มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 25 สายตาของถงเหยียน
เคาะๆ นั่นคือการเคาะเพียงสองครั้ง
เสียงเคาะดังขึ้นเบาๆ สองครั้ง ภาพลวงตาที่คันฉ่องฟ้ากระจ่างปล่อยออกมาถูกคลายออก บนพื้นเผยให้เห็นคนผู้หนึ่ง
คนพูดนั้นใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบดิน แต่สีหน้ายังคงดูเยือกเย็นและหยิ่งทะนง นั่นคือถงเหยียน
เมื่อเห็นจิ๋วจิ๋ว ถงเหยียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาให้เห็น กระทั่งปลายคิ้วก็ไม่ได้กระดิกแม้แต่นิดเดียว
จิ๋งจิ่วยังคงสังเกตเห็นว่าคิ้วของเขาดกดำขึ้นกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย ถึงกล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ถงเหยียนยกมือขึ้นมาเช็ดใบหน้า กล่าวว่า “อาจเป็นเพราะว่าอยู่ใต้ดินนานไปหน่อย”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มิใช่ปลูกหญ้าเสียหน่อย”
หญ้าต้นเล็กต้นนั้นไหวเอนแผ่วเบา ชิงเอ๋อร์กระพือปีกใสๆ ของตัวเองบินออกมา วนรอบตัวจิ๋งจิ่วอย่างรวดเร็วสามรอบ ดูค่อนข้างตื่นเต้น
นางกล่าวถามอย่างดีใจว่า “ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่? เจ้าหาพวกเราเจอได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาหาพวกเจ้า หากแต่มาทำธุระนิดหน่อยที่เขาเหลิ่งซาน แล้วบังเอิญเจอพอดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชิงเอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง มือเล็กๆ ประกบกันตรงหน้า แววตาเป็นประกายคล้ายหมู่ดาว กล่าวอย่างดีใจว่า “นี่คือพรหมลิขิตยังไงล่ะ!”
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าเข้าใจแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ชิงเอ๋อร์มองถงเหยียน กล่าวว่า “เจ้าไม่ยอมเชื่อคนอื่น ไม่ยอมหาใครมาช่วย แต่ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายมาหา อย่าปล่อยให้เขาจากไปอีกล่ะ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาโดยตลอดหรือ?”
สำนักจงโจวคือผู้นำฝ่ายธรรมะ รากฐานในราชสำนักหยั่งลึก อิทธิพลยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ด้วยกำลังของสำนักหากคิดอยากจะสังหารศิษย์ทรยศผู้หนึ่ง สำหรับทุกคนแล้ว ศิษย์ผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ผลปรากฏว่าผ่านไปนานขนาดนี้ ถงเหยียนกลับยังมีชีวิตอยู่ กระทั่งก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
นี่เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้เสียยิ่งกว่าตอนที่สำนักชิงซานหาตัวหลิ่วสือซุ่ยไม่พบเสียอีก
ยอดคนของสำนักชิงซานและลูกศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างต่างรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยทรยศไม่จริง แต่ถงเหยียนกลับทรยศจริงๆ
……
……
หลังจากถงเหยียนสะพายคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมาจากวัดกั่วเฉิง เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ใด
ต่อให้แผ่นดินเฉาเทียนจะกว้างใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีที่สำหรับเขา
กระทั่งสถานที่อย่างเกาะเทพเผิงไหลก็ยังมิอาจสลัดอิทธิพลของสำนักจงโจวให้หลุดพ้นไปได้
หรือว่าตนเองจะต้องเสี่ยงไปยังแผ่นดินแปลกหน้าที่อยู่ห่างไกลจริงๆ หรือว่าต้องเลียนแบบนักพรตไท่ผิงเมื่อในอดีต หลบหนีไปยังดินแดนหมิง?
