มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 27 วัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ที่ต่อสู้ไม่เป็น ลูกเป็ดขี้เหร่ผู้ดื้อดึง
- Home
- มรรคาสู่สวรรค์
- ตอนที่ 27 วัตถุวิเศษชั้นสวรรค์ที่ต่อสู้ไม่เป็น ลูกเป็ดขี้เหร่ผู้ดื้อดึง
จิ๋งจิ่วมองดูคนที่ยืนอยู่บนภูเขาหิมะผู้นั้นอย่างเงียบๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด ในสายตาของเขามีความรู้สึกสงสารปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าประมุขหนุ่มของนิกายเสวียนอินคือหวังเสี่ยวหมิง จนกระทั่งในตอนที่เขาพากู้ชิงเดินทางผ่านเขาเหลิ่งซาน เขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิดที่จะชิงสังหารอีกฝ่ายขึ้นมา
การจะสังหารคนผู้หนึ่ง ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าอีกฝ่ายคือใคร ในช่วงเวลาที่เขาอยู่เป็นเพื่อนกั้วตง เจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงได้สืบข้อมูลของคนผู้นี้ผ่านทางเจวี่ยนเหลียนเหรินและช่องทางอื่นๆ อย่างละเอียด ซึ่งย่อมต้องรวมไปถึงเรื่องราวพิสดารที่อีกฝ่ายได้พบเจอเหล่านั้นด้วย
ขอเพียงได้พบเจอเรื่องราวพิสดารมากพอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดแค่ไหน และเติบโตได้น่าเหลือเชื่อแค่ไหนก็ล้วนแต่สามารถอธิบายได้
แต่ความรู้สึกที่เหมือนถูกจัดเตรียมเอาไว้ รสชาติของการที่ถูกควบคุมและบรรยากาศที่คล้ายคลึงกับการเล่นเกมเช่นนี้ จิ๋งจิ่วคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ธงสุริยันถูกบูชายัญขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ นี่ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าคนที่แอบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเรื่องราวนี้ก็คือศิษย์พี่
จิ๋งจิ่วคล้ายสามารถมองเห็นจุดจบอันน่าหดหู่ของชายหนุ่มผู้นี้ได้ หากไม่ถูกเขาฆ่าก็ถูกศิษย์พี่ปั่นหัวจนตาย
……
……
หวังเสี่ยวหมิงยืนอยู่ริมหน้าผาบนภูเขาหิมะ มองดูทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนพื้นเบื้องล่าง ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงรู้ความลับที่สำคัญที่สุดของตัวเอง
หลังจากนั้น ในที่สุดเขาก็มองเห็นใบหน้าของจิ๋งจิ่วได้ชัดเจน จึงตกตะลึงไปทันที
เขาพูดพึมพำขึ้นมากับตัวเองว่า “เป็นเจ้านี่เอง?”
ความรู้สึกคาดไม่ถึง ตกตะลึง แล้วก็ยินดี อารมณ์ต่างๆ นานาประเดประดังเข้ามาในหัวใจของเขา ทำให้เขาลืมความรู้สึกเย็นยะเยือกหลังจากที่ถูกจิ๋งจิ่วเปิดโปงความจริงไป
มุมปากของเขากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูแข็งเกร็งและวิตกจริต
เปลวไฟที่อยู่ในดวงตาของเขาเหล่านั้นยิ่งลุกโชนขึ้นกว่าเดิม คล้ายว่าพร้อมที่จะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกให้มอดไหม้ เหมือนกับธงสุริยันที่ตามติดตัวเขา
หลังจากนั้นริมฝีปากของเขาก็ยิ่งสั่นรุนแรงขึ้น รอยยิ้มยิ่งดูคุ้มคลั่ง ตะโกนเสียงดังสนั่นว่า “เป็นเจ้านี่เอง! จิ๋ง…”
เสียงของหวังเสี่ยวหมิงพลันขาดหายไป
เหมือนกับลูกศิษย์ของนิกายเสวียนอินที่ตายไปแล้วผู้นั้นที่เพิ่งจะพูดออกมาแค่ตัวจิ๋งตัวเดียว
ลำแสงกระบี่ที่เย็นยะเยือกและอ้างว้างสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าภูเขาหิมะ
ภูเขาหิมะมิได้ดูหนาวเย็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
เสียงชิ้งดังขึ้นชัดเจน
ไม่รู้ว่ากระบี่คมจักรวาลไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นฟันลงไป!
