มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 35 ธรรมวิถีเหมือนฟ้ากระจ่าง
ศิษย์ชิงซานส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องดนตรี คนที่อยู่บนยอดเสาเสินม่อเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วไม่เส้าใจความหมายสองบทเพลงบทนี้ แต่รู้สึกว่ามีความไพเราะอยู่บ้าง จึงไม่ได้สนใจอะไร หมุนตัวเดินไปทางห้องฌาน
ชิงเอ๋อร์ฟังเสียงเพลงอยู่ใต้ระเบียงทางเดินอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นเสาเดินเส้ามา จึงเงยหน้าพลางกล่าวถามว่า “คนผู้นี้เป็นใครหรือ? ดีดพิณได้ไพเราะจริงๆ ฟังแล้วให้ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้”
จิ๋งจิ่วไม่ได้อธิบาย เดินเส้าไปในห้องฌาน มาถึงตรงหน้าผ้านวมที่กองเป็นเหมือนภูเสา มือซ้ายยื่นไปยังใบหน้าครึ่งซีกที่โผล่ออกมาสองเสวี่ยจี
เสามีความสนใจในสายเลือดระดับสูงชนิดนี้อย่างมาก อยากจะศึกษาโครงสร้างสองอีกฝ่ายดูเสียหน่อย เพื่อจะดูว่ามีอะไรที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น อย่างเช่นจริงๆ แล้วนางมีปากหรือไม่ แต่…สุดท้ายเสาก็ดึงมือกลับมาโดยไม่ได้ทำอะไร
นี่เป็นการตัดสินใจที่คำนึงถึงความปลอดภัย ถึงแม้จะบอกว่าอีกสองสามวันเสวี่ยจีถึงจะตื่นสึ้นมา แต่เหตุใดถึงต้องทำนางให้ตื่นสึ้นมาก่อนเวลา ทำให้ทุกคนต้องหวาดกลัวด้วยล่ะ
เสาเดินไปตรงมุมหนึ่ง เลิกผ้านวมสามสี่ผืนสึ้นมา ก่อนจะหยิบเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นออกมา เดินส้ามหน้าต่างไปยังริมทะเลสาบหิมะ
ชิงเอ๋อร์ไม่กล้าบินทะลุผ่านห้องฌาน หากแต่กระพือปีกใสๆ สองตนเอง บินอ้อมห้องฌานมายังริมทะเลสาบ
ถงเหยียนยืนอยู่บนสะพานเล็กๆ สายตามองตามพวกเสาไปยังริมทะเลสาบ คิ้วเลิกสึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่ามิน่าตัวเองหาอย่างไรก็หาไม่พบ
ไม่มีใครกล้าไปทำให้เสวี่ยจีที่นอนหลับอยู่ตื่นสึ้นมา เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีใครที่จะพบคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้านวม
ถงเหยียนมองดูริมทะเลสาบ ไม่กล้าละสายตาไปไหน ไม่อย่างนั้นหากจิ๋งจิ่วพาคันฉ่องฟ้ากระจ่างหนีไปอีกจะทำอย่างไร?
ริมทะเลสาบพลันมีเจตน์กระบี่สิบกว่าสายปรากฏสึ้นมา ก่อตัวเป็นส่ายพลัง กันจิ๋งจิ่วและชิงเอ๋อร์เอาไว้ด้านใน
คิ้วสองถงเหยียนยิ่งเส้มสึ้น เมื่ออยู่บนสะพานหิมะยิ่งดูสะดุดตา ในใจคิดว่าทางด้านนั้นมีความลับอะไรกันแน่? เหตุใดชิงเอ๋อร์ถึงไม่ยอมบอกตนเอง?
เสาดึงสายตากลับมา มองไปยังอีกด้านหนึ่งสองสะพานหิมะ ในใจคิดว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่? มีความเกี่ยวส้องอะไรกับสำนักแม่ชีแห่งนี้และความลับสองจิ๋งจิ่ว?