ในเวลานี้เอง ชิงเอ๋อร์ได้ชี้ทางสว่างให้แก่เขา นั่นก็คือเขาเหลิ่งซาน
ผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะแทบจะไม่เหยียบมายังที่แห่งนี้ ผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารและปีศาจต่างแอบซ่อนอยู่ในทุ่งกว้างและในหมู่เขาของที่นี่ ต่อให้อิทธิพลของสำนักจงโจวจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีทางค้นทุกๆ ที่ในเขาเหลิ่งซานได้
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สถานที่ที่นางและถงเหยียนจะไปมิใช่พื้นดินบนเขาเหลิ่งซาน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นคาบข่าวเอาไปบอกสำนักจงโจว
สถานที่แห่งนั้นอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในใต้ดินของเขาเหลิ่งซาน อยู่ตรงริมลำธารลาวาที่ร้อนระอุ
ในลำธารลาวาสายนั้นมีราชาปลาไนเพลิงที่น่ากลัวอยู่ตัวหนึ่ง
ราชาคือเพื่อนของชิงเอ๋อร์
……
……
ในเวลานี้จิ๋งจิ่วถึงได้รู้ว่าหลายวันมานี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใต้หุบเขาจวี้หุนมาโดยตลอด จึงกล่าวกับชิงเอ๋อร์ว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นเพื่อนกับปลาในสีทองตัวนั้น”
เมื่อได้ยินคำว่าสีทอง ชิงเอ๋อร์ก็มั่นใจแล้วว่าเขาได้เจอเพื่อนของตัวเอง จึงกล่าวถามอย่างตกใจว่า “เจ้าก็รู้จักมันด้วยอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ มิน่าปลาไนเพลิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในลำธารลาวาและไม่เคยออกมายังโลกภายนอกตัวนั้นถึงได้พูดจาได้คล่องแคล่วถึงเพียงนั้น
ปลาไนเพลิงและชิงเอ๋อร์เป็นเพื่อนเก่า เมื่อได้มาเจอกันก็ต้องมีหลายเรื่องให้พูดคุยกัน เวลาพูดจาก็เลยติดเอาท่าทีการพูดของชิงเอ๋อร์มาด้วย? แต่ความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นมันมิได้มาจากตัวชิงเอ๋อร์
จิ๋งจิ่วคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงรู้สึกแปลกใจ จากนั้นกล่าวกับชิงเอ๋อร์ว่า “เจ้าดึงเอาดวงจิตของปลาไนเพลิงเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันหรือ?”
ชิงเอ๋อร์ยิ่งตกใจ กล่าวว่า “กระทั่งเรื่องนี้เจ้าก็เดาได้อย่างนั้นหรือ? มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่รู้บ้างนี่?”
จิ๋งจิ่วมั่นใจในคำตอบ
ที่แท้ความรู้สึกคุ้นเคยในเวลาที่ปลาไนเพลิงพูดนั้นมาจากเพื่อนเก่าคนหนึ่งในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
นั่นคือท่าทีเวลาพูดจาของลูกชายของจางไท่เยว่
แต่แน่นอน ช่วงก่อนที่เขาจะถูกเนรเทศไปยังดินแดนทางใต้จนกระทั่งถึงตอนก่อนจะกลับมายังเมืองหลวงของแคว้นฉู่ การพูดจาของเขาก็ยังมิได้น่ารำคาญขนาดนั้น
แต่ภายหลังเขาได้เป็นเจ้ากรมวัดไท่ฉาง จึงมักจะเข้ามาในวังเพื่อพูดคุยกับจิ๋งจิ่วบ่อยๆ ไม่ว่าจิ๋งจิ่วจะยินดีหรือไม่ เขาก็จะยืนพูดอยู่ในตำหนักคนเดียวอย่างนั้น
เมื่อเวลาผ่านไป คุณชายใหญ่ตระกูลจางแก่ขึ้นทุกวัน คำพูดคำจาก็ยิ่งฟังดูน่ารำคาญ ความรู้สึกนั้น….นับเป็นความทรงจำที่เลวร้ายเพียงไม่กี่เรื่องในแคว้นฉู่สำหรับจิ๋งจิ่ว
“เจ้ากำลังคิดอะไร?” ชิงเอ๋อร์ลืมตาโตพลางถาม
จิ๋งจิ่วได้สติขึ้นมา กล่าวถามว่า “ปลาไนเพลิงเป็นสัตว์เทพของสำนักจงโจว ทำไมมันถึงช่วยพวกเจ้า?”
