกายโดยไม่ทำอะไร
ในเวลานี้ ด้านหลังวัดพลันมีเสียงครืนดังขึ้นมา
นั่นคือเสียงอันน่ากลัวที่เกิดขึ้นจากหน้าผาที่บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่างและเสียงชั้นหินที่เสียดสีกันเอง
ฉานจึลุกขึ้นเดินไปด้านนอกธรณีประตู
บ้านเรือนภายในเมืองไป๋เฉิงพังถล่มไปเป็นจำนวนมาก ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย โชคดีที่นิกายเฟิงเตาได้อพยพชาวบ้านและสาวกออกไปทั้งหมดแล้ว มิเช่นนั้นคงต้องมีคนที่บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากแน่
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในที่ราบหิมะที่อยู่ไกลออกไปยิ่งน่าตกใจ พายุหิมะโหมกระหน่ำขึ้นมา ฟุ้งกระจายสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายร้อยจ้าง ด้านหลังคล้ายมองเห็นภูเขาสีดำเหล่านั้นกำลังโคลงเคลงไปมา
แผ่นดินไหวอันน่ากลัว
สายตาของฉานจึมองทะลุฝุ่นควันและพายุหิมะ ข้ามผ่านภูเขาสีดำที่กำลังโคลงเคลงเหล่านั้นไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะ
ในดวงตาของเขามีความระแวดระวังอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นมา
พลังอันแข็งแกร่ง
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์ที่อยู่ตรงริมที่ราบหิมะเริ่มรู้ตัว พวกเขาพากันลอยขึ้นไปบนฟ้า เตรียมรับมือศัตรู
ลำแสงกระบี่สว่างวาบ ลำแสงอาวุธวิเศษทะลวงไปในอากาศ เจตน์กระบี่ที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างมากสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงด้านหน้าสุด
“ฟางจิ่งเทียนมิใช่คู่ต่อสู้”
เสียงของฉานจึเย็นยะเยือกเล็กน้อย “ให้ทุกคนถอยกลับไป”
ชื่อเสียงของฟางจิ่งเทียนในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตนั้นมิได้โดดเด่นอะไร แต่ฉานจึและเทพดาบต่างรู้ว่านั่นเป็นเพราะเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลของสำนักชิงซานผู้นี้ทำตัวเงียบๆ มาเป็นเวลาสามร้อยปี
ฟางจิ่งเทียนเป็นศิษย์อันดับสี่ของนักพรตไท่ผิง สภาวะขั้นแหวะทะเลระดับสูงสุด มีหวังขึ้นไปถึงทะลวงสวรรค์ ย่อมต้องเป็นยอดคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของมนุษย์ ต่อให้เป็นปู้ชิวเซียวที่เป็นเจ้าแห่งเรือนอี้เหมาก็เพียงแต่เสมอกับเขาเท่านั้น ในเมืองไป๋เฉิงในเวลานี้นอกจากเทพดาบกับฉานจึแล้ว ก็เป็นเขาที่แข็งแกร่งที่สุด
กระทั่งฟางจิ่งเทียนยังมิใช่คู่ต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาเป็นใคร มิน่าฉานจึถึงได้เคร่งเครียดถึงเพียงนี้
ภายในวัดมีเสียงระฆังดังขึ้นมา เพื่อบอกให้ผู้บำเพ็ญพรตทุกคนออกมาจากสนามรบให้เร็วที่สุด
“ใหญ่หรือเล็ก?”
เสียงที่ทุ้มต่ำและเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างเสียงนั้นพลันฟังดูนุ่มนวลขึ้นมาเป็นอย่างมาก คล้ายกับเสียงระฆังที่ในเวลานี้ยังดังสะท้อนไปมาตรงริมที่ราบหิมะ
นั่นเป็นเพราะในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เจ้าของเสียงนี้ได้เตรียมพร้อมที่จะสู้ตายแล้ว
ดาบเดียวดายสะกดหิมะ ยาวนานกว่าร้อยปี
เขาเคยเข้าไปในส่วนลึกของที่ราบหิมะเพื่อสู้กับราชินีแคว้นเสวี่ยมาหลายครั้ง ทุกครั้่งล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา ไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย
ก็เหมือนอย่างที่จิ๋งจิ่วเคยพูดเอาไว้ ราชินีแคว้นเสวี่ยคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียน นอกจากตัวเขาในตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียนแล้วก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้
หากอีกฝ่ายเดินออกมาจากที่ราบหิมะจริงๆ ใครจะหยุดนางเอาไว้?
เขาเคยคิดถึงปัญหานี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
จนกระทั่งสุดท้ายเขาก็ไม่ได้คำตอบออกมา แต่เขากลับเข้าใจเรื่องเรื่องหนึ่ง
ไม่ว่าใครที่สามารถหยุดนางได้ สุดท้ายก็ต้องลองเข้าไปหยุดดู
เช่นนั้นวันที่ราชินีแคว้นเสวี่ยเดินออกมาจากที่ราบหิมะ วันนั้นก็น่าจะเป็นวันตายของตัวเอง
………………………………………………………