หวังเสี่ยวหมิงย่อมไม่มีทางถูกฟันตายในกระบี่เดียวเหมือนอย่างศิษย์ของนิกายเสวียนอินผู้นั้น
ธงสีดำผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากข้างกายของหวังเสี่ยวหมิง จากนั้นม้วนตัวเหมือนคลื่นทะเล ฟาดไปยังกระบี่คมจักรวาล
สีของธงสีดำผืนนั้นมืดมิด คล้ายกับหุบเหวลึกก็มิปาน บนตัวธงมีรอยด่างสีเลือดเป็นดวงๆ แผ่กระจายอุณหภูมิที่ร้อนระอุจนน่ากลัวออกมา
ดูแล้วนี่คงจะเป็นของล้ำค่าที่สุดของนิกายเสวียนอิน ธงสุริยันที่เล่าลือกัน
ธงสุริยันขยับ
ในภูเขาหิมะคล้ายมีดวงอาทิตย์อันร้อนแรงปรากฏขึ้นมา
กระบี่คมจักรวาลยิ่งสว่างเจิดจ้า
ธงสุริยันไม่ได้ฟาดไปทางกระบี่คมจักรวาลจริงๆ ธงแอบซ่อนอยู่ในป่าทึบ อากาศที่อยู่รอบๆ บิดเบี้ยวขึ้นมา
เสียงฉัวะดังขึ้นเบาๆ
กระบี่คมจักรวาลแหวกอากาศที่บิดเบี้ยว แฉลบผ่านธงสุริยันไป ก่อนจะบินเฉียงไปทางผาหิน
จากนั้นครู่หนึ่ง ตรงภูเขาหิมะมีเสียงดังสนั่นคล้ายเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นมา
ลำแสงกระบี่บินกลับมา
หิมะหนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพังถล่มลงมาจากบนภูเขาด้านนั้น ค่อยๆ ถมตีนเขาจนเต็ม
……
……
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปเก็บกระบี่คมจักรวาลกลับมา ก่อนจะก้มหน้ามองลงไป
ถงเหยียนมองดูเขา ในใจครุ่นคิดว่านี่กำลังทำอะไร?
กระบี่นี้โจมตีอย่างกะทันหัน อย่าว่าแต่หวังเสี่ยวหมิงเลย กระทั่งตัวเขาก็ยังคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ชอบเสียงร้องไห้โวยวาย”
จิ๋งจิ่วตรวจดูจนมั่นใจว่ากระบี่คมจักรวาลไม่มีปัญหา จากนั้นกล่าวว่า “ธงนี่ร้ายกาจจริงๆ ตอนนี้ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
ถงเหยียนถึงได้รู้ว่าที่แท้เขากำลังทดสอบกระบี่ ในใจครุ่นคิดว่าช่างเหลวไหลจริงๆ นี่ยังต้องทดสอบก่อนหรือถึงจะรู้ได้?
ธงสุริยันคือของล้ำค่าของนิกายเสวียนอิน ระดับชั้นสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่พลังสังหารก็เรียกได้ว่าอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เรื่องการป้องกันเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
อย่าว่าแต่กระบี่คมจักรวาลที่มีข้อจำกัดเรื่องความเร็วเลย ต่อให้เป็นกระบี่มิคำนึงที่เร็วที่สุดของชิงซานก็ยังยากที่จะทลายการป้องกันของธงสุริยันเข้าไปสังหารหวังเสี่ยวหมิงได้
ด้วยการทดสอบกระบี่นี้ จิ๋งจิ่ววิเคราะห์ออกมาได้ว่าธงสุริยันนั้นร้ายกาจจริงๆ หวังเสี่ยวหมิงพบเจอเรื่องพิสดารไม่หยุด พลังมารกล้าแข็ง เทียบกับตัวเองแล้วด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากเขาจะฆ่าหวังเสี่ยวหมิง วิธีที่ง่ายที่สุดและดีที่สุดก็คือเอาอาวุธวิเศษที่มีระดับชั้นเท่าเทียมกับธงสุริยันมาสู้
ขอเพียงธงสุริยันไม่อาจปกป้องนายได้ การจะฆ่าหวังเสี่ยวหมิงก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
จิ๋งจิ่วมองคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่อยู่ด้านหลังถงเหยียน กล่าวว่า “ประเดี๋ยวเจ้าไปเปิดทาง”
ชิงเอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที รีบบินออกมาจากในคันฉ่องฟ้ากระจ่างพลางกล่าวว่า “ข้าสู้ไม่เป็นนะ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อืม?”
