มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 26 เสียงฝีเท้าของหวังเสี่ยวหมิง
เกี๊ยวกับสุรา ยิ่งดื่มยิ่งรวย
สิ่งที่เรียกว่าความยุ่งยาก ยิ่งหลบยิ่งมี
ในตอนนั้นเจ้าล่าเยวี่ยจะสังหารหวังเสี่ยวหมิง จิ๋งจิ่วไม่เห็นด้วย ดังนั้นปัญหายุ่งยากนี้จึงมาตกอยู่ที่เขา
เสียงถอนใจของชิงเอ๋อร์เห็นได้ชัดว่ากำลังหัวเราะเยาะเขา เขาย่อมไม่รับคำ หากแต่เปลี่ยนประเด็นถามไปว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องขโมยกระจกนี้มา?”
กระจกย่อมต้องหมายถึงคันฉ่องฟ้ากระจ่าง คำพูดนี้ย่อมต้องกำลังถามถงเหยียน
ถงเหยียนเล่าเรื่องราวในตอนนั้นออกมา
จิ๋งจิ่วถึงได้รู้ว่านักพรตไป๋ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของคันฉ่องฟ้ากระจ่างแล้ว จึงคิดอยากจะใช้ผนึกน้ำแข็งทำให้ดวงจิตของชิงเอ๋อร์สลายไป
เขาส่ายศีรษะพลางกล่าว “ควบคุมไม่ได้ก็ต้องทำลาย นี่ถือว่าเหมือนนิสัยของสำนักจงโจวจริงๆ แต่เจ้าเองก็เป็นศิษย์สำนักจงโจว ทำไมถึงช่วยนาง?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “นางกำลังจะกลายเป็นดวงจิตที่แท้จริงของวัตถุวิเศษ และนั่นคือชีวิตจริงๆ ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนบอกนางเรื่องนี้ด้วย”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
ถงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อนางมีชีวิต ก็สามารถมองว่าเป็นศิษย์สำนักจงโจวได้ แล้วทำไมถึงต้องถูกฆ่าโดยไม่มีความผิด?”
คำพูดนี้มีเหตุผลอย่างมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าสำหรับผลประโยชน์โดยรวมของสำนักจงโจวแล้ว เหตุผลนั้นไม่ค่อยสำคัญเท่าไร
ในอดีตนักพรตไท่ผิงกับเขานำหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงกวาดล้างยอดเขาต่างๆ ในชิงซาน พวกเขาไม่ได้ใช้หลักเหตุผลอะไร แล้วก็ไม่เคยถามถึงหลักเหตุผลเหล่านั้น
นักพรตไท่หลูไม่ยอมรับ จนกระทั่งสุดท้ายก็ยังไม่ยอมแพ้ ถึงได้ถูกขังอยู่ในคุกกระบี่จนมาถึงทุกวันนี้ ต้องทุกข์ทรมานกับความหนาวเย็นที่กัดกินร่างกาย ไม่อาจหลุดพ้นไปได้
เมื่อคิดถึงอาจารย์อาผู้เลอะเลือนที่สองมือเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของศิษย์สำนักเดียวกัน แต่กลับยังดึงดันคิดว่าตนเองมีเหตุผลผู้นั้น จิ๋งจิ่วพลันส่ายศีรษะขึ้นมา
ถงเหยียนเข้าใจความหมายของเขาผิด กล่าวว่า “วิธีหมากล้อม สิ่งที่แสวงหาคือดำขาวแบ่งแยกชัดเจน”
จิ๋งจิ่วคิดถึงดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นมา จึงนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นถามต่อว่า “วิถีหมากล้อมเน้นหนักเรื่องวางแผนก่อนขยับที่หลัง เจ้าเองก็เชี่ยวชาญ เหตุใดแผนการถึงได้หยาบกระด้างเช่นนี้?”
