มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 20 สีขาวที่เข้มที่สุด
ใหญ่หรือว่าเล็ก?
นี่มิใช่การถามถึงจำนวนที่อยู่ในถ้วยลูกเต๋า แล้วก็ไม่ได้ถามถึงขนาดของหม้อไฟ
ฉานจึมองไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดูผ่อนคลายขึ้น กล่าวว่า “น่าจะเป็นตัวเล็ก”
เสียงของเทพดาบดังขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิม เขากล่าวว่า “อย่างนั้นท่านไป”
ฉานจึยกเท้าที่เปลือยเปล่าถูโคลนบนธรณีประตู ก้มหน้าพลางกล่าว “ทำไม?”
เทพดาบกล่าว “ตัวใหญ่ข้าไป ตัวเล็กท่านไป ตอนที่ท่านมาที่นี่ ท่านได้ตกลงเอาไว้เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ?”
ฉานจึเงยหน้าขึ้นมา ค่อยๆ ม้วนจีวรขึ้นมาถึงตรงข้อศอกพลางกล่าวว่า “ถึงแม้อายุข้าจะน้อย แต่ถ้านับรวมชีวิตที่แล้วไปด้วย ข้ากลับอายุมากกว่าเจ้ามากนัก”
เทพดาบมิได้สนใจเขา ความหมายชัดเจนเป็นอย่างมาก กำปั้นเท่าชามเล็กๆ ของท่านเนี่ยนะ ยังมีหน้ามาบอกว่าอายุมากกว่า?
เสียงระฆังดังลอยออกไปจากในวัด ทะลุเมืองไป๋เฉิง ดังสะท้อนไปมาตรงริมที่ราบหิมะ ผู้บำเพ็ญพรตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ถอยกลับมาแนวหลังด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
สุดท้ายลำแสงกระบี่ที่ดุดันที่สุดสายนั้นถึงจะหายไปในท้องฟ้า
ภายในค่ายด้านนอกเมืองไป๋เฉิงเหลือเพียงคนเจ็บที่อพยพออกไปไม่ทัน แล้วก็มีสมณะแพทย์ที่มาจากวัดกั๋วเฉิงและสำนักฌานเป่าทง
ฉานจึเหยียบอากาศทะยานขึ้นไป ตรงตำแหน่งที่เท้าเปล่าๆ ของเขาเหยียบลงไปมีดอกบัวปรากฏขึ้นมา
ดอกบัวดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบานเข้าไปในส่วนลึกของที่ราบหิมะ ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปในพายุหิมะ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็มาถึงบนท้องฟ้าของที่ราบหิมะที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
พายุหิมะค่อยๆ สงบลง ภาพตรงเบื้องหน้าเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น แผ่นดินไหวได้ทำให้หิมะที่อยู่บนหมู่เขาพังถล่มลงมา เผยให้เห็นตัวภูเขาสีดำ เมื่อมองลงไปจากบนท้องฟ้าดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก เหมือนกับซาลาเปาถั่วแดงที่อยู่ในน้ำตาลทรายสีขาว
ระหว่างภูเขาสีดำและที่ราบหิมะ ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยชนิดต่างๆ
เลือดของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมิใช่สีแดง เมื่อกระเซ็นลงบนพื้นหิมะ ดูไปแล้วคล้ายกับก้อนสีที่พวกเด็กเอามาป้ายเล่นตามใจชอบ แต่กลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงยังคงโชยขึ้นมา
รอบๆ ซากศพของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมีซากศพของด้วงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย ดูคล้ายผลึกน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