“ของวิเศษนั้นมีหลายชนิด บางอันก็อานุภาพสะเทือนฟ้าดิน บางอันก็ล้ำลึกพิสดารจนสามารถรู้แจ้งถึงวิถี ไม่ใช่ว่าของวิเศษทุกอย่างจะสามารถใช้ต่อสู้ได้”
ถงเหยียนอธิบายให้เขาฟัง ในใจครุ่นคิดอาจารย์ที่อยู่ในเขาอวิ๋นเมิ่งพูดถูก สำนักชิงซานไม่ได้ของวิเศษอะไร จึงไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้แม้แต่นิดเดียว
จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าหากไม่เอามาใช้ต่อสู้ อย่างนั้นของวิเศษชั้นสวรรค์จะไปต่างอะไรกับเหล็กผุๆ?
เขากล่าวกับถงเหยียนว่า “อย่างนั้นประเดี๋ยวพวกข้าออกไปก่อน เจ้าอยู่ที่นี่ พยายามดึงดูดความสนใจเอาไว้”
ชิงเอ๋อร์รู้สึกจนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่าคนที่เล่นหมากล้อมอย่างพวกเจ้ามีนิสัยแบบนี้เหมือนกันหมดหรือ? ความเห็นไม่ตรงกันก็ทิ้งกันเลย?
……
……
หวังเสี่ยวหมิงยืนอยู่ตรงริมผา ได้ยินเสียงหิมะถล่มที่ดังขึ้นไม่ขาดสายทางภูเขาหิมะลูกใหญ่ลูกนั้น รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่แผ่มาจากใต้เท้า นิ่งเงียบไปพูดอะไร
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงจะดึงสายตากลับมา มองไปยังกระบี่ที่อยู่ข้างกายจิ๋งจิ่ว
กระบี่ที่จิ๋งจิ่วใช้ออกมาเมื่อครู่นี้รวดเร็วเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังอันตรายเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะเข้ามาใกล้ตัวเองอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ทำให้เขารู้ตัวถึงจะเปิดฉากโจมตี เขาแทบจะไม่ทันได้ตอบสนอง หากมิเป็นเพราะมีธงสุริยันคอยคุ้มครอง เกรงว่าในเวลานี้เขาคงจะได้รับบาดเจ็บ หรืออาจจะแย่กว่านั้นก็เป็นได้
เช่นนั้นก็หมายความว่าหากไม่มีธงสุริยัน เขาย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของจิ๋งจิ่วอย่างแน่นอน
ความจริงอันนี้ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างผิดหวัง
หลังออกมาจากเมืองเจาเกอ เขาเก็บความแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก ทุ่มเทกำลังและเวลา ใช้ความขยันหมั่นเพียรและหินผลึกกับยาวิเศษที่พบเจอเข้าโดยบังเอิญ ฝึกฝนวิชามารที่ดีที่สุดที่พบเจออย่างบังเอิญเช่นเดียวกัน คิดๆ ดูแล้วเขาเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตช้ากว่าจิ๋งจิ่วเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่วันนี้ก็ยังมิอาจเทียบกับอีกฝ่ายได้ หรือว่าชาตินี้ตัวเองจะไม่มีทางไล่ตามอีกฝ่ายได้ทัน?
ไม่ นั่นเป็นเพราะกระบี่ของจิ๋งจิ่วดีเกินไป!