ชิงเอ๋อร์กระพือปีก บินวนอย่างสวยงามตรงหน้าเขารอบหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง มันจะตื่นขึ้นมาเพื่อติดต่อกับเขาอวิ๋นเมิ่งครั้งหนึ่ง ในหลายๆ ครั้ง ศิษย์สำนักจงโจวที่มาพูดคุยกับมันเมื่อครั้งก่อนหน้ามักจะตายไปในระหว่างการหลับไหลอันยาวนานของมัน นี่ทำให้มันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นในช่วงเวลาหลายพันปีหลังจากนั้นมันจึงไม่ค่อยติดต่อสำนักจงโจว แล้วก็มาพูดคุยเป็นเพื่อนข้า ดังนั้นพวกเราจึงเป็นเพื่อนกัน มันก็ต้องช่วยข้าสิ”
ซ่อนตัวอยู่ใต้เขาเหลิ่งซาน แล้วยังมีสัตว์เทพที่สำนักจงโจวจัดเตรียมเอาไว้คอยให้การปกป้อง มิน่ากระทั่งนักพรตถานและนักพรตไป๋ถึงหาร่องรอยของถงเหยียนไม่พบ
แต่ที่น่าเสียดายก็คือเขาเหลิ่งซานนั้นเป็นดินแดนของสำนักบำเพ็ญพรตวิถีมาร สำนักจงโจวหาตัวเขาไม่พบ แต่นิกายเสวียนอินกลับพบร่องรอยของเขาเข้า
ที่ยุ่งยากยิ่งกว่านั้นก็คือผู้บำเพ็ญพรตทั่วๆ ไปไม่สามารถลงไปในใต้ดินอันร้อนระอุเพื่อทำอันตรายแก่ถงเหยียนได้ แต่ประมุขนิกายเสวียนอินผู้นั้นกลับมีธงสุริยันอยู่ในมือ
เขาใช้ธงสุริยันทำร้ายปลาไนเพลิง กระตุ้นอีกฝ่ายให้โมโห จนทำให้ลาวาใต้ดินแผ่ขยายและบีบให้ถงเหยียนออกมาจากใต้ดินได้สำเร็จ
จิ๋งจิ่วมองเห็นสาวกนิกายเสวียนอินสามร้อยกว่าคนเที่ยวค้นหาทุกซอกทุกมุมบนทุ่งหญ้ารกร้างก็เพื่อตามหาตัวเขา ฆ่าเขา จากนั้นชิงเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างมา
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขาคาดการณ์ออกมา แม้ว่าอาจจะคลาดเคลื่อนไปจากรายละเอียดที่เกิดขึ้นจริงบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเช่นนี้
“คิดไม่ถึงว่าจะลงไปลึกขนาดนั้น ไม่ง่ายเลยนะ”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับถงเหยียน
สถานที่ที่ราชาปลาไนเพลิงอาศัยอยู่นั้นอยู่ใกล้กับหุบเหวลึกที่ทะลุไปยังดินแดนหมิง การจะไปถึงที่นั่นได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก
เมื่อเทียบกับวิถีหมากล้อมแล้ว เขาชื่นชมความสามารถอันนี้ของถงเหยียนมากกว่า
ถงเหยียนยิ้มเยาะตัวเอง พลางกล่าวว่า “เรื่องหมากล้อมข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่เรื่องขุดโพรงนั้นเจ้ามิอาจเทียบข้าได้”
ในอดีตตอนที่อยู่ในถ้ำที่ลั่วไหวหนานทิ้งเอาไว้ ถงเหยียนได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของชิงเอ๋อร์ จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือขุดโพรง ขุดโดยไม่หยุดพักอยู่หลายปี จนกระทั่งขุดลงมาถึงในส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดิน
ไม่ว่าจะดูจากระยะเวลาที่ใช้ขุดหลุมหรือปริมาณดินที่ขุดออกมา เขาก็น่าอยู่ในอันดับแรกในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ “หมอกล้อมเจ้าเทียบข้าไม่ได้ ขุดโพรงยิ่งมิอาจเทียบข้าได้”
ถงเหยียนยิ้มขึ้นมา ไม่อยากจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าถนัดขุดโพรง ทำไมถึงไม่หนีไปทางใต้ดิน?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “นิกายเสวียนอินวางข่ายพลังเอาไว้ใต้ดินด้วย ยากจะหนีออกไปได้”
