มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 32 เสียงอิ๋งอิ๋งในพายุหิมะ
กระบี่คมจักรวาลลอยลงมาบนหน้าผา เสวี่ยจีมองดูจิ๋งจิ่ว มิได้กล่าวกระไร
นางเดินออกมาจากทางด้านนั้นของภูเขาหิมะ ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว แต่นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่จิ๋งจิ่วมองเห็นรูปร่างหน้าตาของนางอย่างชัดเจน
หลังจากถูกเพลิงสุริยันของธงสุริยันชำระล้างไป หิมะที่อยู่บนร่างกายของเสวี่ยจีก็ละลายไปไม่น้อย มิได้กลมมนเหมือนอย่างในตอนแรกอีก แต่ยังคงค่อนข้างกลมอยู่ นิ้วมือกลมๆ ดูน่ารัก คล้ายขนมเปี๊ยะข้าวเหนียว เท้าทั้งสองเนื่องจากอยู่ติดกัน จึงทำให้มองเห็นลักษณะของเท้าได้ไม่ชัดเจน
ในอดีตตอนที่เขาถูกขังอยู่ในส่วนลึกของที่ราบหิมะ เขาเคยสื่อสารทางจิตกับราชินีแคว้นเสวี่ยที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้นหลายครั้ง ก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ เขาเองก็เคยคาดเดาว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียนจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะไปคิดถึงว่าหน้าตาจะเป็นเหมือนตุ๊กตาหิมะตัวกลมๆ เล็กๆ เช่นนี้
สิ่งที่จิ๋งจิ่วหวาดกลัวที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนมิใช่ยันต์เซียนของสำนักจงโจว แล้วก็มิใช่ศิษย์พี่ หากแต่เป็นราชินีแคว้นเสวี่ย เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินนี้ แข็งแกร่งกว่าเพื่อนยักษ์ของตัวเองเสียอีก ต่อให้เป็นตัวเองเมื่อชีวิตที่แล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของนาง
ทำอย่างไรถึงจะหลบหลีกจากความน่ากลัวของราชินีแคว้นเสวี่ยได้? ง่ายมาก นั่นก็คืออย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด ดังนั้นหลังการเดินทางบนที่ราบหิมะครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยมายังดินแดนทางเหนืออีกเลย อยู่ห่างจากเมืองไป๋เฉิงพันลี้ก็รีบหมุนตัวเดินจากไป ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงไม่เหลือบมองดูเสวี่ยจีแม้แต่นิดเดียว นั่นก็เพราะไม่อยากให้นางพบเห็นตัวเอง
ในเวลานี้อีกฝ่ายมายืนขวางอยู่ตรงหน้า เขาเองก็จนปัญญา อย่างนั้นก็มองหน่อยแล้วกัน แต่ถ้าไม่ต้องพูดจะเป็นการดีที่สุด
ชิงเอ๋อร์โผล่หน้าออกมาจากในคันฉ่องฟ้ากระจ่างอย่างระมัดระวัง มองดูใบหน้าด้านข้างของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะมองดูเสวี่ยจี คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากเอาไว้แน่น
บนหน้าผาเงียบสงัด วังเวงคล้ายดั่งสุสาน
ภายในลมหนาวพลันมีเสียงฝีเท้าดังลอยมา
ในที่สุดถงเหยียนก็ตามมาทัน
เขามองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวหยอกล้อเล็กน้อยว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะหยุดรอข้าด้วย”
ในเวลานี้ชิงเอ๋อร์ถึงได้พบว่าถงเหยียนนั้นถูกจิ๋งจิ่วทิ้งเอาไว้ตรงด้านหน้าภูเขาหิมะลูกนั้น จึงมองดูเขาอย่างเห็นใจ ในใจครุ่นคิดว่าคนที่เล่นหมากล้อมอย่างพวกเจ้านี่ช่างใจร้ายจริงๆ
หลังจากนั้นถงเหยียนมองเห็นเสวี่ยจี คำพูดที่เตรียมจะถามจิ๋งจิ่วพลันถูกเขากลืนกลับลงคอไปทั้งหมด นิ่งเงียบไปเช่นเดียวกัน
นิสัยของเขาหยิ่งทนงและเยือกเย็น ถึงแม้จะเห็นจิ๋งจิ่วพาคันฉ่องฟ้ากระจ่างหนีไปก็ยังสงบนิ่ง แต่ความเงียบของเขาในเวลานี้กลับมิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับความสงบนิ่งแม้แต่น้อย
เห็นได้ว่าเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก
สาเหตุที่อารมณ์ของเขาเกิดการกระเพื่อมอย่างรุนแรงเช่นนี้ เป็นเพราะว่าเขาคาดเดาได้ว่าเสวี่ยจีคือใคร
เขาเป็นศิษย์อัจฉริยะของสำนักจงโจว สภาวะล้ำลึก อายุเพียงเท่านี้ก็เป็นยอดฝีมือขั้นจิตทารกระดับกลาง แต่ในการต่อสู้ตรงหน้าภูเขาหิมะ เขากลับทำประโยชน์ใดๆ ไม่ได้เลย นั่นมิได้เป็นเพราะว่าเขาอ่อนแอ หากแต่เป็นเพราะว่าธงสุริยันแข็งแกร่งเกินไป
หากมิเป็นเพราะเสวี่ยจีปรากฏตัวขึ้น ในเวลานี้พวกเขาอาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้
พูดอีกอย่างก็คือเสวี่ยจีคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้
แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่กล้ามองนางแม้เพียงนิดเดียว วิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าหมาไร้บ้าน กระทั่งกระบี่บินชั้นเซียนที่หลอมขึ้นมาอย่างยากลำบากอย่างกระบี่คมจักรวาลก็ยังไม่เอา เป็นเพราะเหตุใด?
มีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แต่บนหน้าผายังคงไม่มีเสียงใดๆ ยังคงเงียบสงัดราวสุสาน
จะเป็นป่าช้าหรือเป็นหลุมศพเพียงหลุมเดียวมันก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันอยู่แล้ว
ในเวลานี้เอง พลันมีเสียงเสียงหนึ่งทำลายความเงียบขึ้นมา
จักจั่นเหมันต์ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังมันมองเห็นจิ๋งจิ่วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ขาเล็กๆ ของมันเสียดสีกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังหึ่งหึ่ง
สายตาของจิ๋งจิ่ว ถงเหยียนและชิงเอ๋อร์ต่างมองไปที่มัน ทั้งรู้สึกสับสน รู้สึกสงสาร แล้วก็รู้สึกนับถือ
กระทั่งเสวี่ยจีก็ยังเหลือบมองขึ้นไปข้างบนดูมัน หากนางมีตาขาว บางทีอาจจะเหมือนกำลังกรอกตาอยู่
จักจั่นเหมันต์ถึงได้พบว่าในเวลานี้มันเกิดอะไรขึ้น จึงหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ร่างกายพลันแข็งทื่อขึ้นมา ร่วงตกลงไปบนพื้นเหมือนเปลือกเกาลัด ส่งเสียงตุบเบาๆ
สิ่งที่ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวที่สุดก็คือไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ตัวมันกลับไม่สามารถสลบไปได้
จิ๋งจิ่วมองดูมัน
จักจั่นเหมันต์รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก มันลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะคลานไปทางเขาอย่างระมัดระวัง
สายตาของเสวี่ยจีก็มองไปที่มัน
ร่างกายของมันแข็งทื่อขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ หมุนตัวอย่างช้าๆ เหลียวหน้ากลับไปมองนาง จากนั้นมองดูจิ๋งจิ่ว
แม้นโลกกว้างใหญ่ แต่มันกลับไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน
ความจริงอันนี้ทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดและสับสนเป็นอย่างมาก สุดท้ายมันหลับตา รู้สึกจนปัญญา จากนั้นพลิกตัวแกล้งตายอยู่บนพื้น เพียงแต่ร่างกายยังคงสั่นไม่หยุด
จิ๋งจิ่วมองดูเสวี่ยจีอย่างเงียบๆ จู่ๆ พลันยื่นมือไปเก็บจักจั่นเหมันต์ขึ้นมา จากนั้นเก็บมันไปไว้ในที่แห่งนั้น
อุณหภูมิบริเวณหน้าผาเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ฟ้าดินล้วนแต่ถูกความหนาวเย็นเข้าปกคลุม
เสวี่ยจีจ้องมองดวงตาของเขา ทันใดนั้นพลันส่งเสียงอิ๋งอิ๋งขึ้นมา
เสียงนี้ดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก คล้ายกับเสียงลูกหมาที่หิวนม
ชิงเอ๋อร์อ้าปากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่รู้สึกมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าใครจะไปรู้ได้ว่าเสียงของท่านผู้นี้จะเป็นแบบนี้?