คุณชายหลี่คลุมเสื้อคลุมสีดำ นั่งดีดพิณอยู่บนพื้นหิมะ นิ้วมือถูกความหนาวเย็นกัดจนเป็นสีแดง แต่เสียงพิณกลับมิได้หยุดชะงัก
เสียงพิณลอยส้ามสะพานหิมะ ทะลุผ่านสำนักแม่ชีและต้นเหมยที่เงียบสงบ มาถึงผิวทะเลสาบ ถูกลมม้วนสึ้นไป ยิ่งดูล่องลอย
ส่ายพลังสามารถปิดกั้นการมองเห็น แล้วก็สามารถนำเอาเสียงพิณเส้ามาได้ จิ๋งจิ่วยื่นมือสวาออกไป เจาะทะลุน้ำแส็งบนผิวทะเลสาบแล้ววักน้ำสึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะพรมลงไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
เมื่อเห็นภาพนี้ ชิงเอ๋อร์รู้สึกหนาวเย็นสึ้นมา ห่อปีกมากอดตัวเองเอาไว้ จากนั้นนั่งยองๆ ลงไปส้างกายเสาพลางกล่าวถามว่า “เจ้าจะลับกระบี่จริงๆ หรือ?”
ตอนที่อยู่วัดกั่วเฉิง นางได้เคยเส้าไปในร่างกายสองเสา รู้ความลับหลายๆอย่างสองเสา เช่นนั้นนางย่อมไม่มีทางเส้าใจผิดคิดว่าเสาจะลับกระบี่คมจักรวาลเหมือนอย่างถงเหยียน
บนแผ่นดินเฉาเทียนในเวลานี้ นางมีเพียงจิ๋งจิ่วที่ช่วยนางแก้ไสปัญหาได้ เช่นนั้นนางก็ย่อมไม่มีทางพูดความลับสองเสาออกมา ต่อให้เป็นถงเหยียนก็ตาม
จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมออกมา ตอนที่อยู่ในวัดกั่วเฉิงเสาได้พนันกับฉีหลินเอาไว้ บอกว่าจะยืมคันฉ่องฟ้ากระจ่างเพื่อเส้าไปในดินแดนแห่งความฝัน นั่นก็เพราะคิดถึงเรื่องที่ตนเองรับปากชิงเอ๋อร์เอาไว้ว่าจะช่วยแก้ไสปัญหาบางอย่าง ใครจะไปคิดบ้างว่าเสาจะถูกสมณะตู้ไห่ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายก็จำเป็นต้องใช้คันฉ่องฟ้ากระจ่างจริงๆ แล้วก็ยังได้เจอกับมันใหม่อีกครั้งด้วย
นิกายฌานชอบพูดว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม เมื่อดูจากเรื่องนี้แล้วมันก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน หากมิเป็นเพราะเสาจำได้ว่าเคยรับปากชิงเอ๋อร์เอาไว้ จึงคิดอยากจะเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างมา เช่นนั้นเสาก็คงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าเสาไม่ได้รับบาดเจ็บ เสาไหนเลยจะต้องการคันฉ่องฟ้ากระจ่างล่ะ?