จิ๋งจิ่วคิดถึงภาพที่ตนเองเห็นตอนอยู่บนภูเขาโดดเดี่ยว ก่อนจะคาดการณ์ออกมาว่าข่ายพลังของนิกายเสวียนอินน่าจะควบคุมเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมาเหมือนใยแมงมุมที่อยู่ใต้ดินเหล่านั้นไม่ได้
เขากล่าวว่า “ข้าจะไปสำรวจทางหน่อย”
หลังจากนี้ก็เป็นช่วงเวลาพิสูจน์ความสามารถในการขุดโพรง
จิ๋งจิ่วกลับหัว
เสียงหวึ่งดังขึ้น
ภายในป่ามีลมหนาวพัดแผ่วเบา บนพื้นมีรูปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง
ถงเหยียนกับชิงเอ๋อร์สบตากัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกจนปัญญา
นิสัยของจิ๋งจิ่วแตกต่างกับผู้ฝึกกระบี่ของชิงซานทั่วๆ ไปโดยสิ้นเชิง แต่ทำไมถึงได้รีบร้อนขนาดนี้ เขายังพูดไม่จบเลย
ผ่านไปไม่นาน ภายในโพรงนั้นก็มีลมร้อนพุ่งขึ้นมา
จิ๋งจิ่วตกลงบนพื้น ชุดสีขาวมีรอยไหม้ เส้นผมหงิกงอ สภาพดูกระเซอะกระเซิงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถงเหยียนมองดูเขา ยิ้มๆ แต่มิได้กล่าวกระไร
จิ๋งจิ่วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “มิใช่ว่าข้าไม่มีฝีมือในการขุดโพรง แต่เป็นเพราะธงสุริยันร้ายกาจเกินไป”
เขาลงไปใต้ดินได้ไม่นานก็ไปเจอเข้ากับเส้นปราณเพลิงจำนวนมาก
หากเป็นเวลาปกติ เส้นปราณเพลิงเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ แต่ใครจะรู้ว่าเส้นปราณเพลิงเหล่านั้นได้รวมตัวเข้ากับธงสุริยัน ในเพลิงใต้ดินธรรมชาติได้แฝงเอาไว้ด้วยเพลิงสุริยัน อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ทันได้ระวังตัว จึงถูกลมของเพลิงสุริยันลามเลีย หากมิได้เป็นกระบี่เซียนแห่งยมโลกรวดเร็ว เกรงว่าเขาคงจะได้รับบาดเจ็บจริงๆ
โชคดีที่เขาใช้กระบี่คมจักรวาลป้องกันใบหน้าเอาไว้ได้ ดวงตาจึงไม่ถูกลวกเข้า มิเช่นนั้นอาจจะมีน้ำตาไหลออกมาได้ หากเป็นเช่นนั้นคงจะขายหน้าอย่างมาก
ถงเหยียนมิได้กลัว แต่ก็มิอยากได้ยินคำพูดติดปากของชิงซาน ดังนั้นเขาจึงมิได้หัวเราะเยาะจิ๋งจิ่ว ก่อนจะแสดงออกมาว่าเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย “จริงอยู่ที่ธงสุริยันร้ายกาจ หากว่ากันในเรื่องพลังทำลายล้างแล้วล่ะก็ เกรงว่าอย่างน้อยคงอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เพียงแต่วิชาลับที่ใช้ควบคุมธงสุริยันได้หายสาบสูญไปนานแล้ว จึงได้แต่ต้องเอามาใช้เป็นฐานของข่ายพลัง แล้วเจ้าประมุขหนุ่มนั้นไปเรียนมาจากไหน?”
จิ๋งจิ่วย่อมต้องรู้สาเหตุ
สาเหตุที่วิชาลับที่ใช้ควบคุมธงสุริยันหายสาบสูญไป ก็เป็นเพราะปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถูกเขาและศิษย์พี่บีบให้ต้องหนีลงไปใต้ดิน
ตอนนี้ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง วิชาลับนั่นก็ย่อมต้องปรากฏขึ้นมาใหม่ด้วย
เบื้องหลังของเรื่องนี้มีเงาของศิษย์พี่อยู่จริงๆ ด้วย
เมื่อเห็นท่าทางที่คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ของเขา ถงเหยียนพลันกล่าวขึ้นมาว่า “คนผู้นั้นเองก็น่ากลัวอย่างมากเช่นเดียวกัน เพียงแค่ยี่สิบสามปีก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ตอนนั้นเจ้าคงคิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ?”
