มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 34 จู่ๆ ฤดูหนาวก็ผ่านไป
อากาศหนาวเย็นหลังฤดูใบไม้ผลิเข้าปกคลุมเมืองต้าหยวน ชาวเมืองพากันค้นตู้เสื้อผ้า เอาเสื้อผ้าหนาๆ สำหรับใส่ในช่วงฤดูหนาวออกมาสวมใส่ใหม่
ภายในร้านค้า เสื้อนวมที่ถูกเอาลงจากชั้นกลับมาขายดิบขายดีอีกครั้ง ถึงขนาดสินค้าขาดอยู่บ่อยๆ
รถสินค้าสองสามคันจอดอยู่ตรงหน้าร้านขายเสื้อผ้า เหล่าคนงานขนสินค้าเข้าไปในร้านไม่หยุด ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น หมอกที่เกิดขึ้นจากเหงื่อดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ตรงด้านหน้าร้านขายวัตถุโบราณที่อยู่ไม่ไกล ชายผู้หนึ่งถือถ้วยชาร้อนมองดูภาพเหล่านี้ เขากล่าวถามว่า “เสื้อหนาวกับถ่านของคนงานร้านเราแจกจ่ายไปแล้วหรือยัง?”
คนผู้นี้อายุประมาณสามสิบ ดูสุขุมเยือกเย็น สายตาเป็นประกาย ตีนผมมีผมขาวแซมอยู่เล็กน้อย
นั่นคือคุณชายหลี่เมื่อในอดีตคนนั้น
ผู้ดูแลร้านขายวัตถุโบราณรีบกล่าวว่า “เรียนคุณชาย จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ก่อนหน้าที่จิ๋งจิ่วและกั้วตงจะจากเมืองไป พวกเขาได้ทิ้งใบไม้ทองคำเอาไว้ลังหนึ่ง เขาใช้ใบไม้ทองคำเหล่านี้เปิดร้านขายวัตถุโบราณ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าเมืองหลี่ที่เป็นพ่อของเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมาจากในคุก เหล่าขุนนางในเมืองต้าหยวนต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก แล้วก็ย่อมต้องไว้หน้าเจ้าเมืองหลี่ กิจการขายวัตถุโบราณจึงดำเนินไปได้อย่างดี
ผ่านไปสิบปี เขากลายเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียงของเมืองต้าหยวน แต่ผู้คนยังคงเรียกเขาว่าคุณชายหลี่ เพราะเขายังไม่แต่งงาน
ผู้ดูแลพูดต่อว่า “เมื่อวานสำนักแม่ชีสามพันได้มาซื้อเสื้อนวมและผ้านวมเป็นจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเตรียมจะเอาไปบริจาคช่วยคนหรือเปล่า”
ในเมืองต้าหยวน สำนักแม่ชีสามพันไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร นี้ย่อมต้องเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ผู้ดูแลถึงได้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของทางนั้นเอาไว้
คุณชายหลี่รู้สึกแปลกใจ ในใจคิดว่าในสำนักแม่ชีแห่งนั้นมีเพียงซือไท่ที่แก่แล้วอยู่สองสามคน ยิ่งไปกว่านั้นที่ผ่านมาทางสำนักแม่ชีไม่เคยมีการบริจาคช่วยเหลือคนอะไรทำนองนี้มาก่อน แล้วพวกเขาซื้อเสื้อนวมและผ้านวมมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร?
เขาตัดสินใจว่าอีกสักสามสี่วันจะไปดู
ไม่ได้ไปที่นั่นมาหลายปีแล้ว รู้สึกคิดถึงอยู่เหมือนกัน
เขาคิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้นขึ้นมา หลังตัวเองดื่มสุรากับเพื่อนเหล่านั้น ก็หลงเข้าไปในส่วนลึกของลำธาร จากนั้นเป็นเพราะอยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้น ผลสุดท้ายจึงพลัดตกลงไปในสระบัว…. จึงอดหัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมาไม่ได้
หลังหัวเราะเยาะเสร็จ ก็กลายเป็นความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
……
……
บอกว่าอีกสักสามสี่วันจะไปดู แต่ความจริงแล้วคุณชายหลี่ไปยังสำนักแม่ชีตั้งแต่วันที่สอง
นี่มิได้เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน เขาเพียงแต่มีข้ออ้างที่เหมาะสมอย่างมากที่จะกลับไปเยือนที่นั่นอีกครั้ง
ในตอนแรกสุดของช่วงเวลานั้น เขามักจะไปที่สำนักแม่ชีแห่งนั้นบ่อยๆ ดีดพิณให้ทะเลสาบที่ไร้ซึ่งผู้คนรับฟัง แม่ชีที่อยู่ในสำนักแม่ชีก็มิได้สนใจเขา
เสียงพิณลอยไปบนผิวทะเลสาบ สุดท้ายก็ไม่มีใครมา เขาจึงมาเยือนน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมิได้มาอีก
เมื่อเห็นตัวหนังสือบนหินก้อนนั้น คุณชายหลี่ก็คิดถึงเรื่องราวในตอนนั้นขึ้นมา พลางส่ายศีรษะ ก่อนจะเดินเข้าไป
ยังคงเป็นเหมือนในตอนนั้น เหล่าแม่ชีภายในสำนักมิได้ปรากฏตัว
เขาเดินไปได้ไม่ไกลก็รู้สึกแปลกๆ ในใจคิดว่าทำไมที่นี่ถึงได้หนาวเย็นขนาดนี้?