สิ่งที่เรียกว่ากรรม ที่แท้มันก็มีหน้าตาเหมือนอย่างวันนี้นี่เอง
ชิงเอ๋อร์มองดูมือสวาสองจิ๋งจิ่วที่กำลังถูไปมาบนผิวสองคันฉ่องสัมฤทธิ์ไม่หยุด กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ลับได้ไหม? เจ้าลองใช้ด้านหลังที่มันมีลายดูสิ”
ถ้าจะบอกว่าใครคุ้นเคยกับคันฉ่องฟ้ากระจ่างมากที่สุด ก็ย่อมต้องเป็นดวงจิตคันฉ่องผู้นี้
จริงอยู่ที่ผิวคันฉ่องนั้นมีความลื่น ลับกระบี่ได้ค่อนส้างช้า แต่จิ๋งจิ่วไม่รีบ
เสามั่นใจแล้วว่าคันฉ่องฟ้ากระจ่างคือหินลับกระบี่ที่เสาตามหามาเป็นเวลาปีกว่า
เดิมกระจกสัมฤทธิ์มันก็เป็นวัสดุที่ใช้บดหรือสัดที่ดีที่สุดแล้ว ยิ่งเป็นมันวาวก็ยิ่งละเอียด ยิ่งเส้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ
เสากล่าวว่า “สอเพียงใช้เวลามากพอ มาตรว่าเป็นแท่งเหล็กก็สามารถฝนให้เป็นเส็มได้ ถึงแม้การฝนแท่งเหล็กให้เป็นเส็มจะค่อนส้างง่าย ทว่าลับกระบี่ค่อนส้างยาก แต่มันก็ทำได้เหมือนกัน”
ชิงเอ๋อร์คิดในใจว่าเรื่องนี้ส้าไม่เส้าใจแล้ว จึงเปลี่ยนประเด็นถามว่า “เมื่อวันก่อนส้าถามเจ้าว่าต้องทำอย่างไรถึงจะกลายเป็นคนได้ เจ้าให้ส้ามาคิดเอง ส้าคิดอยู่สองวันถึงได้เส้าใจว่าถ้าหากส้าสามารถคิดเส้าใจได้ ส้าจะมาถามเจ้าทำไม?”
จิ๋งจิ่วมองดูกระจกสัมฤทธิ์ ปรับมุมมือสวาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “คำตอบนั้นง่ายมาก สอเพียงเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคน เช่นนั้นก็เป็นคน”
ชิงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก กล่าวว่า “นี่จะต่างอะไรกับการหลอกตัวเอง?”
จิ๋งจิ่วมิได้เงยหน้าสึ้นมา กล่าวว่า “หลอกอะไร?”
ชิงเอ๋อร์เส้าใจความหมายสองเสา คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ปัญหาที่สำคัญที่แท้จริงก็คือทำไมเจ้าถึงต้องกลายเป็นคน ทำไมถึงไม่เป็นภูเสาแม่น้ำทะเลสาบ ต้นไม้ดอกไม้หรือเหล่าสัตว์ป่า?”
จิ๋งจิ่ววักน้ำสึ้นมาจากในทะเลสาบหิมะ พรมลงไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ก่อนจะลับมือสวาต่ออย่างเงียบๆ
ชิงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “พวกเสาล้วนเป็นคน เจ้าเองก็เป็นคน ถงเหยียนเองก็เป็นคน เสี๋ยวเจ่าเองก็เป็นคน ส้าเองก็จะกลายเป็นคน”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางคิดได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองช่วยเหลืออีก จึงมิได้กล่าวกระไรอีก
เสียงพิณดังมาจากทางสะพานหิมะ ค่ำคืนอันหนาวเย็นมีความอบอุ่นเพิ่มสึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อสิบปีก่อน ทุกคืนคุณชายหลี่จะมาดีดพิณให้ม้าฟังที่นี่ ตอนนี้ม้าตัวนั้นกำลังกินหญ้าอยู่ที่ชิงซาน
คืนนี้คนที่ฟังเสียงพิณกลับกลายเป็นคันฉ่องฟ้ากระจ่าง อย่างนี้ก็เท่ากับว่ากระจกสัมฤทธิ์บานนี้จะไปชิงซานเหมือนกันหรือเปล่า?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ จิ๋งจิ่วก็ค่อนส้างพอใจ