ในส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดินวันนั้น หลังจากถงเหยียนได้ฟังชิงเอ๋อร์พูดจนจบ เขาก็แบกคันฉ่องฟ้ากระจ่างออกมาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด จริงอยู่ที่ไม่อาจถือเป็นการขโมยได้ ควรจะเรียกว่าชิงออกมาซึ่งๆ หน้ามากกว่า
“ตอนนั้นนางอ่อนแอเป็นอย่างมาก ใกล้จะตายแล้ว ไม่มีเวลาให้ข้าได้คิด”
ถงเหยียนกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ข้าคิดเยอะมาก วางแผนเยอะมาก แต่สุดท้ายกลับมิอาจก้าวข้ามเจ้าไปได้ หากเดินอีกเส้นทางหนึ่ง บางทีมันอาจจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สัญชาตญาณก็ถือเป็นการคำนวณอย่างหนึ่ง เพียงแต่ข้ามขั้นตอนตรงกลางไป ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะไม่แม่นยำมากพอ แต่ทิศทางโดยประมาณนั้นไม่มีทางผิด”
ถงเหยียนกล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้ามาที่เขาเหลิ่งซานทำไม หรือว่าเป็นเพราะเจ้าคำนวณได้ถึงอะไรบางอย่าง?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ามาลับกระบี่”
ถงเหยียนไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงเหลือบมองดูกระบี่คมจักรวาลที่ลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ ในใจครุ่นคิดว่ากระบี่ที่ดีเช่นนี้ยังต้องลับอะไรอีก?
จิ๋งจิ่วมองดูคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ไม่ได้พูดอะไร
หลังออกมาจากชิงซาน เขาก็เดินทางไปหลายที่ ทั้งต้าเจ๋อ ค่วงซาน เมืองเจาเกอ ก็เพื่อจะตามหาหินลับกระบี่ที่สมบูรณ์แบบ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะใช้คันฉ่องฟ้ากระจ่างลับกระบี่ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายไปๆ มาๆ ก็ยังมาพบกับมัน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้สิ่งที่ตนเองตามหามาโดยตลอดก็คือมัน
หากว่ากันตามคำพูดของชิงเอ๋อร์ นี่ก็คือพรหมลิขิตสินะ?
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็ยกมือขึ้นมา ก่อนจะลูบไปบนศีรษะของชิงเอ๋อร์
ถงเหยียนเลิกคิ้วขึ้นมา พลางกล่าวว่า “นี่คือดวงจิตวัตถุวิเศษของสำนักข้า ขอสหายโปรดให้ความเคารพด้วย”
ชิงเอ๋อร์รู้สึกจักจี้เล็กน้อย จึงบินไปหลบอยู่ด้านหลังถงเหยียน จากนั้นโผล่ใบหน้าเล็กๆ ออกมา ยิ้มพลางกล่าวว่า “ใช่ๆ จะลูบก็ไปลูบเสี๋ยวเจ่าของเจ้าสิ”
คิ้วของถงเหยียนเลิกสูงขึ้นกว่าเดิม ดูเข้มขึ้นกว่าเดิม แต่เห็นได้ชัดว่ามิใช่กำลังดีใจอยู่
“ข้าพักครู่หนึ่ง”
จิ๋งจิ่วหลับตาเริ่มนอนหลับ
ในป่าที่ดูแห้งแล้งมีลมหนาวพัดหวีดหวิว ในท้องฟ้าที่อึมครึมมีนกไม้บินอยู่หลายตัว เห็นได้ชัดว่านั่นคือเครื่องมือวิเศษของนิกายเสวียนอิน
ภายในทุ่งกว้างรกร้างของเขาเหลิ่งซานมีลูกศิษย์ของนิกายเสวียนอินกระจัดกระจายอยู่หลายร้อยคน ทั้งใต้ดินและบนดินล้วนแต่มีข่ายพลังและตาข่ายเพลิง อีกฝ่ายอาจจะพบที่นี่ได้ทุกเมื่อ
ถงเหยียนและชิงเอ๋อร์สบตากัน คิดในใจว่าคนผู้นี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก
……
……
สีแดงบนหน้าผาดูเข้มเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนสีเลือด แต่เหมือนสีที่ใช้สำหรับทามากกว่า