ยี่สิบสามปีอีกแล้ว
ในปีนั้นเมืองเจาเกอจัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ย จิ๋งจิ่วกลับมา ชามกระเบื้องล้ำค่าของลู่กั๋วกงตกแตกเป็นครั้งแรก เทียนจิ้นเหรินพักอยู่ในสวนดอกเหมย แผงหมากล้อมที่อยู่ด้านนอกสวนดอกเหมยถูกถงเหยียนเอาชนะจนหมด ยอดฝีมือทางวิถีหมากทั้งเมืองมารวมตัวกัน จิ๋งจิ่ววางเม็ดหมากหนึ่งเม็ด นั่นต่างหากที่เป็นการประมือครั้งแรกอย่างแท้จริงของพวกเขา
เจ้าล่าเยวี่ยถูกมือสังหารของปู้เหล่าหลินลอบสังหาร ซือเฟิงเฉินที่เป็นคนติดต่อกับปู้เหล่าหลินฆ่าตัวตาย หวังเสี่ยวหมิงร้องไห้แล้วหลบหนีออกมาจากเมือง อินซานแปลงเป็นนกยักษ์ติดตามเขา ราชินีแคว้นเสวี่ยตั้งครรภ์ เหล่าศิษย์หนุ่มสาวอัจฉริยะที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก จิ๋งจิ่วและไป๋เจ่าถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะ ระหว่างนั้นลั่วไหวหนานเสียชีวิต
ตอนนี้เมื่อมามองย้อนกลับไปแล้ว ถึงได้พบว่าที่แท้ในตอนนั้นได้เกิดเรื่องราวขึ้นพร้อมกันมากมาย
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวถามว่า “เขาเป็นคนยังไง?”
“คนผู้นั้นมีนิสัยขี้ระแวง ยิ่งไปกว่านั้นยังโหดร้ายป่าเถื่อนและชอบการฆ่าคน ลูกน้องที่ภักดีต่อซูจึเย่ถูกเขาสังหารอย่างโหดเหี้ยมไปเป็นจำนวนมาก กระทั่งจนถึงตอนนี้ ขอเพียงเขาเกิดความสงสัยแม้เพียงนิดเดียว เขาก็จะสังหารอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นเพื่อจะหลอมธงสุริยันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาได้พายอดฝีมือของสำนักเสวียนอินไปฆ่าล้างสำนักวิถีมารเล็กๆ บนเขาเหลิ่งซานไปสิบสี่สำนัก แล้วก็สังหารผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักไปด้วย รวมทั้งหมดสี่ร้อยกว่าชีวิต ดวงจิตทั้งหมดถูกเขาเอามาใช้บูชายัญ แต่ที่น่าสนใจก็คือเขาแทบจะไม่สังหารคนธรรมดา ถึงขนาดสั่งคนในนิกายเอาไว้อย่างเข้มงวดว่าห้ามไม่ให้ไปรบกวนเมืองจวี้เย่และเมืองอื่นๆ ในโลกมนุษย์”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ถงเหยียนก็มองจิ๋งจิ่วอีกครั้ง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากเจ้ายังมองข้าอีก ข้าคงจะนึกว่าตอนที่ข้าพูดกับเจ้าล่าเยวี่ยในตอนนั้น เจ้าก็อยู่ข้างๆ ด้วย”
ถงเหยียนกล่าวว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกัน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ตอนนั้นนางยืนกรานว่าควรจะตัดรากถอนโคนคนผู้นี้ ข้าคิดว่ายุ่งยากเกินไป เลยมิได้จัดการ”
ถงเหยียนไม่ได้พูดอะไรอีก
ชิงเอ๋อร์ถอนใจออกมา กล่าวว่า “ตอนนี้ต่างหากที่เป็นความยุ่งยากอย่างแท้จริงแล้ว”
………………………………………….