ถงเหยียนสังเกตเห็นว่าเสวี่ยจีไม่มีปาก เสียงนี้น่าจะออกมาจากท้องของนาง
“อิ๋ง~อิ๋ง~”
เสวี่ยจีมองจิ๋งจิ่ว ก่อนจะส่งเสียงของตัวเองออกมาอย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไร ขอเพียงดังขึ้นมา มันก็สามารถทำให้บรรยากาศที่ตื่นเต้นและกดดันผ่อนคลายลงได้
แล้วนับประสาอะไรกับเสียงอิ๋งอิ๋งที่ฟังดูอ่อนแรงและน่ารักเช่นนี้ ต่อให้มันดังขึ้นในสุสาน ก็ไม่มีทางที่จะรู้สึกหวาดกลัว
เสียงอิ๋งอิ๋งแบบนี้ฟังดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก
เสียงอิ๋งอิ๋งในบางครั้งอย่างมากก็ทำให้รู้สึกรำคาญ แต่ไม่มีทางทำให้รู้สึกหวาดกลัว
ชิงเอ๋อร์รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย กล่าวถามว่า “นางกำลังพูดอะไร?”
ถงเหยียนส่ายศีรษะ มองไปทางจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วจ้องมองเสวี่ยจี เขายังคงดูตึงเครียดเหมือนมีศัตรูที่แข็งแกร่งมาเยือน เหมือนไปยืนอยู่ตรงหุบเหวลึก เหมือนได้เจอหนานว่างหลังจากที่ดื่มสุรา จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าก็อยากไปที่นั่น?”
เสวี่ยจีส่งเสียงอิ๋งออกมา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ได้ เจ้ามีชีวิต”
เสวี่ยจีส่งเสียงอิ๋งอิ๋ง คล้ายไม่เข้าใจ
“มันชื่อจักจั่นเหมันต์ ถูกต้อง มันสามารถไปที่นั่นได้ เพราะชีวิตของมันต่ำต้อย อีกทั้งในตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าเจ้านี่มันค่อนข้างแปลกประหลาด”
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าว “แต่เจ้านั้นไม่เหมือนกัน ข้าไม่มีความสามารถ แล้วก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะส่งเจ้าไปที่นั่น”
เสวี่ยจีนั่งลงบนกระบี่คมจักรวาล มิได้แผ่พลังอะไรออกมาแม้แต่น้อย ดูแล้วคล้ายสิ่งที่ไม่มีชีวิตเหมือนเขาในบางครั้ง
แต่ขอเพียงมองเข้าไปในดวงตาสีดำอันเยือกเย็นของนาง ไม่ว่าใครก็สามารถมองออกได้อย่างง่ายดายว่านางคือสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูงอีกด้วย
เสวี่ยจีนิ่งเงียบ คล้ายกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
ชิงเอ๋อร์บินไปนั่งลงบนหัวไหล่ของจิ๋งจิ่ว ก่อนถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าเข้าใจคำพูดของนางหรือ?”
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืม
ชิงเอ๋อร์คิดในใจว่าเสียงอิ๋งอิ๋งมันก็คือเสียงอิ๋งอิ๋งมิใช่หรือ หรือว่ายังจะฟังเป็นความหมายอื่นได้อีก? จึงถามว่า “สื่อสารทางจิตใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เดา”
ชิงเอ๋อร์คิดในใจ เจ้าให้ข้าเดาอย่างนั้นหรือ?