ฉานจึยืนอยู่บนเมฆดอกบัว ขยี้จมูกเบาๆ
ซากศพเหล่านี้มิใช่ซากศพที่เหลือทิ้งไว้จากคลื่นอสูรครั้งก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวครั้งนี้
การต่อสู้ระหว่างราชินีแคว้นเสวี่ยและลูกของนางช่างน่ากลัวจริงๆ สำหรับสิ่งมีชีวิตบนที่ราบหิมะเหล่านี้แล้วเรียกได้ว่าเป็นหายนะที่ยิ่งกว่าหายนะ
ฉานจึมองเข้าไปในส่วนลึกของที่ราบหิมะ มองเห็นซากศพของสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยที่มีรูปร่างคล้ายคนอยู่หลายสิบร่าง
ผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์มีความเข้าใจเกี่ยวกับแคว้นเสวี่ยมากพอสมควร พวกเขารู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยที่มีรูปร่างเหมือนคนเหล่านี้น่ากลัวเป็นอย่างมาก พลังเทียบเท่าได้กับผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ แต่น้อยครั้งนักที่สัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยเหล่านี้จะปรากฏตัวขึ้นตรงริมที่ราบหิมะ นอกจากคลื่นอสูรครั้งใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้วก็ไม่เคยมีใครได้เห็นพวกมันอีก
จากการสังเกตของยอดฝีมือรุ่นก่อนๆ พบว่าสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนคนชนิดนี้น่าจะเป็นผู้ที่คอยรับใช้อยู่ใกล้ชิดราชินีหิมะ หรือพูดอีกอย่างก็คือองครักษ์ พวกมันใช้ชีวิตอยู่ในแถบธารน้ำแข็งสีน้ำเงินที่อยู่ห่างออกไปทางเหนือสองหมื่นลี้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงริมที่ราบหิมะ จากนั้นก็ตายไปอย่างเงียบๆ นี่เป็นเพราะเลือกผิดฝั่งเลยถูกราชินีฆ่า หรือว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่ไล่ตามสังหารองค์หญิง?
ฉานจึที่อยู่ในวัดรับรู้ถึงพลังอันน่ากลัวสายนั้นได้อย่างชัดเจน หลังขี่เมฆดอกบัวมาถึงนี้ เขากลับพบว่าพลังสายนั้นได้หายไปแล้ว
เขาหลับตาลง บนใบหน้าอันอ่อนเยาว์พลันมีริ้วรอยปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
เมฆดอกบัวปล่อยพลังเส้นเล็กๆ ออกไปหลายสิบสาย ลอยไปบนท้องฟ้าและบนพื้นดิน
พลังเส้นเล็กๆ เหล่านั้นมีกลิ่นอายที่มหัศจรรย์ยากจะบรรยายได้ ดูเลือนลางคล้ายจริงคล้ายไม่จริง
นี่ืคือวิชาเชื่อมโยงสองจิตอันเป็นวิชาฌานขั้นสูงสุดของวัดกั่วเฉิง
วิชาเชื่อมโยงสองจิตเมื่อฝึกจนถึงขั้นสูงสุด หากยืนอยู่ในระยะใกล้ จะสามารถล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่ายได้ คล้ายกับวิชาอ่านใจอย่างไรอย่างนั้น
ต่อให้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อยู่ที่ไหน ก็สามารถใช้วิชาฌานชนิดนี้รับรู้ถึงตำแหน่งคร่าวๆ ของอีกฝ่ายได้ และล่วงรู้ถึงสภาพโดยประมาณของอีกฝ่าย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉานจึลืมตาขึ้นมา กล่าวพึมพำว่า “มังกรร้ายมันยังไม่กินลูกของตน ราชินีหิมะโหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่า”
ราชินีหิมะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูง แต่กลับแตกต่างจากมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แล้วก็แตกต่างจากสัตว์เทพโบราณของสำนักต่างๆ เหล่านั้นด้วย ความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อมันมีอยู่น้อยมาก รู้เพียงว่านางวางกลอุบายไม่เป็น เพราะในฐานะที่เป็นผู้ปกครองแผ่นดินทางเหนือ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งไร้คู่ต่อกร นางไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเหล่านั้น
ฉานจึรับรู้ได้ถึงเจ้าตัวเล็กที่แอบซ่อนตัวอยู่ในซากศพของหนอนหิมะที่กองกันเป็นเหมือนภูเขา รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
—- เจ้าตัวเล็กได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นอย่างมาก ความรู้สึกหวาดกลัวที่หลั่งไหลออกมาจากสัญชาตญาณทำให้มันเรียนรู้ที่จะ เก็บซ่อนพลัง
ดูแล้วในการแย่งชิงตำแหน่งราชินีของแคว้นเสวี่ยครั้งนี้ ผู้แพ้คงมีแต่ต้องตายสถานเดียว ดังนั้นเจ้าตัวเล็กนี่จึงทำทุกวิถีทางเพื่อจะหนีออกไปจากที่ราบหิมะ
อาจเป็นเพราะอุณหภูมิ มันจึงไม่สามารถหลบหนีไปยังทิศใต้ได้ แต่ต่อให้มันหนีลงไปทางใต้ได้ มนุษย์ก็ไม่มีทางยอมรับอยู่ดี มันจึงจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะอยู่ในที่ราบหิมะ
เมฆดอกบัวสลายหายไป ฉานจึร่วงหล่นลงมาจากฟ้าคล้ายก้อนหิน ตกลงไปบนที่ราบหิมะ
หิมะหนาๆ และศพด้วงที่อยู่บนผิวหิมะถูกกระแทกจนกลายเป็นผุยผง ฟุ้งกระจายเหมือนฝุ่นควันสีขาว
ฉานจึเหยียบไปบนหิมะด้วยเท้าเปล่า นิ้วมือชี้ไปยังควันสายหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางควันสีขาวเหล่านั้น จากนั้นตะคอกออกมาราวเสียงฟ้าผ่าว่า “นิ่ง!”
ควันสีขาวสายนั้นพลันหยุดชะงัก คล้ายปรากฏกายขึ้นมาลางๆ นั่นคือร่างสีขาวร่างหนึ่ง
ทุกที่ในที่ราบหิมะล้วนเป็นสีขาว ร่างร่างนั้นก็เป็นสีขาวเช่นเดียวกัน ที่มันถูกแยกแยะออกมาได้ เป็นเพราะว่าสีขาวของมันนั้นมีความบริสุทธิ์มากกว่า มีความขาวมากกว่า ไร้ซึ่งสิ่งเจือปน แต่กลับคล้ายว่าอยู่ในช่วงเวลากลางคืนที่มืดมิดที่สุด ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
เพียงแค่ชั่วครู่หนึ่ง ร่างสีขาวร่างนั้นก็สลัดหลุดจากการพันธนาการด้วยจิตของฉานจึ ก่อนจะเปลี่ยนกลายเป็นควันสีขาวใหม่อีกครั้ง หลบหนีลงไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้
ผู้บำเพ็ญพรตที่ยืนอยู่บนกระบี่บินและอาวุธวิเศษที่อยู่ห่างออกไปเหล่านั้นมองดูภาพที่เกิดขึ้นในที่ราบหิมะ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในใจคิดว่า หรือนั่นจะเป็นลูกของราชินีหิมะที่เล่าลือกัน?