เนื่องเพราะอุณหภูมิที่สูงเป็นอย่างมาก กระทั่งลมก็ยังมีความรู้สึกแห้งแล้ง ดังนั้นหุบเขาที่ทอดตัวยาวออกไปไกลในเทือกเขาจึงมิได้ดูลึกและวังเวง
บนพื้นทั่วทุกที่ภายในหุบเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยหินสีแดงที่มีความแหลมคม อีกทั้งยังร้อนระอุเป็นอย่างมาก หากมีคนเอาไข่ไก่ไปตอกไว้บนหินเหล่านั้น เกรงว่าเพียงแค่ไม่กี่อึดใจคงจะได้ไข่ทอดที่สมบูรณ์แบบ
ลูกศิษย์นิกายเสวียนอินหลายคนคุกเข่าอยู่บนพื้น มือและหัวเข่าล้วนแต่ถูกหินบาดจนได้รับบาดเจ็บ เลือดที่ไหลออกมาถูกความร้อนทำให้เดือดจนระเหยกลายเป็นไอ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ที่น่าสะอิดสะเอียนออกมา
“ข้าไร้ความสามารถ ขอท่านประมุขโปรดลงโทษด้วย”
พวกเขาไม่กล้าลุกขึ้นมา ได้แต่โขกศีรษะอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้นไม่หยุด ไม่สนใจว่าหน้าผากของตนเองจะถูกลวกจนได้รับบาดเจ็บหรือไม่
เมื่ออยู่ต่อหน้าความหวาดกลัวต่อความตาย ความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้นั้นไม่มีค่าให้พูดถึงเลย
คนผู้นั้นหมุนตัวกลับมา รองเท้าหนังบดขยี้ไปบนหินจนแตกละเอียดกลายเป็นผงสีแดง
“ใช้เวลานานขนาดนี้ แต่ก็ยังหาตัวพวกมันไม่พบ แถมลูกศิษย์ยังต้องมาตายไปอีกสามคน…คนที่ตายล่ะ?”
ในเสียงของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ ดูแตกต่างกับสภาพแวดล้อมรอบกายที่ร้อนระอุอย่างชัดเจน
มีลูกศิษย์หามศพสามศพเข้ามาจากทางด้านนอกหุบเขา นั่นคือลูกศิษย์นิกายเสวียนอินสามคนที่ถูกจิ๋งจิ่วฆ่าตาย
คนผู้นั้นเดินไปตรงหน้าศพสามศพนั้นอย่างช้าๆ จากนั้นค่อยๆ ย่อตัวลงไป บนพื้นดินที่อยู่ด้านหลังมีร่องตื้นๆ ปรากฏขึ้นมาร่องหนึ่ง
ประมุขนิกายเสวียนอินที่เรียกตนเองว่าหมิงหวัง[1]ผู้นี้อายุยังน้อย บนใบหน้าเองก็มิได้มีอารมณ์ใดๆ ดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในส่วนลึกของดวงตากลับคล้ายมีเปลวไฟลุกโชนอยู่
ในอดีตก่อนที่หลิ่วสือซุ่ยจะทรยศชิงซาน เขาก็เคยใช้วิชามารของนิกายเสวี่ยหมัวโจมตีใส่เจี่ยนหรูอวิ๋นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในตอนนั้นดวงตาของเขาก็มีเปลวไฟที่คล้ายคลึงกันลุกโชนอยู่
“ออกกระบี่สังหารคนตามอำเภอใจ เสร็จแล้วไม่ใช่เพลิงกระบี่เผาศพ ไม่มีการปกปิดแม้แต่น้อย…ผู้ฝึกกระบี่ของชิงซานยังคงอวดดีถึงขนาดนี้”
หมิงหวังมองดูรอยตัดบนศีรษะของศพทั้งสามศพ สัมผัสได้ถึงความคมที่อยู่ในรอยตัดเหล่านั้น เปลวไฟที่อยู่ในส่วนลึกของดวงตายิ่งลุกโชน
หลังจากซือเฟิงเฉินฆ่าตัวตาย เขาก็หนีออกมาจากเมืองเจาเกอ ระหว่างทางกระโดดลงมาจากหน้าผาก็ได้เจอของวิเศษ เข้าไปในเขาก็ได้เจอยอดฝีมือ ในที่สุดก็ฝึกวิชามารที่ร้ายกาจได้สำเร็จ
หลังขับไล่ซูจึเย่และควบคุมสำนักเสวียนอินได้แล้ว เขาก็บูชายัญธงสุริยันขึ้นมาใหม่ ทำให้เขากลายเป็นยอดคนทางวิถีมาร
เรื่องที่เขาอยากทำมากที่สุดก็คือฆ่าจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย ดังนั้นเขาย่อมต้องมีความเข้าใจในเจตน์กระบี่ของชิงซานเป็นอย่างดี
เกาหยาพลันเดินออกมาจากในส่วนลึกของหุบเขา โค้งคารวะเขา แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
หมิงหวังเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยกมือบอกให้ทุกคนออกไป
เกาหยาเงยหน้าขึ้นมากล่าวทักท้วงว่า “สำนักจงโจวนั้นยังดีหน่อย เพราะถงเหยียนเป็นศิษย์ทรยศ แต่นี่กลับมีศิษย์ชิงซานเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง…ขอท่านประมุขโปรดไตร่ตรองด้วย”
ตอนนี้อิทธิพลของนิกายเสวียนอินค่อยๆ กล้าแข็ง โดยเฉพาะหลังจากที่ธงสุริยันถูกบูชายัญขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก็ยิ่งทำให้คนแก่บางคนในนิกายหวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อในอดีต แต่ถ้าหากไปล่วงเกินชิงซานและจงโจวซึ่งเป็นสองผู้นำของฝ่ายธรรมะพร้อมกัน…เช่นนั้นมันก็เท่ากับการรนหาที่ตาย
หมิงหวังกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเป็นศิษย์ชิงซาน อย่างนั้นก็ยิ่งต้องฆ่า ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดห้ามข้า”
เกาหยาสีหน้าดูแย่ขึ้นมา เขากล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ท่านประมุข ท่านยังกลับมาวิหารได้ไม่นาน มีบางเรื่องที่ท่านอาจจะยังไม่รู้ เมื่อสามร้อยปีก่อน ท่านปรมาจารย์….”
เสียงหวึ่งดังขึ้น คลื่นความร้อนภายในหุบเขาปะทุขึ้นมา
หมิงหวังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ส่งมาจากธงสุริยัน เลิกคิ้วมองออกไปด้านนอกหุบเขา ในใจครุ่นคิดว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่คนไหนของชิงซานกันแน่ ทำไมสัมผัสถูกเพลิงของธงแล้วยังไม่ตาย?
……
……
เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป
นิกายเสวียนอินเพิ่มกำลังในการค้นหา ขอบเขตของข่ายพลังก็ค่อยๆ หดเล็กลง มีศิษย์หลายกลุ่มมาถึงบริเวณรอบๆ ป่าแห่งนี้
คันฉ่องฟ้ากระจ่างปล่อยภาพลวงตาออกมา ภาพลวงตาที่มิได้ดูเหมือนจริงเหมือนอย่างในดินแดนแห่งความฝันสามารถปิดบังผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาได้ แต่กลับไม่สามารถปิดบังผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงได้
หากเป็นแบบนี้ต่อไป คันฉ่องฟ้ากระจ่างจะต้องถูกพบอย่างแน่นอน
ถงเหยียนมองดูชิงเอ๋อร์ ใช้สายตาสอบถามว่าพวกตนสองคนควรจะหนีออกไปก่อนหรือเปล่า
หากจิ๋งจิ่วชอบนอนก็ปล่อยให้เขานอนอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วกัน จะได้คอยช่วยดึงดูดสายตาของนิกายเสวียนอินเอาไว้ด้วย
ชิงเอ๋อร์มองจิ๋งจิ่ว นางรู้สึกลังเลเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง จิ๋งจิ่วตื่นขึ้นมา เจตกระบี่จางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากใต้ดินที่อยู่ด้านล่างร่างกายเขา ก่อนจะพุ่งกลับเข้าไปในร่างกายของเขา ทำให้เสื้อเขาพลิ้วไหวเบาๆ
เขาย่อมมิได้หลับไปจริงๆ หากแต่ใช้เจตน์กระบี่ในการรับรู้ และคำนวณข่ายพลังของนิกายเสวียนอิน อีกทั้งระบุตำแหน่งของไฟประหลาดที่อยู่ใต้ดินเหล่านั้น
เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน เจตน์กระบี่ของเขาได้ค้นหาพื้นที่ใต้ดินเป็นรัศมีร้อยกว่าลี้จนหมด ภายในใจมีการวิเคราะห์อย่างคร่าวๆ
เขามองถงเหยียน
ชิงเอ๋อร์เข้าใจความหมายของเขา จึงกลับเข้าไปในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ถงเหยียนสะพายคันฉ่องฟ้ากระจ่างเอาไว้ด้านหลัง