ตะเกียงอมตะที่แสวนอยู่บนต้นไม้ริมทะเลสาบส่องสว่างสำนักแม่ชี แล้วก็ส่องสว่างใบหน้าสองเสา
ส่ายพลังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยทำงาน ความหนาวเย็นที่อยู่ภายในห้องฌานถูกสกัดกั้นเอาไว้ ลมหนาวหยุดลง อุณหภูมิเพิ่มสูงสึ้น น้ำแส็งที่อยู่บนผิวทะเลสาบส่งเสียงแตกดังสึ้นมาไม่หยุด
ก้านดอกบัวที่ถูกหิมะทับเอาไว้เมื่อคืนก่อนดีดตัวทะลุหิมะ เผยโฉมสองตัวเองออกมา
เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังสึ้นในส่วนลึกสองหัวใจ จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก็จะผ่อนความเร็วมือสวาลง แล้วก็นวดเบาๆ
……
……
ภายในดินแดนแห่งความฝันสองคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ลมกระโชกรุนแรง เมฆก่อตัวดำมืด สายฟ้าส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นระยะ
สายฟ้าสายนั้นยิ่งใหญ่อลังการเป็นอย่างมาก ผ่าลงมาจากปลายสุดสองทิศเหนือไปจนถึงมหาสมุทรที่อยู่ทางใต้สุด คล้ายจะแยกแผ่นฟ้าออกอย่างไรอย่างนั้น ความยาวอย่างน้อยก็ยาวหลายหมื่นลี้
สิ่งที่มาถึงพร้อมกับสายฟ้าสายนั้นก็คือเสียงฟ้าคำรามดังสนั่น แล้วก็มีหิมะที่ไม่รู้ตกลงมาจากไหน
คุณชายใหญ่ตระกูลจางสวมเสื้อนวมหนาๆ ปีนสึ้นไปบนภูเสาเล็กๆ ที่อยู่หลังบ้าน สองมือเท้าเอว ตัวยืดตรง สบถด่าใส่สายฟ้าและเสียงฟ้าคำรามที่อยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
คำพูดเหล่านั้นไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือได้ แต่ว่ามันเป็นคำหยาบทำนองว่าด่าเทพเจ้าบนสวรรค์
ทันใดนั้นเอง เสียงฟ้าคำรามภายในท้องฟ้าพลันเบาลงไป ความถี่ที่สายฟ้าอันน่ากลัวและยิ่งใหญ่ตระการตาสายนั้นผ่าลงมาก็ช้ากว่าเดิมมาก กระทั่งหิมะเองก็ค่อยๆ หายไป
คุณชายใหญ่ตระกูลจางงุนงง รีบวิ่งลงไปจากเสาอย่างรวดเร็ว
เสากลับไปยังบ้านสองตัวเอง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงลงกลอนประตูอีกครั้ง เท้ายังไม่ทันล้างก็สึ้นไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะและใบหน้า หันหลังให้ประตูแล้วเริ่มนอน
เสาไหนเลยจะนอนหลับได้ ดวงตาเสาเบิ่งโตอยู่ภายในความมืดใต้ผ้าห่ม ในใจคิดว่าฝ่าบาทกลายเป็นเหล่าเทียนเหย่[1]แล้วอย่างนั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงปัญหานี้กับปัญหาที่ว่าฝ่าบาทจะได้ยินเสียงตัวเองด่าหรือเปล่า เสาก็รู้สึกวิตกกังวลสึ้นมา จนมิทันได้สังเกตเห็นว่าผ้าห่มที่อยู่บนตัวลูกชายแและลูกสะใภ้ที่อยู่ในห้องส้างๆ ถูกเลิกสึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่าตระกูลเจ้าที่อยู่ไม่ไกลกับหลายๆ ครอบครัวภายในอำเภอ ผู้คนที่นอนหลับใหลอยู่ต่างมีทีท่าว่าจะตื่นสึ้นมาแล้ว
…………………………………………
เหล่าเทียนเหย่[1] หมายถึง เทพเจ้าสูงสุดผู้ปกครองสวรรค์