ตอนที่อยู่ในที่ราบหิมะ จิ๋งจิ่วกับราชินีแคว้นเสวี่ยเคยสื่อสารกันผ่านทางจิต การทำแบบนั้นย่อมต้องสะดวกสบาย แต่แรงกดดันที่มาพร้อมกับกระแสจิตก็น่ากลัวอย่างมากเช่นเดียวกัน
ในเวลานี้เสวี่ยจียังใช้การสื่อสารทางจิตไม่เป็น เขาจึงได้แต่ต้องเดา ความจริงการคาดเดานั้นค่อนข้างลำบาก
การคุยกับเด็กน้อยมันยุ่งยากจริงๆด้วย
ในอดีตศิษย์พี่รับลูกน้องและลูกศิษย์เอาไว้เยอะแยะมากมาย แต่กลับไม่ได้เลือกที่จะไปเที่ยวป่าวประกาศทั่วทั้งใต้หล้า ดูแล้วคงจะมีเหตุผลอยู่จริงๆ
เสวี่ยจีพลันส่งเสียงอิ๋งออกมา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “จักจั่นเหมันต์ กระบี่และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลกนั้นข้าสามารถให้เจ้าได้ กระทั่งเก้าอี้ไม้ไผ่ข้าก็ให้เจ้าได้ แต่ตัวข้าให้ไม่ได้”
เสวี่ยจีมองดูเขาอย่างเงียบๆ
อุณหภูมิบริเวณหน้าผาพลันลดต่ำลง ลมหิมะโหมกระหน่ำ
นางไม่ได้ส่งเสียงอิ๋งอิ๋งออกมา แต่ทั้งสามคนกลับสามารถรับรู้ได้ถึงความอันตราย
ก็เหมือนกับการคำรามที่นางเปล่งออกมาตอนที่ถูกธงสุริยันยั่วโมโห มันไม่มีเสียง แต่ฟ้าดินกลับได้ยิน
ชิงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัว หลบกลับเข้าไปในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
ถงเหยียนก้มศีรษะ พบว่าตัวเองคาดการณ์ไม่ได้แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
เขาเชี่ยวชาญในวิถีหมากล้อม ความสามารถในการคาดการณ์ย่อมต้องยอดเยี่ยม แต่ถ้ากระทั่งจิ๋งจิ่วยังคาดการณ์ไม่ได้ เขาเองก็ย่อมไม่สามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกัน
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้เสวี่ยจีจะทำอะไร จะลงมืออย่างไร
ตอนที่นางปะทะกับธงสุริยัน นางไม่ได้ทำอะไร แต่เพลิงสุริยันเหล่านั้นกลับพุ่งโจมตีไปที่นาง
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามือสั้นๆ ทั้งสองข้างของนางสามารถยกขึ้นมาได้หรือเปล่า
นอกจากเทพดาบและฉานจึแล้ว ไม่มีใครมีประสบการณ์ในด้านนี้
เมื่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะสู้อย่างไร เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะสู้ไม่ได้
ถงเหยียนคาดการณ์ได้เพียงเท่านี้ ภายในใจรู้ว่าได้แต่ต้องรอให้อีกฝ่ายลงมือก่อน
ในขณะนั้นเอง เสวี่ยจีพลันหลับตาลง
สายลมพัดหิมะตกลงไปยังด้านล่างหน้าผา จากนั้นแตกกระจายออกเหมือนก้อนเมฆ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป นางไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
ชิงเอ๋อร์สะกดความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่ไหว จึงมุดออกมาจากคันฉ่องฟ้ากระจ่างอีกครั้ง ก่อนจะถามอย่างระมัดระวังว่า “นางเป็นอะไรหรือ?”
ถงเหยียนมองดูเสวี่ยจี นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมออกมาเบาๆ
ถงเหยียนถอนใจออกมา กล่าวกับชิงเอ๋อร์ว่า “นางหลับไปแล้ว”
………………………………………………………