เสียงหวึ่งดังขึ้น
ภายในป่ามีลมพัดขึ้นมา
เหล่าศิษย์ของนิกายเสวียนอินรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหว พากันกรูเข้ามาในป่า แต่กลับไม่พบอะไร
กระทั่งใบหญ้าสองใบนั้นก็หายไปด้วย
บนพื้นมีรูอยู่รูหนึ่ง ลึกจนยากคาดคะเนได้ ไม่รู้ว่าทะลุไปที่ไหน
……
……
ทางด้านเหนือของทุ่งกว้างรกร้างยังคงอยู่ในอาณาเขตของเขาเหลิ่งซาน เพียงแต่สภาพอากาศที่นี่มีความหนาวเย็นมากกว่า
ภูเขาหิมะอันใหญ่โตจำนวนมากขวางอยู่ด้านหน้า ปิดกั้นเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปยังที่ราบหิมะเอาไว้
พื้นหิมะที่อยู่ตรงด้านหน้าภูเขาหิมะยกตัวขึ้นมา จากนั้นระเบิดออก
จิ๋งจิ่วและถงเหยียนบินออกมาจากด้านใน
ที่นี่อยู่ใกล้กับที่ราบหิมะ
จิ๋งจิ่วเชื่อว่าศิษย์ของนิกายเสวียนอินไม่กล้ามาที่นี่ เพราะกระทั่งเขาก็ยังไม่อยากมา หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่กล้ามาที่นี่
ถงเหยียนสะพายคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ทั้งเนื้อทั้งตัวเปรอะเปื้อนด้วยคราบดิน เขามองดูจิ๋งจิ่ว รู้สึกนับถือ
ความสามารถในการขุดโพรงของจิ๋งจิ่วนั้นร้ายกาจอย่างที่ว่าไว้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร ต่อให้เป็นหินที่แข็งแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็แหลกเหลวไปในทันที
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกนับถือยิ่งกว่านั้นก็คือจิ๋งจิ่วได้จดจำโครงสร้างของเส้นปราณเพลิงใต้ดินและข่ายพลังธงสุริยันเอาไว้จนหมด
เส้นปราณเพลิงใต้ดินมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ราวกับเขาวงกตอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาทะลวงอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน แต่กลับไม่เจอเปลวเพลิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จิ๋งจิ่วมองดูภูเขาหิมะขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าลูกนั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างไม่ลังเล
ถงเหยียนรู้สึกว่าการหมุนตัวของเขาดูเกร็งๆ ไปหน่อย จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเดินตามไป
ในเวลานี้เอง เขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
จิ๋งจิ่วและถงเหยียนหยุดฝีเท้า
เสียงฝีเท้านั้นกลับยังคงดังมาจากด้านหลัง
ถงเหยียนมองไปทางภูเขาหิมะลูกใหญ่ลูกนั้น
เสียงฝีเท้านั้นดังมาจากด้านบนภูเขาหิมะ
เสียงฝีเท้าค่อนข้างมีเอกลักษณ์
สวบ...ครืด
สวบ...ครืด
เสียงแรกนั้นคือเสียงพื้นรองเท้าเหยียบไปบนพื้นหิมะ แต่เสียงหลังนั้นกลับเหมือนเสียงไม้กวาดที่ลากไปบนพื้น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ถงเหยียนก็มองเห็นคนที่อยู่บนภูเขาหิมะคนนั้น
อยู่ห่างกันหลายลี้ แต่ยังคงมองเห็นได้อยู่ ท่าทางการเดินของคนผู้นั้นดูค่อนข้างแปลก คล้ายเดินกะเผลก
เสียงนั้นคือเสียงเท้าขวาของเขาลากไปบนพื้นหิมะ
นั่นคือประมุขนิกายเสวียนอินที่อายุยังน้อยผู้นั้น
เขาค่อยๆ เดินมายังริมผา มองลงมายังพวกเขาทั้งสองคนพลางกล่าวว่า “ทางที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้พวกเจ้า เดินสบายดีไหม?”