ได้ยินว่าเขาก็พบเจอเรื่องประหลาดในวัดกั่วเฉิง หลอมกระบี่บินชั้นเซียนขึ้นมาได้เล่มหนึ่ง ดูแล้วคงจะเป็นกระบี่เล่มนี้
ในเมื่อต่างก็เจอเรื่องที่เหนือความคาดหมายเหมือนกัน เจ้าเอากระบี่เล่มนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของโลกบำเพ็ญพรต ข้าก็เอาธงสุริยันเข้ามาเหมือนกัน อย่างนั้นข้าก็ก้าวข้ามเจ้าไปตั้งนานแล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็สงบสติอารมณ์ลง พลางกล่าวว่า “กระบี่ของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่เองก็ไม่ธรรมดา แต่เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าร้ายอาจจริงๆ คืออะไร?”
จิ๋งจิ่วย่อมต้องไม่สนใจเขา สายตามองไปรอบๆ ภูเขาหิมะ ไม่รู้ว่ากำลังคิดคำนวณอะไรอยู่
ถงเหยียนค่อนข้างสนใจ จึงกล่าวถามว่า “คืออะไร?”
“สิ่งที่เจ้าร้ายกาจจริงๆ ก็คือโชค เกรงว่าต่อให้เป็นไข่มุกราตรีก็ยังดูสลัวลงไป ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าไรอิจฉาที่เจ้าสามารถเข้าไปในชิงซานได้”
มุมปากของหวังเสี่ยวหมิงกระตุกเล็กน้อย ยิ้มเหมือนคนวิตกจริตพลางกล่าวว่า “แต่น่าเสียดายที่วันนี้โชคเจ้าไม่ดี มาถูกข้าพบเข้า”
จิ๋งจิ่วรู้ว่าในเวลาแบบนี้คนแบบนี้จะพูดอะไร เขามิได้รู้สึกสนใจแม้แต่น้อย ไม่ได้ฟังแม้แต่คำเดียว
เขามองดูกระบี่คมจักรวาลที่อยู่ในมืออีกครั้ง มั่นใจแล้วว่าร่องรอยที่เกิดจากน้ำลายของราชาปลาไนเพลิงได้หายไปแล้ว จึงยิ่งรู้สึกมั่นใจในความคิดของตัวเอง
จิ๋งจิ่วไม่พูด ถงเหยียนก็ได้แต่ต้องแสดงเป็นคู่สนทนาต่อไปเพื่อถ่วงเวลา เขามองดูหวังเสี่ยวหมิงที่อยู่บนหน้าผาของภูเขาหิมะ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จากที่สำนักจงโจวของข้าสืบมา ท่านไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ในใจมีความเมตตาอยู่ เหตุใดถึงไม่กลับตัวกลับใจ เปลี่ยนจากอธรรมเป็นธรรมะ?”
“เปลี่ยนจากอธรรมเป็นธรรมะ? ฮ่าๆๆๆๆ!”
หวังเสี่ยวหมิงหัวเราะเสียงดัง คล้ายได้ยินเรื่องที่เหลวไหลบางอย่าง
“ในสายตาข้ามีธรรมะอธรรมที่ไหนกัน? ไม่ว่าจะเป็นธรรมะหรืออธรรม ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญพรตก็ล้วนแต่สมควรตาย!”
ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ที่แท้ท่านไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เพียงแต่เพราะคนเหล่านั้นเป็นคนธรรมดา”
หวังเสี่ยวหมิงกล่าวว่า “ถูกต้อง แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญพรตอะไรนั่น ถึงแม้จะฝึกวิชาอะไรพวกนั้น แต่ข้ายังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งอยู่”
จากสีหน้าและน้ำเสียงของเขา จะเห็นได้เลยว่าเขาแอบภูมิใจในเรื่องนี้อยู่ลึกๆ
ถงเหยียนกล่าวถามว่า “ความแค้นที่ท่านมีต่อผู้บำเพ็ญพรตนั้นมาจากไหนกันแน่?”
“ผู้บำเพ็ญพรตอย่างพวกเจ้ารังแกคนธรรมดาอย่างพวกข้า รังแกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แต่กลับมาถามว่าความแค้นของข้ามาจากไหน?”