น้ำในลำธารได้กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว หิมะที่อยู่บนสะพานก็จับตัวหนา ไม่มีรอยเท้าใดๆ บนหลังคาของสำนักแม่ชีที่อยู่ตรงข้าม ก็มีหิมะจับตัวหนาเช่นเดียวกัน ทำให้เขาอดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่ามันจะพังถล่มลงมาหรือเปล่า
เขาค่อยๆ เดินข้ามสะพานหิมะไป มาถึงตรงหน้าห้องฌานแห่งนั้น ก่อนจะมองเข้าไปด้านใน
หน้าต่างทรงกลมหันไปทางทะเลสาบหิมะที่อยู่ทางด้านนั้น เกิดเป็นภาพที่งดงาม
ภายในห้อง บนพื้นมีผ้านวมจำนวนนับไม่ถ้วนวางกองเป็นเหมือนภูเขา สาวน้อยตัวเล็กคนหนึ่งถูกฝังอยู่ด้านใน
ทั่วทั้งร่างของสาวน้อยคนนั้นถูกผ้านวมห่อเอาไว้ กระทั่งปากและจมูกก็ถูกปิดเอาไว้ มีเพียงดวงตาที่ปิดสนิทเท่านั้นที่โผล่ออกมา ใบหน้าขาวซีด คล้ายเหมือนมิได้หายใจ
คุณชายหลี่ตกใจเป็นอย่างมาก เขามองไปรอบๆ ก่อนจะมั่นใจว่าไม่มีใคร จึงปีนข้ามรั้วไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นเดินตรงไปในห้อง
เสี่ยงหวึ่งทึบๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น พลังที่ไร้รูปร่างสายหนึ่งดีดเขากลับมาจนตัวเขากระแทกไปบนพื้นหิมะอย่างแรง
เขามิได้ลุกขึ้นยืน หากแต่หยิบมีดเล่มเล็กออกมาจากในรองเท้า มองเข้าไปในห้องฌาน ในใจคิดว่าควรจะเข้าไปทางไหนดี?
“วางมีดลงซะ ข้าไม่อยากฆ่าเจ้า”
ภายในพื้นหิมะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
เสียงนั้นฟังดูเย็นชา ไม่มีอารมณ์ใดๆ
คุณชายหลี่กำมีดเล่มเล็กเอาไว้ มองไปยังที่ที่เสียงเสียงนั้นดังขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าทำอะไรกับเด็กผู้หญิงคนนั้น!”
เสียงเสียงนั้นไม่ได้ตอบเขา
คุณชายหลี่ตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “นางจะถูกทับตายนะ!”
สำหรับเขาแล้ว เกรงว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นคงจะถูกผ้านวมที่กองเป็นเหมือนภูเขาทับตายไปแล้ว แต่เขาไม่อยากจะคิดเช่นนี้ ยังคงมีความหวังอยู่ในใจลึกๆ
จิ๋งจิ่วเดินเข้ามาจากบนพื้นหิมะอย่างเงียบๆ มองดูเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นางยังไม่ตาย”
คุณชายหลี่มองดูใบหน้าของเขา ตกตะลึงไปทันที ภายในหัวสมองสับสน กล่าวพึมพำออกมาว่า “แบบนั้นนางก็ร้อนตายได้เหมือนกัน”
“นางไม่มีทางร้อนตาย แต่ถ้าหากไม่ทำเช่นนี้ ทุกคนภายในเมืองต้าหยวนจะต้องหนาวตายอย่างแน่นอน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ จิ๋งจิ่วก็หมุนตัวเดินไปทางทะเลสาบหิมะที่อยู่ด้านหลังห้องฌานห้องนั้น
ในที่สุดคุณชายหลี่ก็ได้สติขึ้นมา ความทรงจำเมื่อในอดีตไหลทะลักออกมาทั้งหมด สายตามองดูแผ่นหลังของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยว่า “พวกท่าน... กลับมาแล้วหรือ?”
“นางคงจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
ร่างของจิ๋งจิ่วหายไปตรงห้องฌานด้านนั้น
คุณชายหลี่ค่อยๆ วางมือที่ถือมีดเล่มนั้นลง จากนั้นก้มศีรษะลง
ในตอนนั้นเขาก็คาดเดาได้แล้วว่าพี่น้องคู่นี้น่าจะเป็นเซียน วันนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าของจิ๋งจิ่วมิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากในตอนนั้น เขาก็รู้ว่าตนเองคาดเดาถูกต้องแล้ว จึงอดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
จู่ๆ พ่อของตัวเองก็รอดพ้นจากวิกฤต ภาพโบราณภาพนั้นถูกคนส่งกลับมา เพื่อนที่ชั่วร้ายผู้นั้นถูกจับกลับมา เขาเองก็สงสัยว่า จะมีความเกี่ยวข้องกับพี่น้องคู่นี้หรือไม่
แล้วยังมีใบไม้ทองคำลังนั้นอีก
มีหลายเรื่องที่เขาอยากจะถาม แต่กลับไม่รู้จะเริ่มขึ้นจากตรงไหน
เซียนและมนุษย์เดินบนเส้นทางที่แตกต่างกัน สรรพสิ่งบนโลกล้วนวุ่นวาย เวลาของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่ไม่เหมือนกัน
เขายืนอยู่บนพื้นหิมะเป็นเวลานาน ก่อนจะโค้งคำนับไปทางห้องฌาน จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป
ถงเหยียนและชิงเอ๋อร์มาถึงตรงหน้ารั้วที่อยู่ด้านนอกห้องฌาน มองดูร่างที่เดินจากไปผู้นั้น รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
คนผู้นี้คือใคร
จิ๋งจิ่วใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์วางข่ายพลังสังหารเอาไว้ด้านหน้าห้องฌาน คนผู้นี้คิดอยากจะเข้าไปในห้องฌาน แต่เขากลับไม่ตาย นั้นย่อมเป็นเพราะจิ๋งจิ่วไม่อยากให้เขาตาย รีบคลายข่ายพลังได้ทันเวลา
ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั่นก็คือจิ๋งจิ่วพูดกับคนผู้นี้ถึงสองประโยค ด้วยนิสัยของเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
ชิงเอ๋อร์หมุนตัวมองไปยังเสวี่ยจีที่ถูกผ้านวมทับเอาไว้ รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ
ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง นางมองดูจิ๋งจิ่วมาเป็นเวลาหลายสิบปี ย่อมต้องเข้าใจเขามากกว่าคนจำนวนมากที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
จิ๋งจิ่วกลัวความยุ่งยาก ไม่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย พูดให้ถูกก็คือกลัวตาย แล้วเหตุใดเขาถึงเห็นด้วยกับวิธีของถงเหยียน พาเสวี่ยจี มาที่นี่
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมาเยือน เมฆและหิมะบดบังแสงดาว แสงไฟเป็นดวงๆ อยู่ในความมืดดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
แม่ชีชราผู้นั้นค่อยๆเดินออกมา ใช้มือที่สั่นเทาทยอยจุดตะเกียงสิบกว่าดวงที่เหลือขึ้นมา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ลำบากท่านแล้ว”
แม่ชีชราเงยหน้าขึ้นมา มองดูเขาพลางกล่าวว่า “ข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ความจริงเมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้ควรจะตายไปแล้ว สามารถอยู่มาถึงตอนนี้ได้นับว่าไม่ง่าย เดิมคิดอยากจะ…”
ประโยคนี้มิทันได้พูดจบ คำพูดที่เหลือได้กลายเป็นเสียงถอนหายใจ
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้นางสบายดี อีกสักสองสามปีน่าจะตื่นขึ้นมา”
แม่ชีชราไม่ได้พูดอะไรอีก หากแต่เดินกลับไปยังห้องของตัวเองโดยมีลูกศิษย์คอยพยุง
ตะเกียงไฟในสำนักแม่ชีสามพันล้วนแต่หล่อเลี้ยงตะเกียงอมตะที่มีอายุร้อยกว่าปีเอาไว้ ด้วยสภาวะของแม่ชีชรา แต่ละคืนนางจุดตะเกียงได้เพียงสิบกว่าดวงเท่านั้น
ใช้เวลาอยู่หลายวัน ในที่สุดนางก็จุดตะเกียงอมตะทั้งหมดภายในสำนักแม่ชีขึ้นมาได้ ทำให้ข่ายพลังของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยทำงานได้สำเร็จ
เมื่อมีข่ายพลังนี้ ความหนาวเย็นที่เสวี่ยจีปลดปล่อยสู่ฟ้าดินโดยไม่ได้ตั้งใจก็จะถูกควบคุมเอาไว้
จิ๋งจิ่วมองไปบนฟ้า พบว่าไม่มีหิมะตกลงมาอีก จึงรู้ว่าเสวี่ยจีน่าจะใกล้ตื่นขึ้นมาแล้ว
ตรงด้านหน้าของสำนักแม่ชีพลันมีเสียงพิณดังลอยมา
เขามองไปทางด้านนั้น
คุณชายหลี่สวมเสื้อคลุมสีดำ นั่งอยู่บนพื้นหิมะ บนเข่ามีพิณกู่ฉินวางอยู่ กำลังตั้งใจดีดพิณ
เสียงพิณดังชัด อบอุ่นนุ่มนวล
นี่คือบทเพลงชมฤดูใบไม้ผลิ
ฤดูหนาวผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
หากไม่มา เช่นนั้นก็ไม่มา
น่าจะหมายความเช่นนี้
…………………………………………………..