ข่ายพลังที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยเรือนอี้เหมาเริ่มทำงาน อักขระบนกำแพงเมืองทางเหนือที่ทอดยาวเป็นระยะทางสองพันกว่านี้ปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมา
กองทัพเสินเว่ยของราชสำนักและคนของนิกายเฟิงเตาคอยเฝ้าอยู่ทุกช่วงของกำแพง ผู้บัญชาการและประมุขนิกายเฟิงเตาลอยขึ้นไปบนฟ้า จ้องมองดูควันสีขาวอย่างระแวดระวัง
ฟางจิ่งเทียนขึ้นมาอยู่บนดินแดนแห่งความว่างเปล่า เท้าเหยียบอยู่บนกระบี่เซียน สายตามองดูความเคลื่อนไหวที่อยู่เบื้องล่าง เตรียมพร้อมออกกระบี่ทุกเมื่อ
จากการวิเคราะห์ของฉานจึและเทพดาบ เขามิใช่คู่ต่อสู้ของควันสีขาวสายนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส โอกาสเช่นนี้ต้องคว้าเอาไว้
ในท้องฟ้าทางทิศตะวันออกอันห่างไกล มีพลังที่แข็งแกร่งแต่สงบนิ่สายหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ น่าจะเป็นนักพรตถานซึ่งเป็นเจ้าสำนักจงโจว
แคว้นเสวี่ยคือภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ถึงแม้ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาวันนี้จะมิใช่ราชินีที่ไม่สามารถเอาชนะได้ผู้นั้น หากแต่เป็นแค่ลูกของนาง แต่เหล่ามนุษย์ก็ยังต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด
จุดที่เชื่อมต่อกันของโลกมนุษย์กับแคว้นเสวี่ยมีระยะทางอย่างน้อยหลายหมื่นลี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือในการบุกลงใต้ของคลื่นอสูรในช่วงเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมา พวกมันจะบุกลงมาทางหุบเขาและที่ราบหิมะที่อยู่รอบๆ เมืองไป๋เฉิงเท่านั้น หากบอกว่าทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่ราบรกร้างของเขาเหลิ่งซาน มีเส้นปราณเพลิงใต้ดินอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ค่อยถูกกับสิ่งมีชีวิตของแคว้นเสวี่ย อย่างนั้นเหตุใดพวกมันถึงไม่บุกลงมาทางตะวันออก?
นี่เป็นปัญหาที่มนุษย์สงสัยมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้ แต่ว่าสำหรับมนุษย์แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่โชคดี
พวกเขาเพียงแค่ต้องรักษาเมืองไป๋เฉิงให้ดีก็พอ
……
……
ควันสีขาวสายนั้นไม่ได้มีทีท่าว่าจะถอยกลับเข้าไปในส่วนลึกของที่ราบหิมะ หากแต่พยายามฝ่าแนวป้องกันของมนุษย์ออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อจะออกไปจากที่ราบหิมะ
เห็นได้ชัดว่ามันยอมเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับการโจมตีของยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ไม่ยอมกลับไปเผชิญหน้ากับแม่ของตัวเอง
ฉานจึนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ขาขวาอ้อมไปเตะข้อพับขาซ้าย นั่งลงไปกับพื้น
บนพื้นเต็มไปด้วยหิมะและซากศพของด้วงหิมะ
ซากศพเหล่านั้นไม่มีคราบเลือดสีแดง แต่กลับมีกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงฉุนจมูก ยังคงเป็นกลิ่นความตายที่ตลบอบอวล
ฉานจึหลับตานั่งอยู่ในกองซากศพ แต่กลับมิได้มีความรู้สึกแปลกประหลาดแม้แต่น้อย ดูคล้ายพระอรหันอย่างแท้จริง
มือทั้งสองข้างของเขาอยู่ตรงด้านหน้าลำตัวเหมือนดอกบัวที่เบ่งบาน ประสานมือเป็นสัญลักษณ์สิบสามฝ่ามือทางกลางพายุหิมะ
รัศมีทรงกลมแถบหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา บนรัศมีมีอักขระคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา แสงสีทองเป็นประกาย พลังฌานลึกซึ้ง เปี่ยมด้วยเมตตา แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยความเย็นยะเยือก
ผู้บำเพ็ญพรตและกองทัพเสินเว่ยที่อยู่ในค่ายต่างอพยพหนีออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและสมณะแพทย์เท่านั้น
สมณะแพทย์ของวัดกั่วเฉิงจำนวนสองร้อยกว่ารูปเดินออกมาจากค่าย นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นหิมะ จากนั้นเริ่มสวดมนต์ขึ้นมา
“หวังว่าแม่ของข้า หลุดพ้นจากนรก หลังสิ้นสิบสามปีนี้ อย่าได้ทำบาปหนา อย่าได้พบเจอเส้นทางที่ชั่วร้ายอีก”
“พระพุทธเจ้าทั้งสิบทิศได้โปรดเมตตาข้า รับฟังความปรารถนาที่ข้ามีต่อแม่ของข้า”
“หากแม่ของข้าได้ออกจากแม่น้ำแห่งยมโลกและชีวิตอันต้อยต่ำ ก็ขออย่าได้เป็นผู้หญิงผู้อาภัพอีก”
“ตัวข้าหลังจากนี้ขอสาบานต่อหน้าพระพุทธองค์ ในความทุกข์ยากนับพันนับหมื่น จะช่วยสัตว์โลกผู้ตกทุกข์ได้ยาก จากนั้นถึงกลายเป็นอรหันต์”
……
……
อักขระโบยบินไปถึงริมที่ราบหิมะ
ตัวอักษรที่คล้ายจับต้องได้จริงจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสีทอง โบยบินขึ้นไปยังขอบฟ้า รวมตัวกลายเป็นรัศมีสายหนึ่ง
รัศมีสายนี้เหมือนกับรัศมีโปร่งใส่ที่อยู่ด้านหลังฉานจึ เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างน้อยพันเท่า คล้ายบดบังไปครึ่งท้องฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้นรัศมีแถบนี้มิได้โปร่งใส่ สีของมันเข้มเป็นอย่างมาก ลักษณะของมันดูคล้ายพื้นดิน
ฉานจึลืมตาขึ้นมา สายตาเย็นยะเยือก ตะคอกออกมาว่า “ยิง!”
รัศมีขนาดใหญ่บนท้องฟ้าค่อยๆ หมุนขึ้นมา อักขระที่อยู่บนแถบรัศมีเปล่งประกายสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะถูกพลังที่มองไม่เห็นรวมให้กลายเป็นลำแสง ยิงไปยังที่ราบหิมะ
ลำแสงนั้นตกกระทบไปบนรัศมีโปร่งใสที่อยู่ด้านหลังฉานจึอย่างแม่นยำ จากนั้นทะลุออกไป เปลี่ยนทิศทาง ขณะเดียวกันอานุภาพก็รุนแรงขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า
ลำแสงสายนั้นพุ่งออกไปตามสายตาของฉานจึ ยิงไปถูกควันขาวสายนั้น!
เสียงตู้มดังสนั่น!
ควันขาวสายนั้นส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว สลายตัวเป็นหิมะฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า จากนั้นถูกสายลมที่คลุ้มคลั่งม้วนถอยเข้าไปในส่วนลึกของที่ราบหิมะ
ภูเขาหินสีดำลูกหนึ่งพังถล่มลงมากว่าครึ่ง ที่ราบหิมะสั่นสะเทือนขึ้นมา ในท้องฟ้ามีก้อนเมฆรวมตัวปั่นป่วน
สมณะแพทย์จำนวนสองร้อยกว่ารูปที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม่สามารถนั่งอยู่ในท่าเดิมได้อีก ต่างคนต่างล้มลงไป
หิมะที่กระจัดกระจายเต็มท้องฟ้าร่วงตกลงมาบนตัวฉานจึ
เขาไม่ได้สนใจ เดินกลับมาจากที่ราบหิมะในสภาพเช่นนี้
เท้าของเขาสืบไปเบื้องหน้า เกล็ดหิมะเหล่านั้นร่วงตกลงมาจากจีวรของเขา
มีสีของหิมะแถบหนึ่งที่เข้มมาก
มิใช่ปนเปื้อนสีเทา
เป็นสีขาวเข้ม
……………………………………………………………..