หวังเสี่ยวหมิงตะโกนอย่างโกรธแค้นว่า “พวกข้าควรเกิดมาถูกพวกเจ้ารังแก ถูกพวกเจ้าจิกหัวใช้อย่างนั้นหรือ? มีสิทธิ์อะไร!”
เสียงตะโกนของเขาดังสะท้อนไปมาตรงหน้าภูเขาหิมะที่เงียบสงัด ตรงภูเขาทางด้านนั้นมีชั้นหิมะพังถล่มลงมาอีกครั้ง ส่งเสียงโครมคราม ราวกับว่ากำลังตอบสนองต่อเสียงตะโกนของเขา
ครั้งนี้ถงเหยียนนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวว่า “สุดท้ายก็เป็นเรื่องจุดยืนที่ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ท่านก็เป็นผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่ง น่าจะเข้าใจถึงหลักเหตุผลที่อยู่ในนั้นได้”
หวังเสี่ยวหมิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ เมื่อกี้ข้าเพิ่งจะพูดไปอย่างไรล่ะ ว่าข้าไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญพรต”
ถงเหยียนมองดูขาขวาของเขา ก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้พลังมารของท่านกล้าแข็ง เห็นๆ อยู่ว่าสามารถรักษาขาขวาที่พิการของตัวเองได้ แต่กลับดึงดันที่จะเป็นคนขาเป๋ คงเป็นเพราะคิดอยากจะเตือนสติตัวเองว่าไม่ให้ลืมสถานะของคนธรรมดาใช่หรือไม่?”
หวังเสี่ยวหมิงคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถมองทะลุจิตใจของตัวเองได้ จึงกล่าวเสียงขมขื่นว่า “ถูกต้อง”
ถงเหยียนมองดูเขาพลางกล่าวอย่างรู้สึกสงสารว่า “แต่เสียดายที่สิ่งที่ท่านทำมันเปล่าประโยชน์ เพราะตอนนี้ท่านมิใช่คนธรรมดาแล้ว ท่านได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ท่านเคยรังเกียจที่สุดไปแล้ว”
หวังเสี่ยวหมิงถูกสายตาของเขาและคำพูดที่คอยพูดย้ำเตือนของเขากระตุ้นให้โกรธ จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่ได้คิดเช่นนี้”
“ความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญพรตกับคนธรรมดานั้นมิได้อยู่ที่แนวคิด มิได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก มิได้อยู่ที่ความดีความชั่ว แล้วก็มิได้อยู่ที่อายุขัยที่ยืนยาว เกณฑ์เพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาต่างกันก็คือบำเพ็ญเพียรได้หรือไม่”
ถงเหยียนส่ายศีรษะ กล่าวว่า “หากบำเพ็ญเพียรได้ก็คือผู้บำเพ็ญพรต หากบำเพ็ญเพียรไม่ได้ก็เป็นคนธรรมดา ตัวท่านจะคิดอย่างไรก็ไม่มีความหมาย”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม แสดงออกว่าเห็นด้วย
หลักเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ เขาขี้เกียจที่จะพูด
ห่านฟ้าสีขาวที่งดงามตัวหนึ่งโบยบินไปในท้องฟ้า เพียงแต่เป็นเพราะคิดถึงแม่เป็ดและพี่น้องของตัวเอง จึงพยายามบอกว่าตัวเองเป็นเป็ด นี่อาจจะเป็นการให้ความสำคัญกับความรักความรู้สึก แต่มันมิใช่ความจริง
คนผู้หนึ่งกลายเป็นด้วง เขาย่อมต้องอยากจะเป็นคนต่อ แต่เสียดายที่ไม่มีใครยอมรับเขา เขาจึงได้แต่ต้องถือดอกไม้ที่บิดขึ้นมาจากแผ่นเหล็กแล้วไปนั่งอยู่ในลานทิ้งขยะ หวนคิดถึงวันเวลาในอดีต
หากถงเหยียนใจร้ายอีกหน่อย เขาอาจจะถามหวังเสี่ยวหมิงไปว่า
ท่านยืนกรานว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา มิใช่ผู้บำเพ็ญพรต แล้วคนธรรมดาที่อยู่บนโลกยังจะคิดว่าท่านเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่า?
………………………………………………………………………