ถงเหยียนรู้สึกตกใจ ที่แท้ที่จิ๋งจิ่วสามารถพาตนเองหนีออกมาจากข่ายพลังของนิกายเสวียนอินได้นั้นเป็นแผนการที่อีกฝ่ายเตรียมเอาไว้
อีกฝ่ายอยู่ที่นี่มาโดยตลอด รอคอยให้พวกเขามาติดกับ
นั่นย่อมต้องง่ายกว่าการไปเที่ยวค้นหาพวกเขาในทุ่งรกร้างของเขาเหลิ่งซาน
“แล้วเจ้าล่ะ?”
จิ๋งจิ่วมองดูเขาที่อยู่บนเขาหิมะ กล่าวถามว่า “ชีวิตที่คนอื่นเตรียมเอาไว้ให้เจ้า สุขสบายดีไหม?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของประมุขนิกายเสวียนอินพลันเปลี่ยนไปทันที
ในช่วงเวลายี่สิบสามปีหลังออกมาจากเมืองเจาเกอ เขาได้พบเจอเรื่องราวพิสดารมากมาย พิสดารเสียยิ่งกว่าประสบการณ์ของเหอจานที่ขึ้นชื่อที่สุดเรื่องความโชคดีที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเสียอีก ไม่ว่าจะทำอะไรก็คล้ายสามารถเก็บวิชาและหินผลึกมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นเส้นทางการบำเพ็ญเพียรของเขาจึงราบรื่นเป็นอย่างมาก ไม่เคยต้องกังวลว่ายาหรือหินผลึกจะมีไม่เพียงพอ หรือว่าระดับชั้นของวิชาที่ตนเองเก็บได้จะเป็นวิชาต่ำต้อยเลย
ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ล้วนแต่มีปัญหา
แต่เขาไม่กล้าคิดลึกลงไป เพราะเขากลัวว่าทันทีที่พบกับความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมีอยู่ในตอนนี้จะถูกคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้ช่วงชิงกลับไปจนตนเองไม่เหลืออะไร
เขาได้แต่ต้องใช้ความแค้นและสภาวะมาทำให้ตัวเองยิ่งด้านชา ขณะเดียวกันก็ใช้คำพูดประโยคนั้นมาปลอบประโลมตนเอง
—- ข้าคือตัวเองของเรื่องนี้ ต่อให้วันนั้นมาถึงจริงๆ ข้าก็จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ตัดมือที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังข้างนั้น!
หลังบูชายัญธงสุริยันขึ้นมาใหม่ ความวิตกและความกังวลของเขาก็มิได้รุนแรงเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีก แต่ลึกๆ เขาก็รู้ว่าเขายังห่างไกลจากความจริง ยังห่างไกลจากวันที่จะได้เปิดเผยความจริง และยังห่างไกลจากวันที่จะเอาชนะความจริง เพราะแม้กระทั่งวิชาลับที่ใช้บูชายัญธงสุริยันเขาก็ยังเก็บได้….
แต่ใครจะไปคิดถึงว่าวันนี้เขากลับได้ยินคำพูดแบบนี้ ถูกคนอื่นเปิดโปงความจริง
เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่ใส่เสื้อผ้า ยืนเปลือยเปล่าอยู่ในภูเขาหิมะ หนาวเย็นเป็นยิ่งนัก
มีหมิงหวังอะไรที่ไหนกัน…เจ้ายังเป็นหวังเสี่ยวหมิงนั่นแหละ
………………………………………………………………………
[1]หมิงหวัง หมายความว่า ราชาหมิง